จังหวัดสิงห์บุรีเป็นเมืองทางผ่านที่บางครั้งเราอาจจะมองข้ามเสน่ห์ที่แอบซ่อนอยู่     

เส้นทางความสุขของเราครั้งนี้ คือการตามหาของกิน แบบเที่ยวไปกินไปในหนึ่งวัน

สิงห์บุรีจึงเป็นอีกจังหวัดที่ตอบโจทย์เรามากที่สุด โดยเริ่มต้นจากกรุงเทพฯใช้ถนนสายเอเชีย

ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ตรงมาไม่ไกลจะเห็นป้ายให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่จังหวัดสิงห์บุรี

 

ร้านแรกของการผันตัวเองเป็นนักชิมสำหรับทริปนี้ นั่นก็คือ ร้านต้มเลือดหมู

ก่อนถึงร้านจะเจอป้ายตั้งอยู่อย่างโดดเด่น “ร้านเฮียเล็กต้มเลือดหมู” บรรยากาศร้านเหมือนศูนย์อาหารขนาดใหญ่ทีเดียว ภายในก็ค่อนข้างกว้าง มีอาหารขายหลายอย่าง รวมถึงร้านค้าอื่น ๆ ที่มาอาศัยพื้นที่ขายของฝากของกินกันด้วย ระบบการสั่งที่นี่ต้องแลกคูปอง และเมื่อจะซื้ออาหารให้นำคูปองมาหย่อนลงถังไม้

ต้มเลือดหมู ราคา 50 บาท ข้าวเปล่าอีก 10 บาท หรือถ้ากลัวกินไม่หมดสั่งมาถ้วยเดียวแบ่งกินสองคนยังได้เลยค่ะ จบมื้อแรกด้วยราคาทั้งหมดประมาณ 70 บาท รวมน้ำค่าน้ำแล้วนะคะ

นอกจากมาตามหาของกิน ของอร่อยที่สิงห์บุรีแล้ว เรายังมาเที่ยวชมวิถีชีวิตของชาวสิงห์บุรีด้วยค่ะ  

เราเลยมาหยุดอยู่ที่ “ตลาดปากบาง” ตั้งอยู่ที่ตำบลพรหมบุรี อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี

ตลาดปากบาง ตั้งอยู่ริมน้ำ มีเอกลักษณ์โดดเด่นอยู่ที่บ้านเรือนของคนในชุมชนที่มีลักษณะเป็นห้องแถวไม้โบราณนับ 100 หลังคาเรือน บรรยากาศย้อนยุค ได้มุมถ่ายรูปวินเทจเยอะมาก

นอกจากบรรยากาศเก่า ๆ แล้ว ในตลาดแห่งนี้ยังมีของกินโบราณเพียบ!!! ทั้งของคาว และของหวานแบบพื้นบ้าน

ซึ่งบางเมนูนั้นก็หากินไม่ได้ในที่อื่น ๆ สำหรับอาหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังในตลาดแห่งนี้แบบที่ว่าหากใครมาแล้วไม่ได้กินก็เหมือนมาไม่ถึง

อย่าง “ผัดไทยปากบาง” สูตรเด็ดเคล็บลับก็คือไม่ต้องใส่อะไรเลย มีเพียงเส้นผัดไทย ไข่เป็ด ถั่วงอก

และเครื่องปรุงของทางร้าน พอได้ลองกินถึงจะเชื่อค่ะว่าอร่อยจริง ๆ ติดเผ็ดนิด ๆ เส้นไม่เละ  เหนียวกำลังดี 

 

อีกหนึ่งความอร่อยที่ต้องตามไปลิ้มชิมรส นั่นก็คือ “ขนมเปี๊ยะ โซว เม่ง เฮง”  แป้งบาง ไส้เน้น ๆ           

เป็นอีกหนึ่งร้านที่ทำสืบทอดกันมายาวนานกว่า 70 ปี ขนมเปี๊ยะร้านนี้มีทั้งหมด 5 ไส้ ด้วยกัน ถั่วไข่/ถั่วล้วน/ฟักไข่/ฟักล้วน/ทุเรียนไข่ 2 ขนาด ชิ้นใหญ่ราคา 100 บาท ชิ้นเล็กราคา 50 บาท ชิมมันทุกไส้เลยค่ะ

รสชาติไม่หวานมาก ถ้ากินกับชาร้อน ๆ คงจะฟินน่าดู

 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : โซว เม่ง เฮง  089 2428422 , 036 810288

...

 

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะคะ ตลาดปากบางยังมีของอร่อยให้เราตามไปกินอีกเพียบ มาที่นี่เตรียมท้องให้ว่างก็พอค่ะ อีกหนึ่งร้านที่เราตามไปกินในวันนี้ก็คือ “กุนเชียง สมประสงค์ โอชา” ของดีอีกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของสิงห์บุรีก็คือ “กุนเชียงปลา” ขายควบคู่ไปกับกุนเชียงหมู จากร้านขนมเปี๊ยะโซวเม่งเฮง ให้ตรงไปสุดซอย เลี้ยวขวาเลียบห้องแถวไม้ริมแม่น้ำไปนิดเดียว แล้วเลี้ยวขวาเข้าซอยถัดไป ก็จะเห็น “ร้านสมประสงค์โอชา” อยู่ทางขวามือ หน้าร้านมีตู้กระจกแขวนกุนเชียงอยู่

ร้านนี้ทำกันมานานมากจนถึงรุ่นที่ 4 แล้ว ขายกุนเชียงปากบางแบบดั้งเดิม ใช้ไส้หมูแท้ ๆ (ไม่ใช่ไส้เทียม) มี 3 ชนิดได้แก่ กุนเชียงปลา กุนเชียงหมู และกุนเชียงปลาเห็ดหอม อบด้วยเตาถ่านแบบโบราณ มีการโรยขี้เถ้าเพื่อไม่ให้ไฟลุกแดงหรือไฟคุจนเกินไปจึงได้กลิ่นหอม ๆ เวลาเรากินนั่นเองค่ะ

 

กุนเชียงปลาก็รสชาตินุ่มนวล เวลาทอดแล้วจะเนื้อนุ่ม ๆ ส่วนกุนเชียงหมูจะมีรสเค็มด้วย ซื้อไปกินกับข้าวต้ม จะเค็มอร่อยกำลังดี

 

ราคากุนเชียงปลากิโลละ 200 บาท ส่วนกุนเชียงหมู 220 บาท

ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้าไปจนถึง 6 โมงเย็น

สอบถามเพิ่มเติม : 086-134-8685 , 089-238-9334


 

 

เดินแวะถ่ายรูปเล่นชมความคลาสสิกของบ้านเรือนโบราณไปสักพักก็มาเจอกับร้าน “กระยาสารท แม่ทองสุข”

ทำสดใหม่ โชคดีมากค่ะที่ได้เห็นแม่ ๆ กำลังร่วมด้วยช่วยกันกวนกระยาสารทพอดี การใส่วัตถุดิบต่าง ๆ

ก็จัดหนัดจัดเต็มมากทีเดียว ทำไปก็แอบชิมไปด้วย หอม มัน หนึบ หวานกำลังดี

เหมาะที่จะซื้อกลับไปเป็นของฝากมาก ใครผ่านมาสิงห์บุรีก็อย่าลืมแวะเข้ามานะคะ

สอบถามเพิ่มเติม : กระยาสารทแม่ทองสุข โทร.036 810 253

     

 

 

กินเพลิน เดินชิล ที่ตลาดปากบางกันอย่างจุใจแล้วสิงห์บุรียังมีอีกหลายสถานที่ให้เราได้ไปเที่ยวชมกันในวันนี้ด้วยค่ะ พูดถึงตลาดโบราณ สมัยนี้มีตลาดโบราณเกิดขึ้นมากมาย แต่ละที่ก็จะนำของดีในชุมชนมาขาย

แต่ที่ “ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน” สิงห์บุรี มีความโดดเด่นแตกต่างจากที่อื่น ๆ คือมีการคงความเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องแต่งกายชุดไทย  “นุ่งโจมห่มสไบกินสำรับไทยที่บ้านระจัน” สามารถแต่งชุดไทยเดินชมตลาดได้แบบไม่ขัดเขิน เพราะเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทุกร้านก็ร่วมใจกันแต่งชุดไทย  

ค่าเช่าชุดอยู่ที่ ผู้ใหญ่ 100 บาท/วัน เด็ก 40 บาท/วัน

 

ภาชนะที่ใช้ใส่อาหารก็ล้วนทำมาจากธรรมชาติเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ชอบมุมไหนก็แวะถ่ายรูปได้เลย พร้อมเรียนรู้วิถีชีวิตแบบท้องถิ่น รู้จักรสชาติหน้าตาอาหารแบบโบราณ ทั้งขนมถ้วย ขนมกล้วย ขนมไข่ปลา ข้าวแช่ หรือแม้แต่เมี่ยงคำกลีบดอกบัวที่หาทานยากก็มี แต่อาหารที่ได้รับความนิยมมากน่าจะเป็นผัดไท เพราะมีถึง 3 ร้านด้วยกัน

เสน่ห์ของที่นี่อีกอย่างคือพ่อค้าแม่ค้าน่ารักทุกคน ยิ้มแย้มแจ่มใส มีทั้ง ผัก ผลไม้ ขนม เครื่องดื่ม ดอกไม้ เครื่องสาน และอาหารโบราณที่หากินยาก รวมถึงอาหารร่วมสมัยต่าง ๆ ก็มี สามารถนั่งกินอาหารได้ตามจุดที่จัดไว้

หรือจะมากินพร้อมชมการแสดง ณ ลานกิจกรรมก็ได้ค่ะ กินไปชมไปเพลิดเพลินใจเป็นอย่างมาก ตลาดเปิดเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.00 น.

เดินเล่น เดินกินกันจนเหนื่อยก็ได้เวลาไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ที่ “อุทยานวีรชนค่ายบางระจัน” ฝั่งตรงข้ามตลาด ภายในอุทยานฯ ประกอบด้วย อนุสาวรีย์วีรชน ค่ายจำลองที่สร้างขึ้นใหม่ตามแบบโบราณ และอาคารศูนย์การศึกษาประวัติศาสตร์ และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์วีรชนค่ายบางระจัน เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยเข้าฟรี

ไม่มีค่าใช้จ่าย ภายในอาคารจัดแสดงงานได้อย่างน่าชม มีวิดีโอบอกเล่าถึงประวัติการต่อสู้ รูปปั้นวีรชน

การสู้รบ รวมถึงบ้านเรือนการอยู่อาศัยของคนในสมัยก่อน พร้อมคำอธิบายที่อ่านเข้าใจง่าย

แม้ว่าค่ายบางระจันจะต้องพ่ายแพ้แก่พม่า แต่วีรกรรมครั้งนั้นได้รับการจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์และจิตใจของพี่น้องประชาชนชาวไทยถึงความกล้าหาญ สมัครสมานสามัคคี และความเสียสละ จึงได้มีการสร้างอนุสาวรีย์วีรชนชาวบ้านบางระจันทั้ง 11 ท่าน ได้แก่ นายจันทร์หนวดเขี้ยว ขุนสวรรค์ นายดอก นายทองเหม็น พันเรือง นายโชติ นายแท่น นายเมือง นายทองแก้ว นายอิน และนายทองแสงใหญ่ เพื่อให้เราได้กราบไหว้บูชา และถือเป็นแบบอย่างที่ดีของความรักชาติ ภายในบริเวณโดยรอบยังจัดเป็นสวนพักผ่อนหย่อนใจ

และมุมแสดงบ้านเรือนความเป็นอยู่ของชาวบ้านบางระจันอีกด้วยค่ะ

มีบริการจักรยานให้ปั่นชมวิวโดยรอบได้ด้วย โดยอาคารศูนย์การศึกษาประวัติศาสตร์ฯ

เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น. ไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์

สอบถามเพิ่มเติม : โทร. 0 3652 0030

...

อีกหนึ่งร้านเมื่อมาถึงสิงห์บุรีก็คือการมากินกุ้งเผาที่ “ร้านกุ้งเผาทองชุบ” เมื่อเห็นป้ายวัดตราชู ให้เลี้ยวเข้ามาในซอยได้เลย ขับตรงมาเรื่อยๆ จนจนถึงวัดตราชู สามารถจอดรถได้ที่ลานจอดรถในวัดเลย  แล้วเดินตรงลงมาทางแม่น้ำก็จะถึงร้านค่ะ  

กุ้งเผาร้านนี้ตัวใหญ่สะใจจริง ๆ สั่ง 1 กิโลกรัมจะได้กุ้งตัวใหญ่ ๆ 3 ตัว ราคา 1,500 บาท ราคาอาจจะสูงอยู่สักหน่อย แต่ถ้าได้กินกุ้งเป็นๆ และเห็นขนาดของกุ้ง หัวกุ้งมันเยิ้มๆ แล้วจะบอกว่าสมราคาค่ะ กุ้งเผาของที่นี่เผาออกมาดีมากกกก ไม่สุกจนเกินไป มันกุ้งสดเยิ้ม เอามาคลุกกับข้าวสวย ฟินสุด ๆ

แล้วก็สั่งเมนูอื่น ๆ มากินด้วยนะคะ อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ

...

 

ปิดท้ายทริปของสิงห์บุรีกันที่การมาเลือกชอปของกิน ของฝาก ที่ร้าน “เจ๊สมศรี” ที่ขึ้นชื่อความอร่อยของปลาช่อนแม่ลาแดดเดียว ปลาเนื้อแน่น ๆ เค็มนิด ๆ กินกับข้าวก็จะได้รสชาติที่พอดี นอกจากนี้ทางร้านยังมีของฝากอื่น ๆ

ที่ขึ้นชื่อ อย่างปลาเจ่า รวมไปถึงน้ำพริก ให้เราได้เลือกซื้อเลือกหากัน

    ...  

สิงห์บุรีจังหวัดที่หลาย ๆ คนมองผ่าน โบว์ว่าจังหวัดน่ารักแห่งนี้ยังมีความน่าหลงใหล

และแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ รวมไปถึงร้านอร่อยหลายร้าน “เที่ยวไทยย้อนยุค” ก็แปลว่าไม่ได้ตกยุคนะคะ

วันหยุดหน้าหากมีเวลาอยากให้ลองไปเที่ยวจังหวัดใกล้ ๆ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อย่างสิงห์บุรีกันดูนะคะ

ความสุขอยู่ไม่ไกล สิงห์บุรีนี่เองค่ะ

 

สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

ค่าน้ำมันไป – กลับ 600 บาท

ค่าอาหาร และเครื่องดื่ม 1,000 บาท

ของฝาก 300 บาท

รวม 1,800 บาท