แบกเป้ ... หิ้วกล้อง ... ตะลุยหมอก ... ไปชาร์ตแบตชีวิต

ทริปนี้เป็นทริปแรกในรอบหลายปีที่เราตัดสินใจเเบกเป้และออกเดินทางคนเดียวอีกครั้ง 

เราตั้งโจทย์สำหรับทริปนี้ไว้สามข้อ คือ "รถไฟ...สายหมอก...ลุยเดี่ยว"

นั่งคิดนอนคิดอยู่หลายตลบสุดท้ายหวยเลยไปออกที่นี่ "อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ"

หลังจากได้ที่หมายแล้วเราก็ต้องมานั่งศึกษาข้อมูลการเดินทางจากรีวิวและกระทู้ต่างๆ มากมายได้ข้อมูลในเบื้องต้นว่ารถสองแถวที่จะพาเราขึ้นไปยังอุทยานแห่งชาติทองผาภูมินั้นมีรอบวิ่งต่อวันน้อยมากเริ่มตั้งแต่ 10.30 - 12.30 น. เป็นที่แน่นอนว่าหากเราเดินทางด้วยรถไฟ เราไม่น่าจะไปถึงตลาดทองผาภูมิทันรอบรถแน่ๆ แล้วอย่างงี้คืนแรกเราจะนอนที่ไหนดีหละ? มีปัญหาให้ต้องขบคิดอีกแล้วสิ

รอบนี้เราเลยเอาแผนที่จังหวัดกาญจนบุรีมากาง แล้วเราก็พบข้อมูลว่าเลยตัวอำเภอทองผาภูมิไปอีกไม่ถึง 100 กิโลมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งหนึ่งนั่นคือ "สังขละบุรี" เราเลยตัดสินใจไปนอนค้างที่นั่นแล้วตอนเช้าค่อยตีรถกลับลงมาตลาดทองผาภูมิเพื่อต่อสองแถวขึ้นไปอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ

ทริปนี้จึงเกิดขึ้น 

"กรุงเทพ - กาญจนบุรี - สังขละบุรี - อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ (บ้านอีต่อง) "

เริ่มเดินทาง : เช้าวันที่ 24 สิงหาคม 2559 เราเริ่มออกเดินทางโดยรถไฟออกจากสถานีธนบุรี ปลายทางสถานีน้ำตก ในเวลา 7.50 น. โดยรถไฟขบวนที่ 9257 ซึ่งเป็นขบวนรถบริการสังคมหรือพูดง่ายๆว่ารถไฟฟรีนั่นแหละ จับจองที่นั่งเสร็จก็ชมวิวยาวๆ กันไป

แล้วเราก็เดินทางมาถึงสถานีน้ำตกในเวลาประมาณเกือบๆ บ่ายโมง ต่อรถสองแถวออกมาจากสถานีน้ำตกเพื่อรอรถไปสังขละบุรีในราคา 20 บาท เราเลือกที่จะเดินทางโดยรถบัสพัดลมสีแดง ค่าโดยสารจากหน้าน้ำตกไทรโยคน้อยไปสังขละบุรีรวมทั้งสิ้น 130 บาท เป็นการนั่งรถชมวิวที่แสนจะชิล อากาศเย็นสบาย และมีโอกาสพูดคุยกับพี่กระเป๋ารถบ้างในบางโอกาส

แต่เนื่องจากรถคันที่เราขึ้นเป็นคันสุดท้ายที่จะเดินทางไปถึงสังขละบุรี (คันอื่นๆหลังจากนี้จะไปถึงแค่ตลาดทองผาภูมิ) เราเลยต้องพักรถที่ตลาดทองผาภูมินานกว่าปกตินิดหน่อยเพื่อรอรับบรรดาน้องๆ นักเรียนที่จะเดินทางกลับบ้านในเย็นวันนั้น ... แต่ไม่ต้องห่วงนะว่ารอนานๆจะเกิดอาการเบื่อ เพราะเราอาศัยช่วงเวลาพักรถไปไหว้พระและเดินตลาดนัดตรงบริเวณใกล้จุดพักรถ ซื้อโน่นซื้อนี่กินจนอิ่มแปล้ (ขอบอกว่าของกินอร่อยๆ เพียบ)

จากนั้นไม่นานก็ออกเดินทางกันต่อ บรรยากาศสองข้างทางระหว่างเดินทางไปสังขละบุรีนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะมันเย็นสบายและเขียวชอุ่มจนเราติดใจ แถมบางช่วงยังมีฝนโปรยลงมาเพิ่มความชุ่มชื่นให้ต้นไม้สองข้างทางอีกด้วย

นั่งชิลมาเรื่อยๆ ในที่สุดก็เดินทางมาถึงสังขละบุรีจนได้ อาจจะใช้เวลาเดินทางนานหน่อย (ตั้งแต่บ่ายโมงครึ่ง ถึง เกือบๆหกโมงเย็น) แต่ก็เป็นการเดินทางที่เราไม่รู้สึกว่ามันนานสักนิด เพราะมันตอบโจทย์การออกเดินทางครั้งนี้ของเรามากๆ

คืนนี้เราพักที่ OHDEE HOSTEL ในราคาคืนละ 590 บาท ที่พักอยู่ตรงข้ามกับไปรษณีย์และใกล้กับจุดจอดรถบัสนิดเดียว (สารภาพว่าตอนแรกเราโบกพี่วินไปแล้ว พอบอกจะไปโอ้ดี พี่วินทำหน้างงแล้วชี้ๆ บอกน้องเดินไปเถอะนะ ใกล้แค่นี้เอง ... จริงของพี่วินแก เดินยังไม่ทันเหนื่อยเลยก็ถึงที่พักแระ 555) เราพักเป็นห้องแบบดอมมิเทอรี่ (แต่มีเรานอนคนเดียวทั้งห้อง) แม้จะเป็นห้องน้ำรวมแต่ห้องน้ำสะอาดมาก แถมมีจักรยานให้ยืมปั่นไปโน่นไปนี่ด้วย

ได้ที่พักแล้วเราก็ไม่รอช้า รีบปั่นจักรยานไปสะพานมอญทันทีเพื่อชมพระอาทิตย์ตก

เมื่อเดินเที่ยวข้ามไปข้ามมาจนพอใจแล้ว ก็กึ่งปั่นกึ่งจูงจักรยานกลับไปหาของกินที่ตลาดใกล้ๆ ที่พัก อาหารที่นี่ราคามิตรภาพ ถูกปากใช้ได้เลย ถ้ามีโอกาสต้องลองกินหมูเสียบไม้ดูนะ ไม้ละ 1 บาท รับรองจะติดใจ ...

เมื่อท้องอิ่มก็ได้เวลากลับโฮลเทล เล่นกับน้องแมวเหมียวที่ล็อบบี้เล็กน้อยก่อนขึ้นไปอาบน้ำและนอนเอาแรง ขอบอกว่าโฮลเทลที่นี่สะอาด แอร์เย็น ผ้าห่มอุ่น และเตียงนุ่มสบายมาก จนแอบกลายเป็นอุปสรรคเล็กๆ ของเราในตอนเช้าเพราะไม่อยากลุกจากเตียงไปไหน

************************************************

วันที่สอง : เราตั้งใจว่าจะเริ่มต้นวันด้วยการข้ามไปตักบาตรที่ฝั่งมอญในตอนเช้า เราเลยเดินออกจากโฮสเทลเพื่อไปยังสะพาน เดินไปได้หน่อยเดียวเจอพี่สาวใจดีจอดมอไซด์ถามเราว่าจะไปสะพานใช่มั๊ย? เดี๋ยวพี่ไปส่ง ... นี่แหละนะที่เค้าบอกว่าคนสวยมักใจดี 555 ไอ้เราก็ไม่รอช้าโดดขึ้นมอไซค์พี่สาวคนสวยตรงไปยังสะพานมอญทันที

แล้วเราก็ได้ตักบาตรสมใจ สำหรับชุดตักบาตรนั้นมีให้เลือกหลากหลายทั้งชุดเล็ก ชุดใหญ่ ส่วนเราเลือกชุดใหญ่ในราคา 99 บาท พร้อมโปรโมชั่นพี่เจ้าของร้านถ่ายรูปให้ฟรีเพราะเรามาคนเดียว 555

 

ตักบาตรเสร็จก็เดินข้ามกลับมาฝั่งไทย โบกพี่วิน (ในราคา 20 บาท) กลับที่พักไปอาบน้ำ เก็บของ รับประทานอาหารเช้า (ประกอบด้วยขนมปังปิ้งและกาแฟสด) จากนั้นก็ร่ำลาเจ้าแมวเหมียวพนักงานต้อนรับประจำโฮสเทล โบกพี่วินอีกครั้ง (ในราคา 10 บาท) ไปยังท่ารถตู้ด่านเจดีย์สามองค์ – สังขละบุรี – ทองผาภูมิ – กาญจนบุรี

ค่ารถตู้จากสังขละบุรีไปตลาดทองผาภูมิราคา 120 บาท ซื้อตั๋วเสร็จกระโดดขึ้นรถ ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงตลาดทองผาภูมิ (8.40 – 10.10 น.)

ถึงแล้วก็ไม่รอช้ารีบเดินตรงไปยังบริเวณที่รถสองแถวจอดในทันที โดยรถสองแถวจะจอดอยู่บริเวณหน้าตลาด ตรงข้ามกับเซเว่น รถสองแถวบริเวณนั้นส่วนใหญ่จะมีสีเหลืองจอดเรียงกันหลายคันต้องสังเกตดีๆ มิฉะนั้นอาจมีการขึ้นผิดคันกันได้ คันที่เราจะขึ้นต้องเขียนข้างๆ รถว่า “ทองผาภูมิ - อุทยาน – อีต่อง” ราคาค่าโดยสาร 70 บาท

   

แต่ก็นั่นแหละคุณผู้ชม ขุนเขาที่ว่ามั่นคงยังสั่นคลอนได้นับประสาอะไรกับใจคน เราเกิดอาการลังเลขึ้นมาว่าคืนนี้เราจะนอนที่บ้านพักอุทยานหรือไปนอนโฮมเสตย์ที่บ้านอีต่องดี เราเลยเดินไปตีสนิทคุณลุงขับรถสองแถวแล้วถามข้อมูลการท่องเที่ยวกับแกนิดหน่อย คุณลุงแนะนำว่าลองไปนอนที่บ้านอีต่องไหมแล้วเช่ามอไซด์บ้านลุงไปเที่ยวอุทยานเอาก็ได้ นอนที่อุทยานคนเดียวมันว้าเหว่น๊า ... เท่านั้นแหละฮะ อิฉันเลยตัดสินใจไปนอนโฮมเสตย์ที่บ้านอีต่องเพราะเราไม่อยากว้าเหว่ 5555

*** ปล.สำหรับท่านไหนที่อยากขึ้นไปเที่ยวอุทยานทองผาภูมิ บ้านอีต่อง หรือจะไปปีนเข้าช้างเผือก ลองโทรไปนัดแนะรถสำหรับการเดินทาง (จะได้ไม่ตกรถ) หรือเหมารถคุณลุงเที่ยวล่วงหน้าก่อนก็ได้นะ คุณลุงชื่อ ลุงจันทร์ เบอร์โทร 092-5497098 (ลุงแกขับรถดี ไม่ซิ่ง และใจดีมากขอบอก) ว่าแล้วก็แนบรูปคุณลุงที่เราแอบถ่ายมา

ได้เวลาออกเดินทางไปบ้านอีต่อง รอบนี้เราเลือกที่จะนั่งหน้าไปกับคุณลุงเพื่อจะได้ดูเส้นทางและสอบถามข้อมูลต่างๆ แต่ทางไม่ค่อยได้ดูหรอกนะ เพราะมัวแต่เม้าท์กะคุณลุง ถามลุงไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นไม้ใบหญ้ายันชีวิตการทำงานในเหมืองปิล๊อก ขอบคุณที่ลุงไม่รำคาญเราและให้ข้อมูลไปตลอดทาง

ลุงยังพาเราไปเที่ยว (แถม) ตรงจุดชายแดนไทย – พม่า ด้วยนะ ลุงบอกว่าเห็นเรามาคนเดียวเลยพามาชมวิวก่อน

สุดท้ายเราก็มัวแต่เม้าท์กับลุงจนลืมหาข้อมูลว่าคืนนี้จะพักที่ไหน เราเลยต้องใช้วิธีเปิดเน็ตเสิร์ซกูเกิ้ลตอนรถเลี้ยวเข้าหมู่บ้านประมาณ 2 นาทีและตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่าคืนนี้เราจะนอนที่นี่ “อาร์มโฮมสเตย์” ราคาที่พักวันธรรมดา 600 บาท (วันหยุด 800 บาท) รวมอาหารเช้าและมีน้ำอุ่นให้อาบ ... นี่แหละน๊าข้อดีของการมาเที่ยววันธรรมดา

เก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย เราก็เดินไปบ้านลุงเพื่อรับมอไซด์ที่ติดต่อไว้ เช่าไปเลยทั้งวัน 350 บาทพร้อมน้ำมันเต็มถัง (แต่ก็นะสงสัยลุงเห็นเราไปคนเดียว ลุงเลยแอบลดราคาให้เรานิดหน่อย)

ได้มอไซด์แล้วทีนี้ก็เหลือแต่การเที่ยว เที่ยว และเที่ยว

ที่แรกที่เราตั้งใจมากๆ ว่าจะต้องไปให้ได้ คือ “อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ” เสียค่าเข้าอุทยาน 60 บาท (รวมค่าเข้าน้ำตกจ๊อกกระดิ่นและค่าเอามอไซด์เข้าอุทยานไปเลยในคราวเดียว) เดินไปเดินมาชมโน่นชมนี่จนพอใจ ก็เดินทางไปน้ำตกต่อ

ออกจากอุทยานเราก็ไปเที่ยวต่อที่น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ขอบอกว่าทางลงนี่แอบทำใจแป้วไม่น้อย มันทั้งชันทั้งเงียบมีแต่ป่ากับป่า ลากเกียร์หนึ่งยาวๆ ไปทั้งขาลงขาขึ้น ... แต่พอลงมาถึงน้ำตกแล้วนี่ดิ ลืมความลำบากทุกอย่าง น้ำตกไหลแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย สวยมาก และที่สำคัญทั้งน้ำตกมีแค่เรากับพี่เจ้าหน้าที่ตรงป้อมด้านนอกสองคน ถ่ายรูปเพลินไม่มีเพื่อนร่วมเฟรม แต่ไม่ต้องห่วงว่าเราจะตกน้ำตกท่า เพราะเราไม่ได้เล่นน้ำ เราแค่นั่งแช่เท้าฮัมเพลงมองน้ำตกลงมาจากหน้าผาเท่านั้นก็ฟินสุดๆ แล้ว

เอาหละได้เวลาอันควรที่เราจะไปต่อยังที่หมายต่อไป “เนินช้างศึก” เราตั้งใจมากที่จะเดินทางไปที่นั่น ด้วยความคิดในหัวที่ว่าแสงสวยๆ ตอนเย็นต้องทำให้เราฟินมากแน่ๆ

แต่ ....

ขี่มอไซด์ไปได้ครึ่งทางฝนก็เริ่มตกและตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเราต้องเอาเสื้อกันฝนมาใส่ ขี่ต่อไปอีกสักพักเริ่มไม่ไหว มันไม่ใช่แค่ฝนอย่างเดียว เมฆก็มา หมอกก็มา ประกอบกับเราห่วงกลัวกล้องจะเปียก เราเลยต้องหักใจรีบบึ่งกลับหมู่บ้านอีต่องโดยด่วน เพื่อสวัสดิภาพของตัวเราเองและกล้องถ่ายรูปที่ยืมน้องมา

กลับมาถึงหมู่บ้านเอารถไปคืนลุงจันทร์ นั่งคุยกับลุงและป้า (ภรรยาลุงจันทร์) สักพัก ลุงก็กางร่มมาส่งที่โฮมเสตย์ ... เราเลยได้นั่งเล่น นอนเล่น อยู่ท่ามกลางสายหมอกและสายฝน พี่แกลอยมาทีก็ขาวโพลนที มีความสุขแบบเงียบๆ รู้สึกถึงความสโลว์ไลฟ์และความมีเสน่ห์ของหมู่บ้านอีต่องก็ตอนนั้นแหละ

 

 ตกเย็น ฝนซา เราเลยกางร่มเดินเล่นรอบหมู่บ้านแล้วไปกินข้าว (อาหารตามสั่งราคาย่อมเยาว์อีกเช่นเคย ข้าวราดหมูกะเทียม ไข่ดาว เป๊บซี่ ในราคา 55 บาท อิ่มจนถึงเช้า)

อิ่มแล้วก็กลับไปนั่งชมวิวตรงระเบียงหน้าห้อง เข้านอนแบบไม่ต้องง้อพัดลม เป็นคืนที่หลับสบายที่สุดในรอบหลายเดือนของเราเลย

************************************************

วันที่สาม : ลุงบอกไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าวันนี้เป็นวันพระ เราจึงตั้งใจจะตื่นเช้าไปไหว้พระที่วัดในหมู่บ้าน เช้านี้เลยตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งล้างหน้าล้างตาแล้วเดินไปวัดพร้อมกับเสียงทำวัดเช้า แม้ทางจะยังมืดๆ แต่เดินออกจากโฮมสเตย์นิดนึงก็มีเพื่อนร่วมทางจนได้ ไม่ใช่ใครที่ไหนพี่หมาเบิ้มหน้าโฮมสเตย์นั่นแหละ เดินไปเดินมาพี่แกก็ตามสมัครพรรคพวกมาร่วมเดินไปด้วยกันรวมทั้งสิ้นสามตัว ไปไหนไปกัน

กลับลงมาจากวัดก็เดินไปถ่ายรูปที่เหมืองปิล็อกและเดินเล่นในหมู่บ้านอีกนิดหน่อย  จากนั้นก็กลับไปอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวต้มตอนเช้า พร้อมเดินทางลงเขามาด้วยรถของลุงจันทร์เจ้าเดิม

อ่อ รถสองแถวออกจากหมู่บ้านอีต่องวันนึงจะมีด้วยกันสี่รอบ คือ 6.30 น. 7.00 น. 7.30 น. และ 8.00 น. แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ก็ต้องเช็คดูให้ดีเพราะบางวันอาจจะมีไม่ถึงสี่รอบ 

ขาลงเขาเราเลือกนั่งข้างหลังเพื่อสัมผัสอากาศและชมวิวข้างทาง สำหรับเรา เรารู้สึกเลยว่าป่าที่นี่ยังสมบูรณ์อยู่มาก สองข้างทางสวยงามเขียวชอุ่ม แถมยังได้เจอทั้งหมอก ทั้งเมฆที่ลอยเข้ามาทักทายเป็นระยะ ... ทริปนี้คอมพลีสแล้วหละ เจอหมอกเยอะจนเราอิ่มอกอิ่มใจมากจริงๆ  

แต่ยังไม่จบแค่นั้น ลุงจันทร์เห็นว่าเมื่อวานเราอดไปเที่ยวเนินช้างศึก วันนี้ลุงเลยแวะจุดชมวิวข้างทางให้ชมวิว 5 นาที  วิวสวยจนลืมหายใจ

กลับลงมาถึงตลาดทองผาภูมิก็เหมือนสัญญาณเตือนว่า “ใกล้จะจบทริปเต็มทีแล้ว” บอกลาลุงจันทร์ เดินหาของกินในตลาดนิดหน่อย ก็มารอรถตู้สายเดิมเพื่อเดินทางเข้าตัวจังหวัดกาญจนบุรี ค่าโดยสารจากทองผาภูมิเข้าเมืองกาญจนบุรี ราคา 120 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง แอร์เย็น นั่งสบาย โดยเรียกตรวจบัตรประชาชนบ้างบางด่าน แต่เราก็ยังแฮปปี้

พอรถตู้ส่งเราที่สถานีขนส่งเมืองกาญจนบุรี เราก็ต่อรถตู้อีกรอบเพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพ รถตู้กาญจบุรี-กรุงเทพ มีหลายวินมาก เลือกดูเลือกหากันได้ตามใจชอบในราคา 110 บาทนะจ๊ะ

และแล้วเย็นวันนั้นเราก็เดินทางถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ ... เป็นอันจบทริป  

 ************************************************

แม้เราจะไม่ใช่คนที่ออกเดินทางบ่อยอะไรมากมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกๆการเดินทางมีเสน่ห์ในตัวเองเสมอ 

ขอบคุณที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้นะ

“ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเดินทาง”