ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
แบคแพ็คตะลุยเมืองน่าน ตามล่านาสีเขียว ก่อนจะโดนเกี่ยวหายไป ทันดูใจกันวันสุดท้ายพอดี อำเภอปัว (Pua District) จ.น่าน
    • โพสต์-1
    Ajung •  มกราคม 24 , 2559

    เพื่อนาข้าวสีเขียว ช้านิดเดียวอาจไม่ทันการณ์

    เนื่องด้วยเป็นคนที่ชอบความเขียวของทุ่งนาถึงขั้น "กรีนลิซึ่ม" เลยเป็นที่มาของการตามล่าทุ่งนาสีเขียวซึ่งช่วงเวลาที่ไปเนี่ยก็ใกล้เก็บเกี่ยวเต็มทีแล้ว เกรงว่าจะไปไม่ทันดูใจ แล้วสถานที่พักแรมที่ได้เลือกไว้นั้นก็ตรงตามจุดประสงค์ ที่พักที่ว่านี้อยู่ อ.ปัว เป็นโฮมเสตย์ที่อยู่ท่ามกลางนาข้าวหลายร้อยไร่แต่ราคาแค่ 500 บาทต่อคืนอะ ที่กล่าวถึงนี้คือ "ตานงค์โฮมเสตย์" ตั้งอยู่ใน อ.ปัว ห่างจากตัวเมือง 60 กม. ก็ถือว่าไกลพอสมควร เพราะงานนี้จะเที่ยวในตัวเมืองด้วย สิ่งที่คาดการณ์ไว้คือต้องลำบากเรื่องการเดินทางนิดหน่อย แต่สุดท้ายกลับโชคดีกว่าที่คิดไว้ สิ่งนั้นคืออะไรไปติดตามกันในห้องนี้เลยค่ะ

    งานนี้ไปกันสามคนผู้หญิงหมดเลย ไปโดย VIP สมบัติทัวร์ กรุงเทพฯ-ทุ่งช้าง รอบสองทุ่มครึ่ง ในราคา 871 บาท นั่งสบายเพราะจองแบบเก้าอี้เดี่ยวไม่เอี่ยวกับใคร จัดให้สามเดี่ยวเลย นั่งเรียงกัน A2 A3 A4 มีทีวี ฟังเพลงส่วนตัว คนขับมีสองคนผลัดเวรกันขับ ตรงนี้ถือว่าสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารอย่างดี นั่งได้หายห่วง

     

    เรานั่งๆ นอนๆ จนถึงเช้าประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ ลงที่กาดปัว ซึ่งก็เลย อ.เมือง มาแล้วล่ะ เรามองหาวินมอเตอร์ไซค์เพื่อมุ่งหน้าไปบ้านตานงค์เลยค่ะ แต่วินมีแค่สองคันเท่านั้น เลยให้น้องคนเล็กซ้อนไปหนึ่งคัน ส่วนเรากับเพื่อนซ้อนสองเลย เบียดๆ หน่อย ไม่นานก็ถึงบ้านตานงค์ ส่วนค่าวินคิดไปคนละ 70 บาทเหนาะๆ (เหม่..ซ้อนสองนึกว่าจะลดให้เนาะ) ไม่เป็นไร มาถึงแล้วเป็นอันว่าปลอดภัยและก็มาเร็ว ห้องที่จองไว้ยังไม่เรียบร้อยดี ระหว่างรอเราก็ขอขึ้นไปชมเรือนคันทรี่ที่จริงๆ แล้วอยากพักเรือนนี้ แต่จองไม่ได้ เสียดายนะ เพราะเรือนนี้มีสามชั้น ถ้ามองวิวจากระเบียงชั้นบนคุณจะมองเห็นทุ่งนาเขียวเต็มหน้าเบย เรียกว่าต้องเตรียมทิชชู่ไว้คอยซับเลือดกำเดาไปพลางๆ อาจมีน้ำลายไหยย้อยด้วยนะเอ้า..

    ที่เห็นนี่คือเรือนคันทรี่ เป็นบ้านไม้สีขาว ผ้าม่านลายดอก โดนใจเจ้ฝุดๆ เยย ชั้นล่างน่ะตานงค์ (เจ้าของ) กับป้าเพียร (ภรรยา) พักอยู่ เป็นห้องครัวด้วย ส่วนชั้นสองมีสองห้อง ชั้นสามมีหนึ่งห้อง แต่ละห้องก็คืนละ 500 เท่านั้น แต่ถ้าเป็นหน้า high ก็ 700 บาทเอง มาดูหลังเต็มๆ กัน ส่วนทุ่งนาที่คาดหวังไว้ก็นับว่ายังโชคดีที่มาทันก่อนเกี่ยวข้าว คือวันที่มาเนี่ยเขาก็กำลังเก็บเกี่ยวกันแหละ เพียงแต่ยังเก็บไม่หมด เลยยังพอมีเหลือไว้ให้ยลโฉมกันบ้าง เค..พอใจแหละ ^ ^

     

    ในเรื่องของอาหาร ที่นี่ไม่มีฟรีมื้อเช้าหรอกค่ะ แหม่..ที่พักถูกเยี่ยงนี้ ไม่มีไม่เดือดร้อนอันใดเลย แต่ถ้าหิวก็บอกป้าเพียรทำให้กินได้เลย แต่เนื่องจากที่นี่เป็นวิถีชาวบ้าน อาหารที่สั่งอาจไม่ได้รวดเร็วทันใจนัก ลักษณะเป็นเหมือนแม่ทำข้าวให้ลูกกิน รอนานหน่อยแต่อร่อยดี อิอิ อย่างจานนี้ ง่ายๆ ก่อนนะ

    รอจนเที่ยง เอาของเข้าไปเก็บในบ้าน และนี่คือหลังที่เราได้ครอบครองเป็นเวลาสองคืน 555555 งามไหมล่ะกับราคา 500

    บริเวณหน้าบ้าน ไว้นั่งจกข้าวและเม้ามอย

    ดูเหมือนจะเป็นแพทเทิร์นนะ เวลาไปพักที่ไหนเป็นต้องมีแมว ที่นี่ก็เช่นกัน ลูกแมวกำลังซุกซนตามประสา

     

    หลังจากเก็บของเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว เราเริ่มปฏิบัติการเตร็ดเตร่แบบน้ำจิ้มกันก่อนใน อ.ปัว นี่แหละ จะไปกันยังไงล่ะ มาเที่ยวก็เอาปากมาด้วยอะนะ เลยมีการถามไถ่ปรึกษาหารือกับเจ้าบ้าน ไปไปมามาได้เรื่องว่า วันนี้ตานงค์เจ้าของโฮมสเตย์และที่นาทั้งหมดนี้ อาสาพาไปแอ่ว เอาแถวๆ นี้แหละ โดยคิดค่าเสียเวลาแค่ 500 บาท ราคาดูดีทีเดียว ไม่รอช้าพวกเราก็นั่งปิคอัพไปกันเลยจ้า

     

    สถานีแรกที่ไปคือ พระธาตุจอมแจ้ง ก่อสร้างเมื่อ คส.1700-1800 ภายในบรรจุเกศาของพระบรมสัมมาสัมพุทธเจ้า

     

    สถานีที่ 2 วัดภูเก็ต

    มองจากระเบียงวัด เห็นวิวกันแบบกว้างๆ จากนั้นเราไปต่อกันที่ "ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ" 

    ที่นี่เป็นร้านอาหารและเป็นที่พักด้วย

    เหตุผลนึงที่เราอยากมาที่นี่เพราะเราอยากกินสิ่งนี้ "พิซซ่าหน้าเห็ด" อร่อยสมคำร่ำลือ

    เมื่อท้องอิ่มร่างกายก็ต้องการพักผ่อน ตอนนี้ได้เวลาเย็นๆ พอดี กลับบ้านดีกว่าเนอะ

     

    ว่าด้วยเรื่องบริเวณโดยรอบของบ้านตานงค์นั้น ที่ชอบมากๆ นอกจากท้องนาแล้ว คือลำธาร ที่เราสามารถเดินเตะน้ำกันได้สบายใจในเวลายามเย็นเช่นนี้ ความสุขก็อยู่รอบๆ ตัวเรานี่เองอะเนาะ

    ปิดท้ายของวันนี้ด้วยมื้อค่ำอันแสนวิเศษ ขันโตกที่ทำโดยป้าเพียร ชุดนี้ 300 จ้า กินได้สามคน อร่อยที่สุดในสามโลก โดยเฉพาะลาบหมู

     

    สำหรับโปรแกรมในวันพรุ่งนี้ พวกเราจะไปเที่ยวในตัวเมืองน่านกัน โดยว่าจ้างตานงค์อีกเช่นเคย แต่แกไม่ได้เป็นคนพาไปนะ ตานงค์ให้ญาติเป็นคนขับรถพาพวกเราไปเที่ยวแทน ซึ่งพรุ่งนี้จะเที่ยวกันทั้งวัน แกคิดค่าเสียหาย 1,800 เพราะมีขึ้นดอยภูคาด้วยแล้วค่อยเข้าตัวเมือง ตอนแรกกะว่าหารสามก็ตกคนละ 600 บาทก็โออยู่นะ แต่โชคดีกว่านั้นค่ะ ระหว่างที่เรากำลังตกลงเรื่องเที่ยวกับตานงค์อยู่นั้น มีนักท่องเที่ยวห้องอื่นมาได้ยินเข้า แล้วเกิดความสนใจ จึงขอมาร่วมแจมโปรแกรมของเราด้วย ก็มีแม่ลูกคู่นึงมาแบคแพ็คด้วยกันสองคนไปกับเรา แล้วก็มีอีกสองคนดูแล้วน่าจะเป็นคู่รักทอมดี้ ขอติดไปกับเราด้วย แต่ไปแค่ดอยภูคา หลังจากนั้นคู่นี้เขาจะแยกจากเราเพื่อไปบ่อเกลือ สรุปงานนี้มีร่วมแจมกัน 7 คนเบย หารกันก็คนละ 320 เอง ถูกและลงตัวเป็นที่สุด

    • Ajung  ห้ามหลงทางล่ะ 55555 25 มกราคม 2559 15:41:23
    • Iam  ตามๆๆๆ 24 มกราคม 2559 22:24:55
    • โพสต์-2
    Ajung •  มกราคม 24 , 2559

    เข้าตัวเมือง ชีวิตที่ไม่ง่ายนักกับช่วงเทศกาล

    เข้าสู่วันที่สองของการเที่ยวเมืองน่าน เรานัดรวมตัวกันหกโมงเช้า ทุกคนตรงเวลาดีมาก เราสามคนนั่งในรถ ส่วนที่เหลือบอกว่าอยากนั่งกินลมข้างนอกมากกว่า

    ดอยภูคาคือเป้าแรกที่เราได้ไป แต่ไปช่วงนี้เราไม่ได้เห็นดอกภูคาหรอกนะ เพราะช่วงที่นางออกดอกจะอยู่เดือน ก.พ.-มี.ค.

    มาวันนี้เราจึงได้ยลแต่ลำต้น ซึ่งลักษณะลำต้นภูคาดูโดดเด่น เหมือนแต้มสีเป็นดวงๆ เปอะเลอะไปทั่ว

    ตามประวัตินั้น ชมพูภูคาพบครั้งแรกในไทย โดย ดร.ธวัชชัย สันติสุข บริเวณหุบลึกของป่าทึบใกล้ลำธารในป่าดิบเขา อ.ปัว จ.น่าน และพบแห่งเดียวที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคาเท่านั้น

     

    เราอยู่บนดอยไม่นานนัก น้องสองคนที่เป็นคู่ทอมดี้ก็ได้แยกตัวไปบ่อเกลือ เหลือเราห้าคนที่ต้องไปต่อที่ตัวเมืองน่าน ไป ไป สถานีแรกที่วัดพระธาตุแช่แห้ง วัดประจำปีเถาะนั่นเอง

    สถานีที่สองคือวัดภูมินทร์

    วัดนี้เดิมชื่อวัดพรหมมินทร์ สันนิฐานว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2139 ต่อมามีการบูรณครั้งใหญ่นานถึง 7 ปี ตัวอาคารสร้างเป็นทรงจตุรมุข เป็นพระอุโบสถและพระวิหารในหลังเดียวกัน

     

    ภายในวัดภูมินทร์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย 4 องค์ หันพระพักตร์ออกประตูทั้ง 4 ทิศ

    ที่วัดนี้มีไกด์ตัวน้อยคอยอธิบายความเป็นมาต่างๆ ของภาพจิตรกรรม ด้วยน้ำเสียงที่ฉะฉานดีมาก

    ภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงเรื่องราวชาดก ตำนานพื้นบ้านและวิถีชีวิตชาวน่านในอดีต และภาพนี้คือภาพกระซิบรักบันลือโลก "ปู่ม่านย่าม่าน" นั่นเองค่ะ เป็นโลโก้เมืองน่านไปแล้วนะภาพนี้ ในวันเทศกาลแบบนี้ เราไม่มีโอกาสได้กินร้านที่ตั้งใจได้เลยซักร้าน เนื่องจากคนแย่งกันกินแย่งกันเที่ยว ทุกร้านที่ไปแน่นเนืองไปด้วยผู้คน ที่เค้าว่ากันว่าเมืองน่านเป็นเมืองสงบ เห็นทีคงไม่ใช่ช่วงนี้แล้วค่ะ โดยรอบดูช่างวุ่นวายและอากาศร้อนมากด้วย คราวหน้าขอมาซ่อมใหม่นะคิดว่า มาวันธรรมดาแน่นอน สุดท้ายเอาไงเรื่องกิน ไม่น่าเชื่อว่ามาไกลถึงนี่ มื้อเที่ยงของพวกเราต้องมาลงที่โลตัส T T

     

    สถานีที่ 3 พระธาตุเขาน้อย

    สถานีต่อไป ร้านของหวานป้านิ่ม วันนี้อดกินบัวลอยเพราะเขาขายตอนเย็นๆ โน่น แต่เราอยู่เย็นไม่ได้ต้องรีบกลับ ปัว ไม่เป็นไรไว้คราวหน้าต้องกลับมากินให้ได้

    ตรงข้ามร้านขนม เข้าวัดศรีพันต้นก่อนกลับ ปัว

    • Iam  งดงาม 24 มกราคม 2559 22:27:36
    • โพสต์-3
    Ajung •  มกราคม 24 , 2559

    วันสุดท้ายต้องกลับบ้านแล้ว แต่สัญญาว่าจะมาอีกนะน่าน

    ตื่นเช้ามาวันนี้ 25 ตค 15 เดินเท้าจากโฮมสเตย์เพื่อไปวัดพระธาตุจอมทอง ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

    เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอป้ายวัด ยังไม่จบเพราะเราต้องเดินบันไดขึ้นไปประมาณ 500 ขั้นมั้ง เหอ ๆ ๆ ๆ แวะหอบตรงตะไคร่แป๊ะนึง ในที่สุดก็เดินมาถึงจนได้ เห็นองค์พระแล้วหายเหนื่อยเลยค่ะ สาธุ ประวัติความเป็นมาของพระธาตุจอมทองนั้น เมื่อสมัยพุทธกาล ปู่ลัวะย่าลัวะมาทำไร่แล้วเจอพระสงฆ์รูปหนึ่ง จึงเข้ามากราบไหว้ พระสงฆ์เห็นในความดีของปู่ลัวะย่าลัวะ จึงแสดงร่างเป็นพระพุทธเจ้า ตัดเกศาใส่ใบตอง มอบให้กับปู่ย่าทั้งสองไปสร้างพระธาตุ มีชื่อว่าพระธาตุจอมตอง ต่อมาเจ้าเมืองน่านได้ทำการปฏิสังขรและพระราชทานนามใหม่ว่า พระธาตุจอมทอง จนทุกวันนี้ วัดมีบริเวณกว้างขวาง แต่มีพระประจำวัดเพียงรูปเดียวเท่านั้น ขาลงกลับอีกทาง ระหว่างทางช่างเป็นอะไรที่ทำให้ชื่นหัวใจซะจริงเชียว

    นั่นไงเรือนคันทรี่ โฮมสเตย์ของตานงค์น่ะเอง นาข้าวก็ได้เกี่ยวไปเกือบหมดแย้ว แห้งแล้งเลย

    แต่นาข้าวก็ยังพอมีเหลือๆ อยู่บ้างนะ หูย...ชอบจุง เขียวสะใจเจ้ มื้อเช้าของวันนี้ต้องขันโตกที่ป้าเพียรทำเท่านั้น กินเสร็จเราก็เก็บเสื้อผ้าร่ำลาป้าเพียรกันเป็นที่เรียบร้อย ก่อนกลับขอเก็บงานอีกซัก 2-3 ที่ โดยว่าจ้างตานงค์อีกเช่นเดิม 500 บาท 5555 ราคายอดเยี่ยม เริ่มกันที่ วังศิลาแลง หรือ วังบอก ที่เรียกตามลักษณะหินเป็นช่องทรงกระบอก สาเหตุที่เป็นทรงนี้เพราะพื้นที่นี้เมื่อนานมาแล้วหลายพันปี เกิดการเลื่อนตัวของเปลือกโลก เมื่อกระแสน้ำกูนไหลผ่าน กัดเซาะเป็นเวลานาน จึงทำให้หินเกิดเป็นทรงกระบอก เมื่อชาวบ้านอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านหัวน้ำ ก็ได้สร้างฝายกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร จึงกล่าวได้ว่าแม่น้ำกูนหรือวังศิลาแลงแห่งนี้เป็นแม่น้ำที่เลี้ยงชาว ต.ศิลาแลง มาเป็นเวลาช้านาน

    ไปต่อกันที่ น้ำตกศิลาเพชร เป็นน้ำตกที่อยู่บริเวณตอนกลางของดอยภูคา อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยจัดการต้นน้ำ น้ำย่าง ในพื้นที่หมู่บ้านป่าตอง ต.ศิลาเพชร อ.ปัว จ.น่าน

    น้ำตกเกิดจากลำน้ำย่าง มีทั้งหมด 3 ชั้น มีน้ำไหลตลอดปี ทั้งสองฝั่งของน้ำตกเป็นหน้าผาลาดชัน มีความสมบูรณ์ของป่าเบญจพรรณและป่าดิบเขา น้ำเย็นๆ กำลังไหลละเลียดไปตามง่ามนิ้วเท้า ฟินซะจริงเชียว

    สุดท้ายละที่ น้ำตกตาดหลวง

    น้ำตกตาดหลวงตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา หมู่บ้านทุ่งเฮ้า ต.อวน อ.ปัว จ.น่าน ลักษณะเป็นแอ่งน้ำตก สายน้ำไหลลดหลั่นกันลงมาผ่านโขดหินเป็นชั้นๆ กระแสน้ำไหลแรงมาก นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นแหล่งอนุรักษ์ปลาพลวงอีกด้วย (ที่เห็นขวาสุดนั่นละ ตานงค์ เท่ห์มะ) ตานงค์ขับรถมาส่งที่สมบัติทัวร์สาขาปัว ก่อนรถมาตอน 18.30 น. ก็ฆ่าเวลาด้วยสิ่งนี้

     

    สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดมีดังนี้
    - ค่ารถ VIP สมบัติทัวร์ ขาไป 871 ขากลับ 871 บาท
    - ที่พักคืนละ 500 + เสริม 100 = 600 นอน 2 คืนเป็นเงิน 1,200 หารสามคน = คนละ 400 บาท
    - เหมารถเที่ยววันแรกครึ่งวันใน อ.ปัว 500 หาร 3 = คนละ 167 บาท
    - เหมารถเที่ยววันที่สอง 1,800 ขึ้นดอยภูคาและเที่ยวตัวเมืองน่าน หาร 7 คน (ห้องอื่นมาร่วมแจมด้วย) มีสองคนที่ไปแค่ดอยภูคาอย่างเดียว เลยเก็บแค่ 200 คงเหลือ 1,600 ที่ต้องหารกัน 5 คน ก็คือคนละ 320 บาท
    - เหมารถเที่ยววันสุดท้ายใน อ.ปัว แวะ 3 ที่ 500 หาร 3 ตกคนละ 167
    - ขันโตกหัวละ 100 กินไป 2 โตก = 600 หาร 3 = คนละ 200 บาท
    - ค่ามอไซจากกาดปัวไปบ้านตานงคนละ 70 บาท
     

    รวมเสร็จอยู่ที่ 3,066 บาทต่อคน

     

    สำหรับทริปนี้ถือว่ายังไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ สิ่งที่คาดหวังจึงบังเกิดขึ้นว่า ฉันจะต้องกลับมาที่นี่อีก เมืองน่าน ยังมีอะไรอีกมากมายที่ฉันยังไม่ได้ปฏิบัติที่เมืองๆ นี้ สัญญากับตัวเองว่าจะกลับมาอีก ซึ่งไม่นานมานี้ก็ได้จองเครื่องไปน่านแล้วเรียบร้อย ด้วยโปรแสนถูก 290 เชื่อหรือไม่ 555555 แล้วเจอกัน กันยา 59 นี้ ช่วงกรีนซีซั่น

     

    อัพเดทข่าวสารข้อมูลได้ที่ แฟนเพจเฟสบุค : ลากแตะไปแชะฝัน