24 ชั่วโมง @ รอยัล พาวิลเลี่ยน หัวหิน พักสะดวก อิ่มสบาย ผ่อนคลายสปา
“หัวหินเป็นถิ่นมีหอย ไปได้บ่อยๆ ไปแล้วไปอีก” ปีนี้ไม่รู้ผมผูกพันอะไรกับหัวหินหนักหนาเพราะมีเหตุให้ต้องเวียนวนแถวนั้นหลายรอบเหลือเกิน และต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาก็มีเหตุให้ต้องหวนนั่งรถมุ่งลงใต้สู่หัวหินอีกรอบ ไปพบปะพูดคุยธุระกับผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งที่นั่น เรียกว่าจำเป็นต้องเก็บกระเป๋าขึ้นรถแบบหมดสิทธิ์ปฏิเสธ
อย่างไรก็เถอะคราวนี้ไม่เหมือนก่อน เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตครับที่ไม่ได้มาหัวหินเพื่อพักผ่อนท่องเที่ยว ขอสารภาพว่าตอนแรกไม่คิดทำรีวิวอะไรหรอกด้วยเพราะรู้ดีว่าคงอยู่แค่ในโรงแรม แต่ไฉนถ่ายรูปเล่นไปถ่ายรูปเล่นมา สุดท้ายสัญชาตญาณก็นำพาให้มานั่งเขียนรีวิวโรงแรมที่พักเสียอย่างนั้น น่าจะเรียกว่ามีบางสิ่งบางอย่างฝังอยู่ในสายเลือดเข้าให้แล้ว (ฮา...)
สถานที่นัดพบและผู้ใหญ่ท่านจองห้องพักไว้ให้คือโรงแรมรอยัล พาวิลเลี่ยน หัวหิน ครับ อยู่ใกล้ปากซอยหัวหิน 70 ตรงข้ามปั๊มเอสโซ่ ก่อนไปเยือนลองเปิดหาในอากู๋พอรู้ว่าดูดีหรูหราน่านอนอยู่ รีวิวในอะโกด้ามากกว่าสองพันรีวิวได้มาตั้ง 8.2/10 คะแนน แต่เปิดหาแผนที่โรงแรมแล้วตงิดใจเล็กน้อย เพราะค่อนข้างคุ้นแถวนี้มากแต่กลับรู้สึกว่าไม่เคยเห็นตัวโรงแรมมาก่อน เอาเถอะไปให้ถึงเดี๋ยวก็ได้คำตอบเองแหละ
ออกเดินทางพร้อมกับคุณนาย (ตามคำสั่งว่าพาแฟนมาด้วยสิ) โทรศัพท์สอบถามทางโรงแรมได้รับคำแนะนำว่าให้นั่งรถตู้ กทม.-หัวหิน ของคิว จูน แอนด์ เจมส์ อนุสาวรีย์ชัย ฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี จะมาลงหน้าโรงแรมพอดี รถวิ่งราวสามชั่วโมง ราคา 180 บาท เวลานัดคือตอนเย็นย่ำแต่ผมเลือกออกเดินทางก่อนครับ ออกจากเมืองกรุงสิบโมงเศษๆ เลยมีเวลาเหลือเฟือสำหรับการสำรวจโรงแรม
ถึงที่หมายแล้วจึงต้องร้องอ้อ สาเหตุที่ไม่เคยเห็น รอยัล พาวิลเลียน หัวหิน เพราะเป็นโรงแรมสร้างใหม่นี่เอง เปิดมาแค่ประมาณสามปี คราวล่าสุดที่ผมมาขึ้นรถตู้วินตรงนี้กลับกรุงเทพ โรงแรมยังไม่ได้สร้างเลย และวินรถตู้ที่ว่ามาส่งถึงหน้าโรงแรมจริงครับ ลงรถแล้วก้าวอีกยี่สิบสามสิบก้าวก็เข้าโรงแรมแล้วล่ะ
ที่ตั้งทำเลโรงแรม สำหรับคนต้องการเที่ยวแบบรีสอร์ทพักผ่อนริมหาดคงว่าไม่ค่อยดี แต่ถ้าใครไม่สนใจหาดหัวหิน (ซึ่งผมไม่เคยสนเลย) ถือว่าเยี่ยมยอดมากครับ เดินทางสะดวก ติดถนน ใกล้ตลาดโต้รุ่ง หาของกินง่าย มีทั้งแฟลิมิลี่มาร์ท กับโลตัสเอ็กเพรสอยู่แค่ปลายจมูก หากใครไม่ได้ขับรถมาเองยิ่งสะดวกสุดๆ สองแถวเขียววิ่งผ่านหน้าโรงแรมให้ขวักไขว่
เข้ามาด้านในบรรยากาศบริเวณล็อบบี้ใช้ได้เชียว สวย สะอาดตา หรูหราเบาๆ แต่ไม่ไฮโซโอเว่อร์ มาถึงแล้วก็ทำตามสัญชาตญาณครับ ต้องหามุมถ่ายรูปตามระเบียบ


ถือว่าโชคดีมากที่ลั่นชัตเตอร์เก็บภาพไว้ก่อน เพราะอีกไม่ทันครบนาทีรถตู้คันหนึ่งก็พาแขกนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนกลุ่มใหญ่มาเช็คอินพอดี ที่รู้เพราะสอบถามโรงแรมน่ะครับ เขาบอกว่านักท่องเที่ยวจีนที่เราเห็นคุยขโมงโฉงเฉงที่หัวหินน่ะ ส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ไม่ใช่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ และลูกค้าต่างชาติกลุ่มหลักของหัวหินตอนนี้มาจากมาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นส่วนมากด้วย
ด้านข้างล็อบบี้คือ The Recipe ห้องอาหารขนาดกะทัดรัด มีโซนอินดอร์ เอาต์ดอร์ หน้าประตูบอกว่าเปิดสิบเอ็ดโมงถึงสี่ทุ่ม คิดว่าเดี๋ยวตอนกลางคืนน่าจะมาทานอาหารนั่งคุยกันที่นี่แหละมั้ง

หรือหากจะเช่ามอเตอร์ไซค์ก็สามารถติดต่อที่ฟร้อนท์ 250 บาทต่อวัน รถจากร้านเช่าจะมาส่งหน้าโรงแรม แล้วเห็นมีป้ายบริการนำเที่ยวด้วย ตั้งแต่โซนเพชรบุรี เขาวัง ถ้ำเขาหลวง ไล่มาชะอำ ซานโตรินี่ สวิส ชีพ ฟาร์ม คาเมล รีพับลิก เดอะ เวเนเซีย จนถึงไร่องุ่นหันหิว น้ำตกป่าละอู ก็แล้วแต่ความชอบครับ สำหรับผมบอกเลยว่ามอเตอร์ไซค์คันเดียวเอาอยู่
เอาล่ะ เช็คอินเข้าห้องพักกันดีกว่า ผู้ใหญ่ใจดีจองไว้ให้เสร็จสรรพแล้ว ผมกับคุณนายพักห้องพรีเมียร์ สวีท ดูราคา Rack Rate ที่ติดหน้าเคาน์เตอร์แล้วอาจตกใจ แต่ถ้าจองผ่านอะโกด้าหรือเว็บจองโรงแรมอื่นๆ เท่าที่ผมเช็คดูก็อยู่ราวสองพันห้า ประมาณนั้น
ห้องพักสวยและดูสะอาดมากครับ ใช้สีขาวเป็นหลักตัดกับสีฟ้าซึ่งคงไม่ต้องบอกล่ะนะว่าให้ฟีลท้องทะเล ห้องของเราแบ่งเป็นสองส่วนคือห้องนั่งเล่น มีชุดโซฟา ทีวี มุมมินิบาร์ กว้างขวางสบายใช้ได้เลย


เอนหลังพักบนโซฟาตากแอร์จนเย็นฉ่ำเวลายังไม่พ้นผ่านไปมาก ตอนแรกคิดว่าจะชวนคุณนายไปชายหาด หรือเดินเล่นเพลินวาน พอดีโทรศัพท์คุยกับผู้ใหญ่ท่านบอกว่าให้ไปทำสปารอสิ ตอนแรกผมยังลังเลอยู่ครับ กระทั่งได้ยินคำบอกว่า “เท่าไหร่เดี๋ยวไปจ่ายให้” แค่นั้นแหละครับเป็นอันจบเรื่อง (ฮา...)
จากข้อมูลที่หามาตอนแรกเห็นว่าที่โรงแรมมีสปาก็ยังนึกสงสัยเหมือนกันว่าอยู่ตรงไหน คำตอบคือเขาดัดแปลงห้องพักชั้นสองมาเปิดเป็นสปาครับ บรรยากาศอาจไม่หรูเลิศเหมือนสปาตามโรงแรมรีสอร์ทส่วนใหญ่ แต่ผมว่าก็เหมาะดีนะ ดูเรียบง่ายด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือไม่แพงมาก แบบนี้ไม่มีใครเลี้ยงผมก็คงจ่ายไหวครับ

ผมเลือกนวดฝ่าเท้า อยากลองเพราะหมอนวดบอกว่าเป็นการนวดแบบกดจุดสะท้อนเท้า ดีกว่าการนวดฝ่าเท้าตามร้านทั่วไปในกรุงเทพ ส่วนคุณนายเลือกนวดน้ำมันอโรม่า ซิกเนเจอร์ โดยใช้น้ำมันอุ่น มีให้เลือกสามกลิ่น ลาเวนเดอร์ ดอกไม้ไทย และตะไคร้หอม ราคานวดกดจุดเท้าของผม 400 บาท ของคุณนาย 600 บาท ถือว่าเป็นการนวดที่ไม่แพงเลยโดยเฉพาะกับการนวดในโรงแรมอย่างนี้
ขอบอกว่านวดกดจุดสะท้อนเท้าเป็นอะไรที่ถูกใจผมมากครับ ปกติผมชอบนวดเท้าอยู่แล้วแต่มักเจอไม่ขาดก็เกิน นานทีจึงจะเจอหมอนวดถูกใจ แถมคราวนี้เป็นการนวดกดจุดจากหมอที่มีความรู้ทางศาสตร์ด้านนี้จริงๆ จับแป๊บเดียวรู้อาการแล้วว่าผมเส้นตึงตรงไหน ปวดตรงไหน ควรแก้ยังไง แถมเดาออกอีกว่าผมน่าจะใช้ชีวิตแบบไหน กระซิบให้ฟังครับว่าหมอชื่อป้าสีดา ใครมานวดกดจุดสะท้อนเท้าที่นี่ขอรีเควสต์ขอป้าแกเป็นคนนวดเลยครับ นอกจากนวดสบายแล้วยังพูดคุยน่ารักมาก สำหรับคุณนายเธอนวดน้ำมันก็บอกว่านวดดีผ่อนคลายสบายตัวเช่นกัน
ใกล้เย็นนั่นแหละกว่าจะได้พบปะกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่นัดกัน คำทักทายแรกพร้อมเสียงหัวเราะคือ “เป็นยังไงบ้าง ห้องสวยถูกใจไหม” จึงได้คำเฉลยครับว่าทำไมเตียงนอนของผมถึงดูหรูหราเหลือเกิน และสุดท้ายหนีไม่พ้นคำถามที่ใครต่อใครพากันถามไถ่ผมเป็นประจำ “เมื่อไหร่จะมีลูกกันล่ะนี่” (ฮา..)
กลับเข้าเรื่องเข้าราวดีกว่าครับ ตอนแรกนึกว่าคงนั่งทานดินเนอร์พูดคุยกันที่ห้องอาหาร The Recipe แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ ที่นี่มีห้องอาหารบนดาดฟ้าบรรยากาศดี Blue Sky Bar เปิดตั้งแต่หกโมงครึ่งถึงประมาณห้าทุ่มเที่ยงคืน วันนี้ฟ้าครึ้มแต่ฝนไม่ตก ลมพัดเย็นสบายไปเลย








เช็คเอาต์ออกก่อนเที่ยงเล็กน้อย ขากลับง่ายแสนง่ายเพราะคิวรถตู้อยู่ข้างโรงแรม ช่างเป็นอะไรที่สะดวกสบายเหลือเชื่อ
ไหนๆ ก็มาทางนี้แล้ว ขออีกนิดนะครับ (ฮา...)

----------------------------------------------------------------------------------
อยากคุยเรื่อยเปื่อยเรื่องท่องเที่ยว สอบถามข้อมูล (ถ้าผมมีให้นะ) หรือชวนเที่ยว ยินดียิ่งนะครับ
www.facebook.com/alifeatraveller
หรือ
----------------------------------------------------------------------------------

 
                     
                     
 
                


















































