สูดโอโซน ดมกลิ่นฝน ต้นฤดูเหงา ที่เขาค้อ

มีโอกาสได้ไปนอนเขาค้อมา1 คืน ซึ่งทริปนี้ อาจจะเรียกว่าทริปไม่ได้อย่างเต็มที่ เพราะไม่ได้อยู่ในแพลนที่วางกันไว้แต่เมื่อหนึ่งในสมาชิก มีบ้านอยู่เพชรบูรณ์พอดี๊ และนางต้องการความช่วยเหลือ 

เนื่องจากของนางเยอะจนไม่มีที่จะนอน ในหอพักของนางเลยต้องขนกล่องความทรงจำกลับบ้านบ้าง เลยเป็นโอกาสดีได้ติดสอยห้อยตาม ไปถึง"เขาค้อ"    

เราออกเดินทางกันตั้งแต่ 7โมงเช้าโดยประมาณ โดยใช้เส้นทาง ที่วิ่งเข้าตัวจังหวัดสระบุรี เช้าวันเสาร์ที่ไม่ใช่วันหยุดยาวรถไม่เยอะ ขับกันไปเรื่อยๆ เม้าส์เรื่องสัพเพเหระ ปล่อยมุขกันไป  ไม่นานก็เขาเขต อ. วิเชียรบุรีจนนึกขึ้นมาได้ว่า กรุงเทพฯชอบมีไก่ย่างวิเชียรบุรีปลอม ขายกันตรึม เรามาจนถึงล่ะ  จะไม่ซื้อออริจินอลได้ไงล่ะ

เรามาถึงตัวเมืองจังหวัดกันเกือบๆเที่ยง เอาของลง แวะให้เพื่อนได้พูดคุยกับครอบครัวซักพัก ก่อนจะขึ้นเขาค้อ เจ้าบ้านก็พาพวกเราไปกินบะหมี่ฟรีๆ ในตลาดของจังหวัด เหตุของการกินฟรี ก็เพราะเจ้าบ้านตัวอ้วนเนี่ยแหละ

เป็นเพื่อนกับลูกเจ้าของร้าน งานนี้ก็กินกันเปรมเลย  

 

อิ่มท้องก็เตรียมขึ้นเขาค้อได้เลย Let's go

ระหว่างทางฝนก็ตกมาพอดี  ดีว่าไม่ค่อยแรงเท่าไร เจ้าทีเร็กซ์ของเรายังสบายๆอยู่

ขับไปเรื่อยๆ ลัดเลาะตามทางโค้ง ของแนวขุนเขา ที่พักของเราในคืนนี้ อยู่ในต.เขาค้อ ไม่ไกลจาก ไปรษณีย์เขาค้อมากนัก จุดที่ได้ชื่อว่าวิวสวยแบบไม่ต้องคาดเดา  ก่อนจะถึงที่พัก อีกแค่อึดใจเราก็แวะ ถ่ายรูปกันก่อน ฝนก็โปรย แดดก็ไม่มี แต่พร็อพต้องมาหมวก แว่น ต้องพร้อม ^^

"ฟ้าสวย หมอกใส" ที่พักของเรา ในคืนนี้   อยู่เหนืออ่างเก็บน้ำรัตนัยความรู้สึกเหมือนเป็นรีสอร์ทส่วนตัวมากกกกกกกก พอเราไปถึงมีรถของแขกที่มาพักจอดอยู่แค่ 2คัน แถมช่วงLow season แบบนี้ราคาน่ารักสุดๆ ห้องแรก ราคาเต็ม ห้องที่สอง ลด50%  

จริงๆที่พักมีหลายแบบ หลายราคานะ ลองเข้าไปดู>>> http://fasaimoksuai.com/

ส่วนห้องพักของเราเป็นแบบดีลักส์ บนตึก3ชั้น ช่วงคนน้อย เราเลยจองกันได้ชั้นบนสุดพอดี  เราใช้เวลา กลิ้งไปกลิ้งมากันอยู่ซักพัก ก็ออกไปชมวิวทิวทัศน์ใกล้ๆกับที่พัก ตรงไปรษณีย์เขาค้อนั่นแหละ

ถ้าใครเคยมาเขาค้อ จะรู้ว่าตรงไปรษณีย์ มีบริการให้กางเต็นท์ได้นะ ถือเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยทีเดียว   แอบกระซิบว่าตอนนี้เขาทำห้องน้ำใหม่ล่ะนะ ดูดีกว่าแต่ก่อนเยอะเลย    

เดินเติดเตร่ถ่ายรูปกันซักพัก ฟ้าก็เริ่มมืดท้องก็เริ่มหิว มื้อเย็นเราฝากท้องกันที่ รีสอร์ทไร่จันทร์แรม

เพื่อนในกลุ่มอ่านรีวิวมาเยอะ บอกที่นี้แหละคนรีวิวเยอะ  เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา

อาหารใช้ได้ มาไว รอไม่นาน อากาศดี อาหารเลยอร่อยไปด้วย  

ท้องอิ่มก็กลับที่พัก ที่เหมือนเป็นส่วนตัวของเรากันได้.  

 

หกโมงเช้าของวันที่14มิ.ย58 เราตื่นมาพร้อมกับสายฝนที่เพิ่งจะหยุดไป

จากที่ตกตลอดทั้งคืน  แต่น่าแปลก ว่าสายฝนของต่างจังหวัด ไม่ได้ตกรุนแรงจนน่ากลัวเหมือนที่อยู่กรุงเทพฯเลย

หมอกเล็กๆในต้นฤดูฝน อาจไม่เป็นทะเลหมอกเท่าฤดูหนาว แต่ก็สดชื่นไม่น้อยเลยทีเดียว  

เช้านี้เราฝากท้องไว้ที่ รีสอร์ทเนี่ยแหละ ฝั่งที่เราอยู่เป็นโซนบีนะ ส่วนอาหารเช้าต้องไปที่โซนเอของรีสอร์ท

มื้อเช้าของรีสอร์ท มีทั้งBreakfast และข้าวต้ม เเต่ตอนที่เราไปไม่ได้เป็นแบบบุฟเฟต์นะ

พนักงานของรีสอร์ท จะจัดให้มาเป็นชุดๆเลยไม่แน่ใจว่าช่วง hight season

จะมีบุฟเฟต์ด้วยรึเปล่า แต่แค่สองอย่างเราว่ากำลังดีสำหรับตอนเช้าแล้วล่ะ  

อิ่มมื้อเช้ากันแล้วก็เตรียมตัวเดินทางกลับ แต่ก่อนจะกลับกรุงเทพ เราแวะไปชมสถานที่ที่ถือเป็นไฮไลท์ของเขาค้อกัน  "วัดผาซ่อนแก้ว"นั่นเอง  

   

วันที่พวกเราไป ตรงรอบๆองค์พระพุทธเจ้า 5พระองค์ เขาไม่ให้เข้านะ เราเลยได้แต่เดินอยู่บริเวณรอบๆนอกรั้ว แต่บริเวณเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว ยังเปิดให้เข้าชมตามปกติ  

หลังจากออกจากวัด ทุกคนก็ลงมติกันว่าไปหาโกโก้ กาแฟ ขนม กินกันดีกว่า และก็อีกตามเคยไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมขบวนการของเราไปอ่านรีวิวมาอีกตอนไหน รีบเสนอทันทีว่า

แถวๆวัดมีอยู่ร้านนึง สวย บรรยากาศดี แต่รสชาติเป็นไง ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้   

 

"Pino Latte"   ร้านกาแฟที่ อยู่เลยจากวัดไปไม่ไกลมาก มองจากวัดก็จะเห็นร้านเช่นกัน  

ภายนอกร้านสะดุดตาด้วยรูปทรงคล้ายๆตู้คอนเทนเนอร์ มีที่นั่งทั้งนอกร้านและในร้าน ช่วงที่เราไปเกือบจะเที่ยงละคนเยอะจนที่นั่งในร้านเหลือโต๊ะว่างไม่กี่โต๊ะเอง แต่ถ้าเป็นตอนเย็นๆ โต๊ะนอกร้าน คนน่าจะแน่นกว่าแน่ๆ  

บรรยากาศภายในของร้านตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาล พี่เจ้าของร้านที่นี้น่ารัก เป็นกันเองนะ สงสัยอะไรเค้าก็ตอบให้ข้อมูลได้ดี อ่อ ใครที่ติดโซเชียลก็ไม่ต้องกังวลเลย จิบโกโก้ไป เช็คอินได้ทันที เพราะที่ร้านมีไวไฟให้เล่นฟรีด้วย ^^  

นอกจากร้านกาแฟแล้ว "Pino Latte" ยังมีส่วนที่เป็นรีสอร์ทที่พักด้วยนะ   แอบถามพี่พนักงานช่วงไฮซีซั่น ราคาแอบแรงพอตัว แต่ถ้าใครชอบบรรยากาศและความเงียบ ที่นี่ต้องติดลิสต์ในใจแน่นอน  

เราดื่มด่ำกับบรรยากาศสีเขียวๆของภูเขา ฟ้าใสๆที่อยู่ตรงหน้ากันซักพัก ก่อนจะกลับไปเจอความจริงในเมืองที่มีแต่ความเร่งรีบ ผู้คน ถนน รถติด ทางที่เราต้องอดทนเพื่อให้ได้กลับมาเจอบรรยากาศแบบนี้อีก บรรยากาศที่ทำให้เราเสพติดกับธรรมชาติ  ถือเป็นการชาร์ตแบตสั้นให้ร่างกายเพื่อรับหน้าฝนที่กำลังจะมา...