สวัสดีสตูล ! พาเที่ยวตะรุเตา เล่าได้ไม่มีเบื่อ :)

สตูล เป็นจังหวัดเล็กๆที่เงียบสงบ อยู่ใต้สุดของประเทศไทย ในด้านทะเลฝั่งอันดามัน มีพื้นที่ติดต่อกับรัฐปะลิสประเทศมาเลเซีย

ครั้งนี้เราได้มาสตูลเป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกก็คือตอนนี้ที่ไปมาเลเซีย

มาหนนี้สตูลก็ยังเป็นเมืองที่น่ารักเหมือนเดิม ผู้คนน่ารัก สถานที่ท่องเที่ยวน่ารัก เรียกได้ว่าน่ารักกันทั้งจังหวัด 

รอบนี้เราจะพาไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา จังหวัดสตูลกันนะคะ

การเดินทาง-เวลา

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตานี้เปิดให้เที่ยวได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคมของทุกปี เนื่องจากในช่วงเดือน 6 เดือนถัดมาเป็นช่วงฤดูฝน ฝนตกหนักและทะเลจะคลื่นลมแรงมาก อาจไม่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวค่ะ

สตูลมีสนามบินประจำจังหวัด ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง ใครสะดวกจะมาลงที่นี่ก็ได้ หรือใครสะดวกมาที่ลงที่หาดใหญ่แล้วนั่งรถต่อมาลงที่สตูลก็ได้ค่ะ มีรถตู้จากหาดใหญ่มาที่ท่าเรือปากบารา อำเภอละงู จังหวัดสตูลเลย

โดยการเดินทางคือนั่งรถตู้จากสนามบิน มายังรถตู้ตลาดเกษตร แล้วต่อรถตู้จากตลาดเกษตรนี้มายังท่าเรือปากบาราค่ะโดยใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง

การเดินทางจากปากบาราไปยังเกาะต่างๆในอุทยานนั้นมีหลายหลายเรือให้เลือกสรร ทั้งจะเช่าเรือ speed boat หรือเรือเฟอร์รี่ หรือเรือไม้(เรือประมง) ก็สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของจำนวนสมาชิก จำนวนเงินในกระเป๋าได้เลยน้า สำหรับตัวจขกท.เองไปกับที่บ้านของเพื่อน (ใจดีและน่ารักมาก)ไปกันหลายคนมากๆเลยเป็นเรือไม้ลำใหญ่ไป เลยไม่มีข้อมูลของเรือเฟอรี่ แต่แอบเห็นในเว็บไซต์อื่นๆมีรายละเอียดเรื่องนี้อยู่ ใครสนใจไปกับเรือเฟอร์รี่ก็ลองหาดูนะคะ

สำหรับเวลา ก็แล้วแต่เรือที่ใช้เดินทางนั่นแหละ ถ้าเป็นเรือเฟอร์รี่ จากปากบาราไปหลีเป๊ะก็ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง

ถ้าspeed boat ก็จะประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งค่ะ

หมู่เกาะตะรุเตามีอะไรบ้างนะ

คำว่าตะรุเตา เพี้ยนมาจากคำว่า ตะโละเตรา เป็นภาษามลายู มีความหมายว่า มีอ่าวมาก มันมีเกาะน้อยใหญ่มากรวมแล้ว 51 เกาะ เค้าจึงจัดแบ่งหมู่เกาะน้อยใหญ่เหล่านี้รวมๆกัน ได้เป็นสองอาณาเขตเกาะใหญ่ๆ คือหมู่เกาะตะรุเตา และหมู่เกาะอาดัง-ราวี

หมู่เกาะตะรุเตาจะถึงก่อนหมู่เกาะอาดังราวี (อยู่ใกล้เมืองสตูลมากกว่า) มีอ่าวสำคัญๆเช่นอ่าวพันเตมะลากา อ่าวสน อ่าวมะขาม อ่าวตะโละอุดัง พอนั่งเรือมาเรื่อยๆก็จะผ่านเกาะไข่ (มองเห็นในเส้นทางเดินเรือ) ผ่านเกาะหินงาม (มองไม่เห็นในทางเดินเรือนะถ้าไม่ได้แวะ) หลังจากนั้นก็จะถึงบริเวณของหมู่เกาะอาดังราวี

เราจะเจอเกาะหลีเป๊ะและเกาะอาดังก่อนเลย เพราะมันอยู่ข้างๆกัน เลยไปด้านหลังก็จะเป็นเกาะราวี ที่มีหาดทรายขาว เกาะหินงาม เกาะหินซ้อน แต่ละเกาะจะเป็นยังไงเราไปดูกันเลยยย :)

เกาะไข่

เกาะนี้เราไม่ได้แวะ ได้แค่นั่งเรือผ่านเพราะติดขัดในเรื่องของเวลา โดยเกาะไข่นี้จะต้องเป็นเกาะที่ได้เดินทางผ่านแน่ๆถ้าเดินทางไปเกาะหลีเป๊ะ เพราะมันจะอยู่ระหว่างทาง

จุดเด่นของเกาะไข่คือซุ้มประตูหินธรรมชาติ มองๆแล้วก็รู้สึกว่าธรรมชาตินี่ช่างสร้างสรรค์จริงๆ

มันโค้งรับลงมากับหาดทรายได้อย่างสวยงาม สำหรับเกาะไข่นั้นทางอุทยานฯไม่ได้อนุญาตให้ค้างแรมบนเกาะ ไม่มีที่พักบนเกาะนะคะ

เกาะหลีเป๊ะ

เกาะหลีเป๊ะเกาะดัง เป็นเกาะที่มีความเจริญมากที่สุดในบรรดาเกาะทั้งหมด มีโรงเรียน,มีรพสต.,มีชุมชนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ยังมีบ้านหลังคามุงใบไม้หญ้าให้เห็น แต่ในขณะเดียวกันก็มีรีสอตท์ใหม่ๆและบาร์เบียร์สวยแปลกตาคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งสองสิ่งปลูกสร้างอยู่ไม่ห่างกันเลย ในความรู้สึกของเราหลีเป๊ะจึงเป็นเกาะที่มีความหลากหลายสูง ถ้าเปรียบเทียบกับคนก็คงเหมือนคนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยที่เป็นจุดเปลี่ยนผ่านของชีวิต กำลังทำความเข้าใจในตัวเอง หลีเป๊ะเองก็กำลังเผชิญกับสิ่งนี้อยู่เช่นกัน ระหว่างการจัดการสมดุลของการท่องเที่ยว กับด้านสิ่งแวดล้อมและวิถีวัฒนธรรมชุมชนให้ได้

ตอนเราไปก็เจอกับปัญหาในเรื่องนี้เหมือนกัน คือตรงส่วนที่เป็นชายหาดของหลีเป๊ะ มันค่อนข้างกว้างมาก และหาดสวย จึงทำให้มีกิจกรรมให้ทำค่อนข้างหลากหลาย เช่น เล่นวอลลเล่ย์ แต่ที่นิยมมากที่สุดน่าจะเป็นการนอนอาบแดดของชาวต่างชาติ

ทีนี้ในส่วนของรีสอตท์ที่มาเปิดตรงชายหาดเลยนั่นแหละ ชาวต่างชาติที่เป็นลูกค้าของเขาก็มานอนอาบแดดหน้าชายหาดตามปรกติ ซึ่งพอนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่เป็นคนไทยเดินผ่านตรงชายหาด พนักงานหรือเจ้าของกิจการรีสอตท์ที่ยืนคุมแถวนั้นก็มาไล่ให้คนอื่นๆที่ไม่ใช่ลูกค้าของเขา ‘ลงไปเดินข้างล่าง’

ข้างล่างในความหมายของเขา ที่หาดทรายตรงส่วนที่เป็นน้ำลดลงไป ตรงที่ใกล้ๆเรือ  มันเดินค่อนข้างลำบากเพราะมีเศษหอยค่อนข้างเยอะ ในความเป็นจริงคือชายหาดนั้นเป็นของทุกคน และดูตามบริบท ณ สถานการณ์ตอนนั้นการเดินเล่นของนักท่องเที่ยวไม่ได้รบกวนผู้อื่นเลย เหมือนเราเดินเล่นตามชายหาดปกตินั่นแหละ แค่ในความหมายของประโยคที่ไล่ให้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆไปเดินข้างล่าง คงเพราะทำให้ลูกค้าของรีสอตท์เขาดูไม่เป็นส่วนตัว ตรงนี้เรามองว่าเป็นปัญหาอย่างหนึ่งในเรื่องการจัดการการท่องเที่ยวอย่างที่ได้บอกมาข้างต้นปัญหาหนึ่งเลย

อย่างไรก็ตาม หลีเป๊ะนี่เขาบอกกันมาว่า ถ้าได้นั่งชมวิวตอนพระอาทิตย์ขึ้นและตกนี่มันสวยสุดใจจริงๆ ยังไงใครได้ไปพักค้างที่นี่อย่างลืมมานั่งดูกันนะ

เกาะอาดัง

เกาะอาดังมีป่าสน

ต้นสนสูงๆกับน้ำทะเลสีเขียว ทำให้เกาะอาดังดูสวยทรงพลัง

พอลงมาจากเรือแล้ว ด้อมๆมองๆลอดเงาสูงของป่าสนไปแล้ว ก็จะพบกับเตนท์ของอุทยานกางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ

ที่นี่เป็นตัวเลือกที่ขอแนะนำที่หนึ่งเลยสำหรับคนที่มองหาที่พักราคาไม่สูงมาก

เนื่องจากที่เกาะหลีเป๊ะราคาห้องจะค่อนข้างสูง

ราคาของเตนท์จะอยู่ที่เตนท์ละ 500 บาท/คืน ตอนเราไปนี่ไปถึงแล้วค่อยจองได้เลยนะไม่ต้องจองล่วงหน้า แต่ถ้าใครไปช่วงเทศกาลแนะนำจองก่อนล่วงหน้าก็ดีค่ะ

ห้องน้ำจะอยู่ถัดจากที่ทำการของอุทยานไปประมาณ 800 เมตร

ครั้งแรกที่เราไปเห็นห้องน้ำ เราถึงกับอุทานเลยว่ามันดีเกินคาด

ปริมาณพอเพียง สะอาด น้ำไหลดี

จะมีตอนเช้าบ้างที่คนตื่นมาพร้อมกันเยอะๆบ้างก็ต้องต่อคิวเข้าห้องส้วม แต่โดยรวมแล้ว ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดนะ

เกาะหินงาม

หาดของเกาะอื่นเป็นทราย แต่หาดของเกาะนี้เป็นหิน หินสีดำเกลี้ยงๆ มันวาว พอโดนแสงแดดกระทบแล้วมันเลยระยิบระยับ สวยแปลกตามากๆเลยละค่ะ

อีกหนึ่งความประทับใจของจขกท.คือเกาะนี้ดำน้ำสนุกมาก(ด้วยsnorkel) เพราะมันมีกองหินกว้างไปตลอดแนวรอบๆเกาะ ทำให้บริเวณใกล้ๆหาดไม่ลึกมากสามารถดำเล่นได้ปลอดภัย แล้วด้วยความที่เป็นกองหินทำให้เห็นธรรมชาติใต้น้ำที่หลากหลายมากเลย

เกาะราวี มีหาดทรายขาว

กรี้ดร้องแบบเบาๆตั้งแต่อยู่บนเรือแล้วมองไปเห็นหาดทรายขาวลิบลิบแล้ว !

หาดทรายอะไรมันจะขาวสวยสมชื่อขนาดนี้

จากจุดที่เค้าจัดไว้ให้จอดเรือ พอกระโดดลงไปปุ้ป มองไปเอียงๆ จะเห็นหาดทรายโค้งทอดตัวไปกับน้ำทะเลที่พอโดดแดดแล้วมันประกายระยิบๆ  สวยงามมากจริงๆ

ตัวหาดทรายตรงจุดที่ไว้เดินเล่นได้เนี่ยมันค่อนข้างสั้นนะคะ คือไม่กว้างมาก นิดเดียวก็น้ำทะเลแล้ว

ที่หาดทรายขาวนี้จะมีชิงช้าตัวใหญ่ๆผูกไว้ใต้ต้นไม้ด้วย

รูปนี้แอบถ่ายนักท่องเที่ยวมาคนนึง เค้านอนเล่นอยู่ที่ชิงช้าใต้ร่มไม้เย็นๆ แล้วมองเลยไปอีกนิดเห็นน้ำทะเลมันไล่ระดับสีกันสวยๆ  เราคิดว่าพี่คนนี้เค้าคงจะผ่อนคลายมากเลยทีเดียวแหละ มันสวยจริงๆ :)

สำหรับเราในการเดินทางครั้งนี้ 2 วัน 1 คืน กับ4-5เกาะของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา จริงๆแล้วยังมีเกาะสวยๆอีกมากถ้าไม่ติดขัดในเรื่องของเวลาก็อยากแนะนำไปกันนะเช่นเกาะหินซ้อน เกาะจาบัง เกาะรอกลอย ทุกๆเกาะจะมีเอกลักษณ์เด่นๆเฉพาะของเขาอยู่ สำหรับทริปครั้งนี้เราประทับใจมากจริงๆค่ะทั้งกับสถานที่และผู้ร่วมเดินทาง เป็นหนึ่งในความทรงจำดีๆในชีวิตเลย

สำหรับรีวิวเกาะในหมู่เกาะตะรุเตาครั้งนี้ก็มีเพียงเท่านี้น้า ถ้าใครมีข้อสงสัยอะไรอยากลองถามยินดีตอบนะถ้าตอบได้ แห่ะๆ แล้วใครที่เคยไปมาแล้วมาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้สึกกันได้นะคะ นี่เป็นรีวิวครั้งแรกของเราเลย ขอบคุณมากค่ะ :)