#ภูกระดึง...เอปิ๊ซู๊ดแรก

เสียงจอดของรถยนต์

ผู้คนเริ่มเดินกันขวักไขว

.

.

เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าทริปพิชิตยอดภูในฝัน(ของใครหลายๆคน)ของผมกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

ในเมื่อเวลามันมีความเห็นแก่ตัว ที่ไม่เคยคิดจะรอใคร

ผมจึงรีบจัดแจงอาบน้ำอาบท่า(ณ อุณภูมิเย็นใช้ได้เลยทีเดียว) ให้ตาสว่าง

พร้อมกับรับประทานอาหารเช้าที่ร้านเจ๊กิม ร้านชื่อดังเจ้าเด็ดแห่งผานกเค้า

เพราะแม่สอนเสมอว่า “มื้อเช้า...สำคัญ” นะจ๊ะคุณลูก 

โดยเฉพาะในวันที่มีศึกหนักรออยู่ข้างหน้าแบบนี้

.

.

แผนการพิชิต “ภูกระดึง” ของผมรอบนี้มีช่วงระยะเวลาไม่นานมากนัก 

คือ สองตะวัน(วัน)หนึ่งจันทรา(คืน)

ดังนั้น...เมื่อจัดการข้าวเม็ดสุดท้ายของมื้อเช้าเสร็จ ผมก็รีบพุ่งสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

ค่าใช้จ่ายรวมเบ็ดเสร็จรอบแรกก็มีประมาณ

ค่าเข้า 60 บาท (รถยนต์รวมคน)

ค่าธรรมเนียมขึ้นภู (ถ้าจำไม่ผิด) 20 บาท

ค่ากางเต๊นท์ 30 บาท

ค่าเช่าเต๊นท์ (คนเดียว) 120 บาท (อันนี้ไว้ไปจ่ายข้างบนอีกที)

ค่าลูกหาบ กก.ละ 30 บาท  

“แต่...ไม่คิด เพราะฟิตจัดขอท้าความบ้าพลังของตัวเอง ด้วยการแบกเองทั้งหมด”

.

.

ภูกระดึงนี้มีความสูงประมาณ 1,350 เมตร จากระดับน้ำทะเล 

นั่นหมายความว่าผมจะต้องปีน ปีนแล้วก็ปีน รวมแล้วเป็นระยะทางทั้งสิ้น 5.5 กม 

ในระดับความชันที่บอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา (ตามแผนที่...ที่บอกไว้)

จากนั้นยังไม่พอ เมื่อขึ้นถึงยอดภูหรือหลังแปแล้ว ยังต้องเดินเท้าต่อไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางอีกเป็นระยะทางประมาณ 3.5 กม. 

.

.

เรียกได้ว่า

ทริปในฝันของผมที่นี่ คือ การย้อนรำลึกถึงการเดินทางไกลของการเรียน รด. หรือ ลูกเสือยังไงยังงั้น ​>_<

 

ผมออกสตาร์ทขึ้นภูช่วงสายนิดๆ พร้อมกับอุปรณ์ยังชีพ(กล้ามเนื้อ) 

เพราะเนื่องจากมัวแต่จัดเตรียมสัพภาระ ว่าอันไหนจำเป็น หรืออันไหนควรอยู่ตรงไหนยังไง

เพื่อให้การเดินสะดวก สบายและเจ็บตัวน้อยที่สุด

“ซำแฮก” ผ่านไป..ร่างกายเริ่มออกอาการเล็กน้อย แต่ยังพอมีฟอร์มอยู่

“ซำบอน” ก็ไม่เท่าไร...แค่มีอาการหายใจหอบถี่ออกมาบ้างบางครั้ง อาจจะวางกระเป๋าแรงไปบ้าง (แต่...ก็ไม่ถึงกับโดยน)

แต่...

พอเลย “ซำกกกอก” มาจนถึง “พร่านพรานแป” เท่านั้นเอง 

ร่างกายฟ้องทันทีว่าต้องการพลังงานแบบด่วนๆ

ผมจึงจำเป็นต้องหาอะไรเย็นๆ หวานๆ ทานเสียแล้ว เพื่อชดเชยพลังงานที่สูญเสียไป

ซึ่งผมเลือกแตงโมเหลือง แล้วก็ไม่ผิดหวัง ชื่นใจสุดๆ ฟินเว่อร์ๆ

เติมกลูโคส ซูโคสเสร็จก็จัดแจงเดินหน้าต่อ 

“ซำกกหว้า” ผ่านไปแบบไม่มีอะไร เพราะร่างกายเพิ่งจะพักมา 

ถึงแม้ว่าทางช่วงนี้จะลื่นๆนิด แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคเท่าใดนัก 

ต่อมาจนถึง “ซำกกไผ่” ร่างกายเริ่มประท้วงว่าหิวแล้ว ซึ่งผมเองขอฝืนร่างกายนิดหน่อย 

เพื่อจะขอกินมื้อเที่ยงที่ “ซำกกโดน” และก็ไม่ผิดหวังครับ 

เมื่อมาถึงที่หมาย โดยนกระเป๋าได้ ดื่มน้ำอัดลมเสร็จ ก็สั่งข้าวไข่เจียวหมูสับมาหนึ่งจาน

บอกตรงๆ ว่านี่เป็นข้าวไข่เจียวหมูสับที่ชื่นใจจริงๆ (งง...อะดิ๊ว่าชื่นใจยังไง) 

คือ ร่างกายมันขาดพลังงาน แต่ไม่ได้ขาดน้ำ 

ดังนั้นเมื่อได้น้ำตาลก็ดี หรือคาร์โบไฮเดรทก็ตาม ร่างกายมันรู้สึกเหมือนเป็นหนุ่มขึ้นอีกครั้ง 

.

.

เติมพลังเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ผมก็ลุยช่วงสุดท้ายกันต่อ

ซึ่งขอบอกได้เลยว่าช่วงนี้ไม่ธรรมดา คือ ชันและลื่น 

ยิ่งมาเจอบันไดเหล็กแบบ 85 องศาด้วยอีก บอกได้คำเดียวเลยครับว่า

พอถึงหลังแปเท่านั้น ผมโยนกระเป๋าทิ้งทันที 

.

.

สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร เพราะผมยังเหลืออีก 3.5 กม. เพื่อเดินแบบราบไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง ถึงแม้นจะเป็นทางเรียบก็จริง แต่อย่าลืมว่าร่างกายผมช้ำมาแล้วจากการเดินขึ้นหลังแป 

ดังนั้นถ้าสังเกตุดีๆ ก็จะไม่แปลกใจ ที่จะเห็นว่าสภาพการเดินของแต่ละคน ไม่ต่างกับผีดิบในซ๊รีย์เรื่อง Walking Dead 5555+

 

ติดต่อตอนต่อไป....