ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
    • โพสต์-1
    Tammy •  กรกฎาคม 02 , 2560

    หน้าฝนนี้ คิดถึงภูสอยดาว ( 1- 3 ก.ค. 2559)

    ....

    **..♫♬ ฝนตกยิ่งนึกถึงทีไร ก็ยิ่งชุ่มฉ่ำ อุ่นในหัวใจ ❥❥..**

    ฟังเพลงนี้ทีไรนึกถึง ที่นี้ทุกที รีวิวนี้เราออกเดินทางเมื่อปีที่แล้ว 2559 แต่เพิ่งจะมาเขียน

    1 - 3 ก.ค. 2559

    ภูสอยดาว แบบ3 วัน 2 คืน

    ..............................................................................................................................................................

    **ขอบคุณมิตรภาพดีๆ กับการเดินทางร่วมกัน หัวใจ**

    **..คำว่า "เพื่อนร่วมทาง" มีความหมายกับคนเดินทางอย่างเรา..**

    เรามารู้จักภูสอยดาวกันดีกว่าน่ะ..^^

               อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อยู่ที่ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ยอดสูงสุดของภูสอยดาวสูงจากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย (ไปครั้งนี้เราไม่ได้ไปถึงยอด2,102นะคะ เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูฝน จะเปิดให้เข้าช่วงประมาณ พ.ย.) และนางเอกของเรื่อง คือ ทุ่งดอกไม้สีม่วง ที่เรียกว่า "ดอกหงอนนาค"  และมีดอกไม้อื่นๆ หลากสีสันสลับให้เห็นอยู่ทั่วลานสน ซึ่งจะบานในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือน ส.ค. - ก.ย ของทุกปี


              เส้นทางเดินเท้าจากน้ำตกภูสอยดาวขึ้นสู่ยอดภูสอยดาวระยะทางประมาณ 6.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 4 - 6 ชั่วโมง ผ่านเนินต่างๆ คือ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง เนินมรณะ ซึ่งเป็นเนินสุดท้าย ที่ลาดชันที่สุด

    • โพสต์-2
    Tammy •  กรกฎาคม 02 , 2560

    เราออกเดินทางในคืนวันที่ 30 มิ.ย. 2559 ด้วยรถไฟปู๊นนนน..

    ได้ตั๋วรถไฟรอบ 21.00 น. ราคาตั๋วรถไฟ กทม - พิษณุโลก 179 บาทถ้วน

     

    ถึงสถานีปลายทาง(สถานีรถไฟพิษณุโลก)ก็ประมาณ  03.50 น.รอรถสองแถวที่เราเหมาไว้มารับ 04.30 น. (รถเหมาในราคาแบบไป-กลับ)

    DAY1  06.00 น. โดยประมาณ รถสองแถวแล่นมาหยุดที่หน้าตลาดสดเทศบาลตำบลป่าแดงเพื่อซื้ออาหารแห้ง อาหารสด(เนื้อหมู เนื้อไก่ รวนให้สุกก่อนเดินทาง เพื่อเก็บไว้หลายวัน) และของจำเป็นต่างๆ ให้ครบทุกมื้อที่ต้องอยู่บนภู  และไม่ลืมอาหารมื้อกลางวันระหว่างทาง ซื้อเสร็จก็ทานข้าวเช้ากัน และออกเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว 

     

    07.30 น. น. รถสองแถวพาเรามุ่งหน้าไปยังอุทยานฯ...

    สองข้างทางมองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน เห็นหมอกเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ปกคลุมอยู่ที่ปลายเขา ดูแล้วทุกอย่างช่างลงตัวเหลือเกิน รถแล่นมาเรื่อยๆ จนพบหมู่บ้าน ไร่สับปะรด เส้นทางที่มุ่งไปคดเคี้ยวเป็นระยะๆ มีทางโค้งขึ้นเขาไปเรื่อยๆ บรรกาศเหล่านี้ที่เมืองหลวงที่ที่เราจากมาคงยากที่จะหาได้ พวกเราต่างเพลินกับสิ่งรอบตัวไม่รู้ว่านานแค่ไหน พร้อมกับสัญญาณโทรศัพท์ค่อยๆ หายไป..

    09.00 น. เราเดินทางมาถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว จ่ายค่าเข้าอุทยานเรียบร้อย ก็จัดการเรื่องเช่าเต็นท์(หรือสะดวกพกมาเองได้) จ้างลูกหาบ(กิโลละ 30 บาท) จ่ายค่ามัดจำขยะ (200 บาท ลงมาค่อยมารับคืนค่ะ) และจัดการแยกของที่จะจ้างลูกหาบ(เราจ้างลูกหาบนะคะ ของเราขาขึ้นหนัก 7 กิโล) สำหรับกองกลางทั้งหมดเราจ้างลูกหาบค่ะ

    **อุทยานฯ จะเปิดให้ขึ้นลานสนภูสอยดาว ตั้งแต่เวลา 08.00-14.00 น. ของทุกวันค่ะ**

     

     

    **สิ่งที่ทางอุทยานฯ

            - เต็นท์

            - ถุงนอน

            - แผ่นรองนอน

            - หมอน

    * ด้านบนจะมีถังน้ำ และขันน้ำ ให้เช่า เพราะจะต้องนำถังใส่น้ำมาอาบที่ห้องน้ำ หรือใครสะดวกอาบที่น้ำตกใกล้ๆ ได้*

    **สิ่งที่ต้องเตรียมมาเอง**
         - พวกอาหาร ด้านบนไม่มี
         - หม้อสนาม และอุปกรณ์เครื่องครัว 
         - ด้านบนภูมีเตาอั้งโล่ให้เช่า แต่ต้องเตรียมถ่านไปด้วย 
         - ยากันยุง ยาสำหรับโรคประจำตัว 
         - น้ำ (เตรียมเฉพาะระหว่างทางคะ) ด้านบนมีน้ำฝนที่เจ้าหน้าที่รองไว้และน้ำในลำธารที่นำมาต้มดื่มได้ 
         - ไฟฉาย
         - เสื้อกันฝน

    **ตอนเราขึ้นไปไม่พบทากเลยนะคะ หายห่วงค่ะ 
     

    จากตัวอุทยานฯ จะมีรถกระบะของเจ้าหน้าที่ขับมาส่งยังเส้นทางเดินเท้า..

    โฉมหน้าผู้ร่วมชะตากรรมกับทริปนี้ของเรา^^

    ..พร้อมออกเดินทาง..

    น้ำตกภูสอยดาว

    ศาลเจ้าปู่ภูสอยดาว

    ทางเดินช่วงแรกๆ ยังคงดูสบายๆ ต้นไม้ใบไม้ระหว่างทางดูเขียวชะอุ่ม อากาศดูชื้นๆ เมื่อคืนที่ผ่านฝนน่าจะตก

    เราเดินตามสายน้ำตกไปเรื่อยๆ มีต้นไม้น้อยใหญ่ตามข้างทาง อากาศยังคงเย็นสบายไม่ร้อน

    ตลอดทางเดินเท้ายังคงชื้นอยู่ตลอดทาง เดินผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ ผ่านดงกอไผ่ ดงกล้วยต่างๆ ทางยังราบและมีชันเล็กน้อยเป็นบางช่วง แต่ยังเดินสบาย แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกัน..

    • โพสต์-3
    Tammy •  กรกฎาคม 02 , 2560

    เราเดินทางมาถึง "เนินส่งญาติ" เนินแรกแล้วว

    เซลฟี่หน่อย หน้าตายังไหวอยู่

    เจ่เล่ อันนี้ช่วยชีวิตนะ กินแล้วมีแรงชื่นใจ (ไม่รู้คิดไปเองมั้ย555)

     

    หายเหนื่อยแล้วพร้อมออกเดินทางต่อ ฮึบๆ เดินเรื่อยๆ ทางถือว่ายังสบาย ผ่านลานสนบ้าง ส่วนมากจะลักษณะเป็นป่าทึบ ที่อากาศเย็นสบาย อาจเพราะเมื่อคืนฝนตกและตอนนี้ด้านนอกอาจมีฝนโปรยปรายอยู่ก็เป็นได้..

    เดินไปเรื่อยๆ จะมีป้ายบอกลานสน อยู่เป็นระยะ แต่อย่าเพิ่งดีใจไป นั่นไม่ได้หมายถึงลานสนที่เป็นจุดกางเต็นท์ หึหึ!!

     

    เนินปราบเซียนแล้ววววววว...หอบมากกกกก รู้สึกว่าเดินตั้งนานเพิ่งเนินที่สองเองหรอ555

    ที่นี้ไม่มีแดดส่องลงมาถึง แต่รู้สึกร้อน อบอ้าวจากการเดินมาก เสียงหัวใจเต้นแรงๆ พร้อมเสียงหอบแฮกๆ 

    ทางเดินทางเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ มีทางลาดชัน ทางเรียบ สลับกันไป มีก้อนหินน้อยใหญ่ให้เห็นอยู่เป็นระยะ ซึ่งสร้างความยากง่ายแตกต่างกันไป ถือว่าเป็นสีสันในการเดิน5555

    สภาพป่าที่นี้ยังคงสมบูรณ์ ทำให้เห็นถึงสภาพป่าจริงๆ เหมือนป่าดิบชื้น อาจเพราะเรามาเดินในช่วงวันเปิดให้ขึ้นในวันแรกของอุทยานระหว่างทางเราเจอต้นไม้น้อยใหญ่ล้มขวางทางเป็นบางช่วงเมื่อคืนฝนคงตกหนักทำให้ต้นไม้เหล่าล้ม 

    นอกจากผ่านก้อนหินน้อยใหญ่แล้ว ยังมีบันไดให้เราได้เดินขึ้นเป็นบางช่วง  แต่อย่าคิดว่ามันสบาย โนค่ะ!! ต้องลองมาเดินแล้วจะรู้ อรรถรส !! 555

     

    ได้เวลาพักทานื้อกลางวันแล้วว..                                                                                                                       บริเวณนั้นมีแคร่ไม้ไผ้เล็กๆ ตั้งอยู่ระหว่างตั้นไม้ใหญ่สองต้น มีกองฟืนเล็ก ทที่ดูแล้วน่าจะมีคนเคยก่อตรงนี้ เราแวะพักมื้อกลางวันของเราที่นี้  มื้อเที่ยงเรามีไก่ย่าง หมูปิ้ง พร้อมข้าวเหนียว ระหว่างพักเราเจอนักท่องเที่ยว 2 คน ที่แวะพักที่นี้ด้วย 

    เราทำความรู้จัก นั่งคุยกัน พี่ๆ 2 คน มาที่บ่อยเกือบทุกปี ว่าทุกช่วงทั้งช่วงฝน ช่วงหนาว และครั้งถือว่าเป็นครั้งที่ 10 ก็ว่าได้ 

    เรานั่งคุยกันได้สักพัก เจอพี่ๆ ลูกหาบก็แวะนั่งพักตรงนี้เหมือนกัน เลยคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อย แลกเปลี่ยนความรู้กันและกันอย่างสนุกสนาน

     

    คนนี้ไม่ใช่ลูกหาบนะ เพื่อนเราเอง นางอยากลองแบกดู555

     

    เติมพลังเสร็จก็พร้อมออกเดินทางต่อ อีกแค่ 700 เมตรถึง "เนินป่าก่อ" สิวๆ เองน๊า

    ทางเดินจะเป็นทางเล็กๆ ตามรอย มีต้นหญ้าเคียงคู่ไปกับต้นไม้ที่ขึ้นสูงสองข้างทาง

     

    ระหว่างทางมองเห็นเขาอีกลูกอย่างชัดเจน หมอกค่อยๆ เคลื่อนที่มาปกคลุมเขาลูกนั้นจนมองไม่เห็นมันแล้ว 

    สองข้างทางยังคงมีต้นหญ้าสูงๆ ขึ้นสลับพันธุ์กันไปตามทาง ระยะทางที่เราเดินมาเท่าไหร่แล้วไม่รู้เลย สิ่งที่สัมผัสได้ในตอนนั้นมีแต่ธรรมชาติล้วนๆ  

    เราหยุดแวะพัก มีแคร่ไม้ไผ่เล็กที่วางไว้แถวนั้น เจอกับพี่ลูกหาบ พี่ลูกหาบบอกว่า "โน้นปลายเขาลูกโน้นนะลานกางเต้นท์" 

    ทางที่เดินยังคงยากง่ายสลับกันไป แต่หลังๆ เริ่มจะยากและชัน แต่ภาพที่ถ่ายคงเป็นทางที่ดูสบาย เพราะทางลำบากคงไม่ไหวที่จะควักโทรศัพท์ออกมาเก็บภาพ 

     

    แล้วเราก็เดินทางมาถึง "เนินป่าก่อ" แล้วววว เย้ๆ

     

    ระหว่างทางฝนเริ่มตกแล้ว...เสื้อกันฝนที่เตรียมมาก็ได้ใช้แล้วววว ^^ หลังทางเริ่มยากขึ้น และลาดชันไปเรื่อยๆ           เราเลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่  และที่เนินเสือโคร่งเราก็ไม่ได้ถ่ายรูปมา มันหอบมาก555 
    ..แล้วเราก็เดินมาเจอเนินสุดท้ายแล้วนะ ^^ยิ้มแห้งๆ ถ่ายรูปกันไป555

     

    ..เมื่อเริ่มเข้าสู่เนินมรณะ จะบอกว่าสมชื่อเนินจริง555

    ช่วงระหว่างบนเนินมรณะ เหมือนเราอยู่บนเนินเขาที่ค่อยๆ เดินขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไปให้ถึงปลายเขาบนนี้วิวสวยมาก มองเห็นทิวเขาอีกฝั่งที่วางเรียงสลับกันไป มีเมฆหมอกลอยตัวอยู่ด้านบน ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปมาตามกระแสลม..

    เห้ยยยยย!!! "ธรรมชาติที่ลงตัว" 

    เจอแบบนี้หายเหนื่อยเลยนะ...ขอสูดอากาศเก็บไว้ได้มั้ย^^

     

     

    ..ถ่ายรูปเสร็จก็ออกเดินทาง บางช่วงเราต้องแหวกหญ้าสูงๆ ไปเรื่อย (คือเราเตี้ยไงหญ้าสูงกว่า5555)  ช่วงเนินมรณะนี้พวกเราแทบไม่ได้คุยกันเลยค่ะ...หอบ!!!  

     

    16.00 น. สุดท้ายเราก็เดินมาถึงลานสนของจริง...

    แทบอยากจะกริ๊ดดังๆ เลย!!! แค่เห็นป้าย "ผู้พิชิตลานสนภูสอยดาว"
    โอ้ววววววววว...ฉันเป็นผู้พิชิตแล้ววววว5555

    เซลฟี่หมู่ซะหน่อย ขาดอีกสองคนกำลังเดินทางมาสบทบ

     

    ระหว่างทางไปลานกางเต็นท์ ก็พบดอกไม้สีม่วง หรือ "ดอกหงอนนาค" ถือเป็นนางเอกของที่นี่เลย..

    ซึ่งเริ่มทยอยแบ่งบานแล้ว คาดว่ากลางเดือนสิงหาคมคงกระจายเต็มทุ่ง

     

    เมื่อถึงที่พักเราก็ไปรับกระเป๋าต่างๆ ของเรากับที่ทำการ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เราเช่า พวกแผ่นรองนอน ถุงนอน ขันน้ำ และถังน้ำ  มีเพื่อนสมาชิกของเราที่นำเต็นท์มาเอง และเปลมา..

    ห้องนอนแต่ละคน

    ห้องครัวของเรา

     

    ...กว่าเราจะจัดการข้าวของกันเสร็จ หมอกก็เริ่มลงแล้ว มีละอองฝนปรอยๆ คละคลุ้งลอยในอากาศ หมอกค่อยๆ หนาลงเรื่อยๆ

    ใกล้ๆ ที่พักเรามีทุ่งดอกหงอนนาคที่เริ่มแบ่งบานความสวยแล้ว 

     

    มื้อเย็นของพวกเราเป็นเมนูง่ายๆ..

    ต้มยำข่าไก่ ผัดกะเพราหมู  และผัดวุ้นเส้นใส่ไข่

    ..หลังจากมื้อเย็นก็แยกย้ายกันอาบน้ำ น้ำต้องใช้ถังรองน้ำและถือไปอาบในห้องน้ำคะ และต้องพกไฟฉายด้วย ที่นั่นไม่มีไฟฟ้า ตกกลางคืนทั้งลมและฝนก็กระหน่ำลงมาเต็มที่ เต็นท์บางคนไม่แน่นหนาพอน้ำก็เข้าไปนอนด้วย เปรียบเหมือนนอนในเรือรั่วเลยทีเดียว
    • โพสต์-4
    Tammy •  กรกฎาคม 02 , 2560

    DAY2 วันที่ 2 ก.ค. 2559

    เตรียมมื้อเช้า..

    มื้อเช้า...กุนเชียงทอด   ไชโป๊ผัดไข่  ยำหมูยอ  โจ๊กใส่ไข่  

    เมื่อเสร็จภาระกิจมื้อเช้า เราก็เตรียมตัวลุย!!...เดินเที่ยวรอบๆ ภูสอยดาวกัน หลักๆ ที่พวกเราจะไปก็มีหลักเขตไทย- ลาว  น้ำตกสายทิพย์

    เราเดินมาทางด้านหลังของที่ทำการ เป็นลานสนขนาดกว้าง มีต้นสนเรียงรายดูสวยงาม...เราเลยต้องหามุมถ่ายรูปหมู่กันก่อนเลย

    บรรยากาศระหว่างทางเดินไป หลักเขตไทย-ลาว มีหมอกคลุ้งกระจายเต็มลานสนเป็นระยะ

    หลักเขตไทย- ลาว^^

    เจอฝนลงอีกแล้วววววว..^^


    เดินมาเรื่อยๆ เรามองเห็นภูเขาอีกลูกระหว่างทาง มีหมอกค่อยๆ ลอยปกคลุมเขาลูกนั้นจนขาวโพลน และค่อยๆ เคลื่อนตัวออก..

    เจอแบบนี้ฟินมว๊ากกกก...อากาศบนนี้ก็ดี๊ดีค่ะ

    ..เจอหมอก เจอฝนกันเรียบร้อยก็ได้เวลามื้อเที่ยง

    สำหรับมื้อกลางวัน...มาม่าปลากระป๋อง และตบท้ายด้วยของหวานกับเมนูกล้วยบวชชีเพิ่มความฟิน

    น้ำตกสายทิพย์ ไม่ไกลจากลานกางเต็นท์  ทางค่อนข้างจะชันและลื่นค่ะ เพราะมีฝนตกเรื่อยๆ น้ำที่น้ำตกเย็นมากค่ะ ไปสัมผัสมาแล้ว5555

     

    ที่นี่ไง...เฝ้ารอแสงอาทิตย์ตก นั่งมองเขาอีกลูก นั่งมองหมอกเคลื่อนตัวไปมา

    ระหว่างรออาทิตย์ลับขอบฟ้า

     

    สิ่งที่เฝ้ารอ...

    แสงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ลอดมาจากกลุ่มหมอก นั่น!! "พระอาทิตย์" กำลังจะคล้อยลับตา..

    เริ่มมืดแล้ว หมอกเริ่มลงเยอะ เราก็เดินกลับที่พักกันค่ะ อากาศเย็นๆ...

    • โพสต์-5
    Tammy •  กรกฎาคม 02 , 2560

    DAY3  วันที่ 3 ก.ค. 2559

    วันนี้เราต้องกลับกันแล้ว เมื่อคืนฝนตกและลมแรงมาก มีหลายเต็นท์ที่ไม่สามารถนอนได้ เพราะน้ำซึมเข้าเต็นท์  ต้องเข้าไปหลบกับเจ้าหน้าที่ตรงที่การ...


    ..มื้อเช้าของพวกเรามื้อนี้อาหารเยอะ เพราะแบ่งไว้เยอะเกินและต้องกินให้หมด5555 เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เก็บสัมภาระ เก็บขยะเพื่อนำลงไปทิ้งด้านล่าง และนำของที่ต้องจ้างลูกหาบไปแจ้งตรงที่ทำงาน...(ขากลับรู้สึกเหมือนกระเป๋าหนักกว่าเดิม เพราะผ้าเปียก555 9 กิโลแน่ะ)

    ดอกหงอนนาคด้านข้างที่ทำการอุทยานฯ

    ได้เวลาลงจากยอดภูสอยดาวแล้ว

     

    ...เห็นแล้วก็ขาสั่น ขาลงมีทั้งหมอกมีทั้งฝน ก็เกร็งๆ ขา และจิกปลายเท้าไว้กลัวลื่น

    ตอนลงสบายหน่อย ยิ้มแฉ่งกันเลย^^

    ตอนลงใช้เวลาไม่นาน น่าจะสัก 2-3 ชั่วโมงได้ในการลง 

    พักหายเหนื่อยเราก็นั่งรถกระบะของเจ้าหน้าที่ จากจุดเส้นทางเดินขึ้นภูสอยดาวไปยังอุทยานฯ อีกประมาณ 5 นาทีก็ถึง..

    ..พอมาถึงอุทยานฯ เราก็รับสัมภาระ คิดค่าใช้จ่ายตอนขาลง แยกย้ายกันอาบน้ำ เปลี่ยนชุด และทานอาหารที่อุทยานฯ ซึ่งพี่คนขับรถที่เราเหมาก็รออยู่แล้ว

    เสร็จภาระกิจต่างๆ เราก็ออกจากอุทยาน 17.30 น. มาถึงสถานีขนส่งพิษณุโลก 20.30 น. (ขากลับเปลี่ยนกลับรถทัวร์) พวกเราได้รอบรถ 23.00 น. ก็นั่งรอเวลา อัพรูป แชร์รูปกันไปและวางแผนสำหรับทริปต่อไป...
    **อยู่บนนั้นสัญญาณโทรศัพท์ไม่มีเลยนะคะ ตัดขาดจากโลกโซเชียลไปเลย**

     

    ***สรุปค่าใช่จ่าย***
        - ค่ารถไฟ 179
        - ค่ารถเหมา 462 
        - ค่ากองกลาง 400
        - ค่าเต็นท์ 500 (2 คืน รวมทุกอย่างแล้ว)
        - ค่าลูกหาบ รอบขาขึ้น 210 (7 กิโล) + รอบขาลง 270 (9 กิโล)= 480 (กิโลละ 30 น๊า)
        - ค่าข้าวมื้อเย็นที่อุทยาน ฯ 70
        - ค่ารถทัวร์ 270
      รวม 2361 บาทถ้วน