เราเดินทางมาถึง "เนินส่งญาติ" เนินแรกแล้วว
เซลฟี่หน่อย หน้าตายังไหวอยู่
เจ่เล่ อันนี้ช่วยชีวิตนะ กินแล้วมีแรงชื่นใจ (ไม่รู้คิดไปเองมั้ย555)
หายเหนื่อยแล้วพร้อมออกเดินทางต่อ ฮึบๆ เดินเรื่อยๆ ทางถือว่ายังสบาย ผ่านลานสนบ้าง ส่วนมากจะลักษณะเป็นป่าทึบ ที่อากาศเย็นสบาย อาจเพราะเมื่อคืนฝนตกและตอนนี้ด้านนอกอาจมีฝนโปรยปรายอยู่ก็เป็นได้..
เดินไปเรื่อยๆ จะมีป้ายบอกลานสน อยู่เป็นระยะ แต่อย่าเพิ่งดีใจไป นั่นไม่ได้หมายถึงลานสนที่เป็นจุดกางเต็นท์ หึหึ!!
เนินปราบเซียนแล้ววววววว...หอบมากกกกก รู้สึกว่าเดินตั้งนานเพิ่งเนินที่สองเองหรอ555
ที่นี้ไม่มีแดดส่องลงมาถึง แต่รู้สึกร้อน อบอ้าวจากการเดินมาก เสียงหัวใจเต้นแรงๆ พร้อมเสียงหอบแฮกๆ
ทางเดินทางเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ มีทางลาดชัน ทางเรียบ สลับกันไป มีก้อนหินน้อยใหญ่ให้เห็นอยู่เป็นระยะ ซึ่งสร้างความยากง่ายแตกต่างกันไป ถือว่าเป็นสีสันในการเดิน5555
สภาพป่าที่นี้ยังคงสมบูรณ์ ทำให้เห็นถึงสภาพป่าจริงๆ เหมือนป่าดิบชื้น อาจเพราะเรามาเดินในช่วงวันเปิดให้ขึ้นในวันแรกของอุทยานระหว่างทางเราเจอต้นไม้น้อยใหญ่ล้มขวางทางเป็นบางช่วงเมื่อคืนฝนคงตกหนักทำให้ต้นไม้เหล่าล้ม
นอกจากผ่านก้อนหินน้อยใหญ่แล้ว ยังมีบันไดให้เราได้เดินขึ้นเป็นบางช่วง แต่อย่าคิดว่ามันสบาย โนค่ะ!! ต้องลองมาเดินแล้วจะรู้ อรรถรส !! 555
ได้เวลาพักทานื้อกลางวันแล้วว.. บริเวณนั้นมีแคร่ไม้ไผ้เล็กๆ ตั้งอยู่ระหว่างตั้นไม้ใหญ่สองต้น มีกองฟืนเล็ก ทที่ดูแล้วน่าจะมีคนเคยก่อตรงนี้ เราแวะพักมื้อกลางวันของเราที่นี้ มื้อเที่ยงเรามีไก่ย่าง หมูปิ้ง พร้อมข้าวเหนียว ระหว่างพักเราเจอนักท่องเที่ยว 2 คน ที่แวะพักที่นี้ด้วย
เราทำความรู้จัก นั่งคุยกัน พี่ๆ 2 คน มาที่บ่อยเกือบทุกปี ว่าทุกช่วงทั้งช่วงฝน ช่วงหนาว และครั้งถือว่าเป็นครั้งที่ 10 ก็ว่าได้
เรานั่งคุยกันได้สักพัก เจอพี่ๆ ลูกหาบก็แวะนั่งพักตรงนี้เหมือนกัน เลยคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อย แลกเปลี่ยนความรู้กันและกันอย่างสนุกสนาน
คนนี้ไม่ใช่ลูกหาบนะ เพื่อนเราเอง นางอยากลองแบกดู555
เติมพลังเสร็จก็พร้อมออกเดินทางต่อ อีกแค่ 700 เมตรถึง "เนินป่าก่อ" สิวๆ เองน๊า
ทางเดินจะเป็นทางเล็กๆ ตามรอย มีต้นหญ้าเคียงคู่ไปกับต้นไม้ที่ขึ้นสูงสองข้างทาง
ระหว่างทางมองเห็นเขาอีกลูกอย่างชัดเจน หมอกค่อยๆ เคลื่อนที่มาปกคลุมเขาลูกนั้นจนมองไม่เห็นมันแล้ว
สองข้างทางยังคงมีต้นหญ้าสูงๆ ขึ้นสลับพันธุ์กันไปตามทาง ระยะทางที่เราเดินมาเท่าไหร่แล้วไม่รู้เลย สิ่งที่สัมผัสได้ในตอนนั้นมีแต่ธรรมชาติล้วนๆ
เราหยุดแวะพัก มีแคร่ไม้ไผ่เล็กที่วางไว้แถวนั้น เจอกับพี่ลูกหาบ พี่ลูกหาบบอกว่า "โน้นปลายเขาลูกโน้นนะลานกางเต้นท์"
ทางที่เดินยังคงยากง่ายสลับกันไป แต่หลังๆ เริ่มจะยากและชัน แต่ภาพที่ถ่ายคงเป็นทางที่ดูสบาย เพราะทางลำบากคงไม่ไหวที่จะควักโทรศัพท์ออกมาเก็บภาพ
แล้วเราก็เดินทางมาถึง "เนินป่าก่อ" แล้วววว เย้ๆ
ระหว่างทางฝนเริ่มตกแล้ว...เสื้อกันฝนที่เตรียมมาก็ได้ใช้แล้วววว ^^ หลังทางเริ่มยากขึ้น และลาดชันไปเรื่อยๆ เราเลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ และที่เนินเสือโคร่งเราก็ไม่ได้ถ่ายรูปมา มันหอบมาก555
..แล้วเราก็เดินมาเจอเนินสุดท้ายแล้วนะ ^^ยิ้มแห้งๆ ถ่ายรูปกันไป555
..เมื่อเริ่มเข้าสู่เนินมรณะ จะบอกว่าสมชื่อเนินจริง555
ช่วงระหว่างบนเนินมรณะ เหมือนเราอยู่บนเนินเขาที่ค่อยๆ เดินขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไปให้ถึงปลายเขาบนนี้วิวสวยมาก มองเห็นทิวเขาอีกฝั่งที่วางเรียงสลับกันไป มีเมฆหมอกลอยตัวอยู่ด้านบน ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปมาตามกระแสลม..
เห้ยยยยย!!! "ธรรมชาติที่ลงตัว"
เจอแบบนี้หายเหนื่อยเลยนะ...ขอสูดอากาศเก็บไว้ได้มั้ย^^
..ถ่ายรูปเสร็จก็ออกเดินทาง บางช่วงเราต้องแหวกหญ้าสูงๆ ไปเรื่อย (คือเราเตี้ยไงหญ้าสูงกว่า5555) ช่วงเนินมรณะนี้พวกเราแทบไม่ได้คุยกันเลยค่ะ...หอบ!!!
16.00 น. สุดท้ายเราก็เดินมาถึงลานสนของจริง...
แทบอยากจะกริ๊ดดังๆ เลย!!! แค่เห็นป้าย "ผู้พิชิตลานสนภูสอยดาว"
โอ้ววววววววว...ฉันเป็นผู้พิชิตแล้ววววว5555
เซลฟี่หมู่ซะหน่อย ขาดอีกสองคนกำลังเดินทางมาสบทบ
ระหว่างทางไปลานกางเต็นท์ ก็พบดอกไม้สีม่วง หรือ "ดอกหงอนนาค" ถือเป็นนางเอกของที่นี่เลย..
ซึ่งเริ่มทยอยแบ่งบานแล้ว คาดว่ากลางเดือนสิงหาคมคงกระจายเต็มทุ่ง
เมื่อถึงที่พักเราก็ไปรับกระเป๋าต่างๆ ของเรากับที่ทำการ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เราเช่า พวกแผ่นรองนอน ถุงนอน ขันน้ำ และถังน้ำ มีเพื่อนสมาชิกของเราที่นำเต็นท์มาเอง และเปลมา..
ห้องนอนแต่ละคน
ห้องครัวของเรา
...กว่าเราจะจัดการข้าวของกันเสร็จ หมอกก็เริ่มลงแล้ว มีละอองฝนปรอยๆ คละคลุ้งลอยในอากาศ หมอกค่อยๆ หนาลงเรื่อยๆ
ใกล้ๆ ที่พักเรามีทุ่งดอกหงอนนาคที่เริ่มแบ่งบานความสวยแล้ว
มื้อเย็นของพวกเราเป็นเมนูง่ายๆ..
ต้มยำข่าไก่ ผัดกะเพราหมู และผัดวุ้นเส้นใส่ไข่
..หลังจากมื้อเย็นก็แยกย้ายกันอาบน้ำ น้ำต้องใช้ถังรองน้ำและถือไปอาบในห้องน้ำคะ และต้องพกไฟฉายด้วย ที่นั่นไม่มีไฟฟ้า ตกกลางคืนทั้งลมและฝนก็กระหน่ำลงมาเต็มที่ เต็นท์บางคนไม่แน่นหนาพอน้ำก็เข้าไปนอนด้วย เปรียบเหมือนนอนในเรือรั่วเลยทีเดียว