ลุยป่าเขากำแพง ธรรมชาติเมืองกาญจน์ ที่ไม่ต้องไปไกลถึงทองผาภูมิ

"ที่ไหนนะ... เขากำแพง" ยอมรับตามตรงว่าผมขมวดคิ้วนิดหน่อยตอนได้ยินชื่อครั้งแรก แต่เมื่อคนชวนมีน้ำใจชวน ผมเองก็ควรสนองรับคำชวน ก่อนมารู้จากอากู๋ทีหลังว่าเขากำแพงเป็นเส้นทางเที่ยวเดินป่าขึ้นเขา ของอุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ กาญจนบุรี

ทำความเข้าใจสักนิด เพราะเมื่อพูดถึงเส้นทางเที่ยวป่าเมืองกาญจน์ ที่ร้องอ๋อก็ต้องพวก เขาช้างเผือก สันหนอกวัว ลำคลองงู ทองผาภูมิ ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของจังหวัด แต่ อช.เฉลิมรัตนโกสินทร์ อยู่ฝั่งตะวันออก ที่ทำการอุทยานฯ อยู่ในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ แต่เป็นคนละฝากป่ากับน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น หรือน้ำตกเอราวัณ เดินทางง่ายกว่าจากอำเภอหนองปรือ ติดกับสุพรรณบุรี เป็นโซนซึ่งนักท่องเที่ยวไม่นิยมมากนัก

ทริปสองวันหนึ่งคืน เสาร์-อาทิตย์ ต้นเดือนกันยายน ทว่าเราเดินทางตั้งแต่คืนวันศุกร์ กระจัดกระจายจากหลายที่ นัดรวมพลนอนค้างด้านล่างที่ที่ทำการอุทยานฯ เพื่อเตรียมตัวขึ้นเขาเช้าวันถัดไป วิธีการเดินทางสู่อุทยานฯ สะดวกด้วยรถส่วนตัวเท่านั้น ไม่งั้นต้องหารถเหมามาจากตัวอำเภอหนองปรือ (ที่อยู่อยู่อำเภอศรีสวัสดิ์แต่อย่าไปทางนั้นเด็ดขาดเชียวล่ะ) ระยะทางราว 20 กิโลเมตร

เช้าวันใหม่มาถึง รวมพลครบสิบเจ็ดชีวิต – สิบหกคนไทย กับฝรั่งนิวซีแลนด์อีกหนึ่ง ตื่นมาก็จัดแจงทำอาหารเช้ากินกันก่อน พร้อมเตรียมข้าวกลางวันไปกินกันระหว่างทาง

จุดเริ่มต้นขึ้นเขาอยู่ห่างจากที่ทำการฯ 2 กิโลเมตร เลือกได้ว่าจะเดินหรือนั่งรถ (มีค่าบริการเพิ่มเติม ผมสรุปให้ตอนท้าย) ซึ่งดูจากสถานการณ์แล้วเราขอถนอมแรงไว้ขึ้นเขาดีกว่า นั่งรถไปแล้วกันนะ

เจ้าหน้าที่นำทางสองคน เจ้าหน้าที่ลูกหาบอีกสาม รถมารับพวกเราสองรอบ ผมอยู่กรุ๊ปหลัง เริ่มเดินตอนสิบโมงเศษ

ขอบอกว่าตั้งแต่ก้าวแรกก็เป็นการเดินขึ้นเลยแหละ ทางไม่ชันมากครับแต่เหมือนร่างกายไม่ได้วอร์มอัพอะไรสักนิด เล่นเอาแต่ละคนหอบเหมือนกันแฮะ แถมเพราะด้วยไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก ร่องทางเลยไม่ชัด ป่าไผ่ช่วงแรกก็ค่อนข้างโปร่ง ซ้ายไปได้ ขวาไปได้ ตรงไปได้ รับรองว่าถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่นำทางมีหลงป่าแน่นอน

พวกเราเดินเลาะไหล่เขามาเรื่อยๆ ประมาณสี่สิบนาทีจึงมาถึงจุดที่ชื่อว่าเขาโบราณ เรียกแบบนี้เพราะมีการพบซากกำแพงหินเก่าแก่ รวมทั้งหลุมฝังศพมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาตร์ และสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ สันนิษฐานว่าตรงนี้คงเคยเป็นชุมชน เป็นจุดยุทธศาสตร์การรบ เส้นทางเดินทัพในศึกอยุธยา-หงสาวดี รวมทั้งน่าจะเคยเป็นเส้นทางของทหารญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สองด้วย

ความสูงของเขาโบราณอยู่ที่ 680 เมตร ส่วนจุดหมายของเรา 1,260 เมตร แต่หากเทียบเป็นระยะทาง เราเพิ่งออกตัวมาได้นิดเดียว เพราะเริ่มเดินที่ความสูงประมาณ 300 เมตร

ประมาณ 11.30 น. มาถึงที่พักจุดแรกสมทบกับกลุ่มนำที่รออยู่แล้ว จัดการมื้อกลางวันเติมพลังให้เรียบร้อย มีจุดเติมน้ำธรรมชาติอยู่ด้วย ขอย้ำว่าเป็นจุดเดียวของการเดินป่าครั้งนี้นะครับ เพราะฉะนั้นเตรียมให้พร้อม มีห้องน้ำห้องท่าแบบขัดตราทัพให้เข้าในกรณีฉุกเฉิน

ขอถ่ายภาพรวมสักแช้ะ เพราะตอนเริ่มเดินเราแยกกันมาสองกลุ่ม

เอาล่ะ... จากนั้นต้องลุยกันเต็มเหนี่ยวแล้วสิ เส้นทางยังค่อนข้างดิบมาก อุปสรรคขวางตลอด บางช่วงชวนให้หลงเหลือเกิน ร่องทางไม่มีเลยสักนิด อีกคนอ้อมซ้าย อีกคนอ้อมขวา แต่เดินไปเดินมาเดี๋ยวก็ซอกแซกมาเจอกันจนได้

คลำทางต้อยๆ ตามหลังเจ้าหน้าที่สักครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงจุดท้าทายที่สุดของการพิชิตเขากำแพง กับการขึ้นเนินที่มีชื่อว่า "เนินสามก้าว"

อ่านช้าๆ ชัดๆ "สามก้าว" ไม่ใช่ "สามเก้า" ความหมายตรงตัวชัดเจนว่าเดินสามก้าวก็ต้องพักแล้วล่ะ (ฮา...)

เนินสามก้าวโหดสมชื่อทีเดียว เป็นทางชันลากยาวขึ้นและขึ้นตลอดความสูงหลายร้อยเมตร อย่าว่าแต่พวกเราเลยที่เดินสามก้าวพัก ขนาดเจ้าหน้าที่แค่ไม่กี่ก้าวพักเหมือนกัน รู้สึกว่าสัมภาระถ่วงหลังมันหนักเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลยแฮะ

ฮึดแล้วฮึดอีก พักแล้วพักอีก จนบ่ายสองโมงนิดๆ ถึงผ่านเนินสามก้าวขึ้นมาได้ มองลอดแนวต้นไม้ออกไปเห็นเขากำแพงและจุดพักแรมอยู่ฝั่งตรงข้าม หมายความว่าเราต้องเดินอ้อมไปตามโค้งสันเขาสินะ

ฝนเริ่มตกปรอยๆ ขณะที่พวกเราเลาะสันเขาไปสู่จุดหมาย ทางยังคงชันขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มากเหมือนกับเนินสามก้าว กลุ่มเริ่มกระจัดกระจายเพราะจากนี้ไปไม่มีหลงแล้ว หลายช่วงหญ้าคาขึ้นสูงแทบท่วมหัว เจ้าหน้าที่ต้องคอยฟันแหวกทาง อย่างที่บอกคือไม่ค่อยมีใครขึ้นมาสักเท่าไหร่

บ่ายสามโมงสิบห้านาที หลังก้มหน้าก้มตาฝ่าดงหญ้าคาและสายฝนโปรยมาได้ก็ถึงสันเขาจุดนี้ เป็นจุดแรกครับที่เราเห็นวิวสวยๆ ของผืนป่าเขียวขจี อช.เฉลิมรัตนโกสินทร์ แบบเต็มตา

ทั้งลมทั้งฝนทั้งหมอกมาครบ สดชื่นมากมาย

จากนั้นเส้นทางเลี้ยวซ้ายพาเราเข้าป่าทึบ ก่อนโผล่พ้นแนวป่าขึ้นมาเจอหมอกขาวห่มคลุมไปทั่วเขากำแพง

ในที่สุดประมาณสี่โมงครึ่ง เราก็มาถึงจุดตั้งแคมป์ ผมเป็นกลุ่มสุดท้ายที่มาถึงเพราะมัวแต่โอ้เอ้ถ่ายรูปมากกว่าใคร เบ็ดเสร็จใช้เวลาตั้งแต่เริ่มเดิมรวมหกชั่วโมงนิดๆ กับระยะทางราว 7 กิโลเมตร

สภาพที่ตั้งแคมป์ของเขากำแพง เป็นทางลาดเอียงนิดหน่อย พื้นที่น้อย ไม่ค่อยมีที่โล่ง เหมาะกับผูกเปลมากกว่ากางเต็นท์ แต่เพราะข้อมูลผิดพลาดกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในตอนแรก ทำให้กลุ่มเราเอาเต็นท์กันมาหลายคน (ผมก็หนึ่งในนั้น) ต้องแบ่งที่ทางกันไป นอนแบบไหลๆ นิดหน่อย

ส่วนเรื่องทาก เราไม่พบเลยสักตัวระหว่างทางจนมาเจอเมื่อถึงยอดเขา จำนวนไม่มากนัก กระจุกอยู่เป็นจุดๆ มากกว่า มีคนโดนดูดเลือดสามสี่คน ส่วนผมไม่ได้ป้องกันอะไรยังโชคดีรอดมาได้สบาย

วิวจากเขากำแพงตรงนี้สวยจังเลย (ฮา...)

ไม่เป็นไรครับ เวลาเราเหลือเฟือ พ้นห้าโมงเย็นสักพักฟ้าก็เริ่มเปิดทีละน้อย จนในที่สุดจึงได้เห็นวิวกว้างไกลสมใจ

จากจุดชมวิว มีป้าย (ที่ปลิวหลุดไปแล้วและพวกเราไปตามเก็บกันมา) เป็นศูนย์กลาง มองแบบนาฬิกา

ทางซ้ายที่ 9.00 น. คือ อช.เฉลิมรัตนโกสินทร์ และทางที่เราเดินเลาะสันเขาขึ้นมา ส่วนที่ 11.00 น. มองไปไกลสุดตาแบบข้ามเขาลิบๆ หลายลูกคือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ฝั่งอำเภอบ้านไร่ อุทัยธานี ด้านเฉียงหน้า 1.00 น. มองข้ามเขาไปไกลๆ เช่นกันคืออุทยานแห่งชาติพุเตย สุพรรณบุรี ยอดเขาเทวดาก็อยู่ทิศนี้ ส่วนพื้นที่เกษตรด้านหน้าเราคือตำบลเขาโจด อำเภอศรีสวัสดิ์ ถัดไปอีกหน่อยก็เขตอำเภอหนองปรือ

ฟ้าเปิดแบบนี้สนุกมือตากล้องประจำทริปอย่างผมแหละนะ กดชัตเตอร์อย่างมันเชียวล่ะ

สำหรับมื้อเย็น ทีมพ่อครัวแม่ครัวบรรจงกันสุดฝีมือ บอกเลยว่าอยู่บ้านไม่ได้กินเปรมขนาดนี้นะเนี่ย (ฮา...)

อากาศช่วงหัวค่ำไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ครับ พอเดาออกว่าคืนนี้ต้องลำบากแน่นอน ซึ่งเป็นจริงดังคาด สักสองทุ่มลมก็โหมฝนกระหน่ำแบบรุกฆาตกะเอากันให้เละ ใครผูกเปลรีบหลบเข้าเปล มีเต็นท์หลบเข้าเต็นท์ สำหรับพวกนอนปลาทู (ปูผ้าใบรองพื้น กางฟลายชีตเป็นหลังคา) ก็หนักหน่อย ต้องนอนเล่นน้ำกันตามระเบียบ

คืนนั้นฝนเทหนักมากหลายชั่วโมง ลมโหยหวีดหวิวอยู่ตลอด ความหวังที่จะตื่นมาพร้อมพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ ย่อมหายไปด้วย พอตื่นนอนเปิดเต็นท์มาสิ่งที่เห็นก็เป็นไปอย่างที่คิด... ขาวโพลนทั่วสารทิศ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเรายังเฮฮาได้ไม่เป็นปัญหา

ป้ายที่เราไปเก็บกลับมาได้ครับ แต่ไม่เห็นวิวซะแล้ว (ฮา...)

ต้องรอหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จและเตรียมตัวลงเขา สิบโมงกว่านั่นแหละ ฟ้าถึงเริ่มใจดีเปิดให้เราเห็นวิวเขียวๆ แบบหอมปากหอมคอเป็นการอำลาเขากำแพง

เพราะเมื่อคืนฝนตกไม่บันยะบันยัง ขาลงเลยค่อนข้างทุลักทุเล วัดพื้นกันคนละครั้งสองครั้งตามระเบียบ ใช้เวลาลงมาถึงจุดที่รถมารอรับ รวมเวลาพักกินข้าวแล้วก็ประมาณสี่ชั่วโมง

หากถามว่าการพิชิตเขากำแพงลำบากไหม ขอตอบตามตรงว่าขณะที่เขียนอยู่นี้ผมลืมไปหมดแล้วจริงๆ ว่ามันยากยังไง ลำบากยังไง หนักแค่ไหน ที่จำได้มีแค่เพียงรู้สึกสดชื่นอย่างไรกับวิวบนนั้น อิ่มเอิบแค่ไหนตอนไปยืนให้สายฝนปะทะใบหน้า สุขใจปานใดตอนมองสายหมอกคลอเคลียภูเขาสีเขียว

เมื่อยืนอยู่บนยอดเขาตรงนั้นแล้ว ความยากลำบากที่ผ่านมาทั้งหมดมันมลายหายไปสิ้นเชิง ความเหนื่อยน่ะยังอยู่แต่ไม่ได้ท้อแท้อะไรอีกแล้ว ไม่รู้สึกว่ามันยากเกินกำลัง บางทีนั่นอาจเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผมหลงรักการเดินป่า

ความจริงการเดินป่าเขากำแพงยังมีเส้นทางไปเที่ยวน้ำตกบนภูเขาด้วยนะครับ เห็นเจ้าหน้าที่ว่าสามารถไปค้างแรมได้ด้วย ใครสนใจลองติดต่อกันดู

อ้อ... อช.เฉลิมรัตนโกสินทร์ ยังมีที่เที่ยวง่ายๆ คือถ้ำธารลอดน้อย กับถ้ำธารลอดใหญ่ เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติเชื่อมต่อกัน ระยะทางเดิน ไป-กลับ 5 กิโลเมตร รวมถึงมีน้ำตกสไลเดอร์อยู่แถวที่ทำการฯ

น่าเสียดายว่าผมชมได้แค่ถ้ำธารลอดน้อย ไปไม่ถึงธารลอดใหญ่ เพราะเขากำหนดเวลาเที่ยวถึงแค่ 16.30 น. คราวหน้าคงต้องหาเวลามาแก้ตัว เอาเต็นท์มากางนอนสักคืนแล้วเที่ยวถ้ำทั้งสองแห่ง รวมทั้งเล่นน้ำตกอีกนิดหน่อย

จบบริบูรณ์ปิดรีวิวปิดทริปเพียงเท่านี้แหละ หวังว่าคงรู้กันแล้วนะครับว่าป่าเมืองกาญจน์ไม่ได้มีแค่ ไทรโยค ทองผาภูมิ สังขละบุรี หรือ ศรีสวัสดิ์ เท่านั้น

-----------------------------------

ค่าใช้จ่ายให้อุทยานฯ ในการเดินป่าเขากำแพง

  • ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ คนไทย 40 บาท ต่างชาติ 200 บาท
  • ค่าธรรมเนียมรถยนต์ 30 บาท จักรยานยนต์ 20 บาท
  • ค่าธรรมเนียมพักแรม ต่อคน ต่อคืน 30 บาท
  • ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง และลูกหาบ 800 บาท ต่อคน ต่อวัน (กรุ๊ปผมอุทยานฯ ให้ใช้รวม 5 คน)
  • ค่ารถรับ-ส่ง ที่ทำการฯ-ทางเดินขึ้นเขา 800 บาท (ค่าคนขับ 300 บาท ค่ารถไป-กลับ 500 บาท กรุ๊ปผมต้องใช้รถสองเที่ยว รวมเป็น 1,300 บาท)

-----------------------------------

ใครอยากคุยกับผมเรื่อยเปื่อยเรื่องท่องเที่ยว สอบถามข้อมูล (ถ้าผมมีให้นะ) หรือชวนเที่ยว ยินดียิ่งนะครับ

www.facebook.com/alifeatraveller

-----------------------------------