นั่งรถไฟไปเล่นน้ำนอนเต้นท์ชิลล์ๆ

 ในที่สุดก็ได้ฤกษ์.. 

นี่เป็นการเขียนรีวิวครั้งที่ 2 จากเว็บนี้ ก่อนหน้าเราเขียนรีวิวที่สังขละเเล้วเช่ามอตไซต์ไปกับเพื่อน รู้สึกว่าจะเป็นวันเดียวกันด้วยเเต่เป็นปีที่เเล้ว (คริสต์มาสที่25 , 2557) เเละครั้งนี้เราก็ไปกับรูมเมทอีกเหมือนกันเเต่เป็นคนละคน 

 

ค่ะ มาเริ่มเลยดีกว่าเดี๋ยวจะนอกเรื่องกันไปซะเปล่าๆ ด้วยความที่อยู่บ้านเบื่อๆ ไม่รู้จะไปไหนก็เลยเสาะเเสวงหาที่ไป เเละเราเป็นคนที่ชอบน้ำตกต้นไม่ม๊ากกกกก ย้ำว่ามาก คืออยู่ได้นานๆเลย ไม่รู้สิ เราว่ามันชะอุ่ม อยู่เเล้วสดชื่นดี บวกกับเมท (จริงๆ คือรูมเมทนั่นเเหละเราเรียกย่อๆ ว่าเมท) อยากไปเที่ยวด้วย นางอยากนั่งรถไฟไปเที่ยวคลายเครียดเเบบว่าเพิ่งสอบเสร็จอะไรงี้ เลยอยากปลดปล่อย ทีเเรกคุยกันว่าจะไปหัวหินเเต่มาเปลี่ยนใจเอาทีหลัง 

 

เช้าวันที่ 25 ธันวาคม 2558

ตามตารางเวลารถไฟจะออกเวลา 7.50 น. ที่สถานีรถไฟกรุงธนบุรี เเละเพื่อนเราต้องนั่งรถจากสระบุรีมาลงอนุสาวรีย์เเละต่อรถไปสถานีรถไฟบางกอกน้อย (กรุงธนนุรีนั่นเเหละ) ด้วยความที่นางต้องนั่งรถหลายต่อเเละต้องใช้เวลามาก นางก็ออกตั้งเเต่เช้ามืด เราน่ะเหรอบ้านอยู่กรุงเทพก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเวลาอะไรคิดว่าทันอยู่เเล้ว เเต่ที่ไหนได้ประมาณ 7.30 น. นางโทรมาบอกเนี่ยถึงเเล้วนะ เราก็เฮ้ยเเบบ นี่รถยังติดอยู่เลยเเต่ก็ยังใจเย็นนะบอกเพื่อนทันเเน่ๆ เเกเชื่อฉัน ด้วยความที่ชินกับสถานการณ์รถไฟไทยที่ชอบเลทก็ยังใจเย็นอยู่ เเต่พอ 7.50 น. เท่านั่นเเหละเรื่มนั่งไม่ติดเเล้วไง รถก็ไม่มีทีท่าว่าจะถึง (ความจริงคือเราก็ไม่รู้ว่าต้องลงตรงไหน รอให้กระเป๋ารถเมย์บอกให้ลงเเล้วค่อยนั่งรถต่อไปสถานีรถไฟอีกที) เเต่ตอนนั้นคือไม่ไหวละ ตัดสินใจลงเเม่งเดี๋ยวนั้นเเหละเเล้วเรียกวินให้ซิ่งไปส่ง 

พอพี่วินขับมาอยู่ตรงข้ามสถานีรอข้ามถนนเพื่อไปตัวสถานีรถไฟ เรากับพี่วินก็ได้ยินเสียงหวูดรถไฟ คือเเบบ! ตายเเน่ๆ ตายยยยยย ในใจตอนนั้นนี่คิดนะว่าเรากำลังทำให้การเที่ยวต่างจังหวัดครั้งเเรกของเพื่อนพังเหรอวะ เฮ้ยยยไม่ดิ ไม่ได้ เเล้วพี่วินก็ตัดห้วงความคิดของเราด้วยเสียงหัวเราะพร้อมบอกนั่นเสียงรถไฟจะออกเเล้ว เเต่พี่ก็พูดปลอบใจนะว่า ไม่เป็นไรน้องเดี๋ยวถ้าไม่ทันพี่ขับรถไปดักขึ้นอีกสถานีนึงก็ได้ 

เเต่สุดท้ายเมื่อตำรวจจราจรให้รถที่กำลังเเล่นหยุด พี่วินก็ได้พาเราขับข้ามถนนด้วยความเร็วชนิดที่ว่าตอนนั้นไม่กลัวเเล้ว จะเร็วเเค่ไหนก็เอาเลยพี่  จ่ายเงินเสร็จสรรพก็วิ่งสิคะเเถมได้ยินเสียงเร่งเอาใจช่วยของพี่วินเค้าด้วยนะ น่ารักจริงๆ  (‵▽′)   

   พอเจอเพื่อนสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ นางกำลังยืนคุยกับนายเสนอนีพอเห็นเราเท่านั้นเเหละ "นี่ไงๆ! เพื่อนหนูมาเเล้ว" (คือตอนนั้นรถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนเเล้ว) เรานี่กำลังวิ่งไปเอาตั๋วเลยเเต่นายสถานีบอกไม่ต้องเเล้วขึ้นไปเลย สุดท้ายเราทั้ง2ก็ขึ้นไปอยู่บนรถไฟได้สำเร็จ ฮ่าๆๆๆๆ เล่นเอาเหนื่อยดี เพื่อนบอกหัวใจจะวาย

  ปล1. รถไฟออกเวลา 8.00 น. (ออกเร็วกว่าที่คิด) ปกตินี่เลทไปถึง 8.15 น.

  ปล2.เป็นรถไฟฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

 

เเละจากนั้นเรื่องราวก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เราถ่ายรูปเล่นบ้างเเละหาของกินบนรถบ้าง พอประมาณ 10 โมงกว่าก็ถึงสถานีกาญจนบุรี เราลงกันที่นี่เเล้วต่อรถหวานเย็นไปเอราวัณ รถหวานเย็นสามารถไปดักรอตรงข้ามสถานีรถไฟได้เลยหรือจะเดินย้อนไปขึ้นที่บขส.ก็ได้  เราขี้เกียจรอเลยเดินไปเรื่อยๆ เเต่ไกลกว่าที่คิดเเฮะ  สุดท้ายก็ได้นั่งจุ๊กปุ๊กรอที่หน้าเซเว่นหลังจากผ่านการเดินทางท่ามกลางเเสงเเดดอันระอุ

อ้อ! เเต่ตรงข้ามสถานีมีสุสานสัมพธมิตรดอนรักด้วยนะ  เป็นสุสานที่บรรจุศพเชลยศึกที่เสียชีวิตระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ  สามารถนั่งรอรถหวานเย็นไปเอราวัณตรงนั้นได้ ป้ายหน้ารถจะเขียนว่า กาญจนบุรี-เอราวัณ ถ้าเห็นก็โบกขึ้นได้เลย เเต่ปกติเวลารถมาเขาจะบีบเเตรบอกอยู่เเล้วเพราะฉะนั้นไม่น่าจะไม่ได้ขึ้นนะ

ถ่ายเเต่ด้านหลังลืมถ่ายข้างหน้าง่ะ ^^!!

 

ตัดบทมาที่ตอนขึ้นรถเลยเเล้วกัน ค่ารถ 50 บาทนะจ๊ะ  จ่ายเงินเสร็จสรรพก็รอเวลาให้รถพาไปลงที่น้ำตกอย่างเดียวเลย เเละก็เสียค่าเข้าอุทยาน 50  บาท เเต่ถ้าใครมีบัตรนิสิตนักศึกษาเตรียมมาจะได้ส่วนลดครึ่งราคาด้วย 

ไม่นานเราทั้งคู่ก็ได้ลงจากรถเวลาประมาณบ่ายโมงต้นๆ (ถ้าจำไม่ผิด) เเละสวัสดีอย่างเป็นทางการอุทยานเเห่งชาติน้ำตกเอราวัณ!!  

เอาล่ะ!! นั่งอยู่บนรถมาก็สักพักท้องเริ่มทำงาน อาการหิวของเราทั้งคู่เริ่มส่งเสียงเรียก เราเดินไปติดต่อเช่าเต้นท์เเละขอสถานที่กางเต้นท์ เสียค่าเต้นท์เเละค่าเช่าเครื่องนอนรวม 230 บาท ตกคนละ 115 ขนาดเต้นท์นอน2คน เเต่คือเต้นท์กว้าง 3 คนก็เอาอยู่  เครื่องนอนก็มีให้เช้าไม่ว่าจะเป็นที่รองนอน หมอน ผ้าห่ม เรียกได้ว่าสะดวกสะบายครบครันจริงๆ เเละยังมีเทียน ไฟฉาย ยากันยุง สบู่ ยาสระผมขายด้วย เเหม่ คือมันดีอ่ะบอกเลย ปลาบปลื้มมาก เจ้าหน้าที่ก็น่ารักเป็นกันเอง เราทั้งคู่ยังคุยเล่นกับเจ้าหน้าที่อยู่เลย คุยไปหัวเราะกันไป  

รูปด้านบนเป็นรูปสถานที่ที่เช่าอุปกรณ์ต่างๆ อย่างที่บอกไป ถ้าใครอยากปิ๊กนิ๊คที่นี่เขาก็มีเตาถ่านให้เช่านะจ๊ะ ถ่านก็มีให้ ตระเเกรงปิ้งย่างก็มี เเต่ต้องซื้ออาหารสดมาเอง ไม่ยากถ้าไม่อยากซื้อมาจากบ้านก็ตลาดสดตรงก่อนถึงซุ้มเก็บค่าเข้าอุทยานนั่นเเหละ ไม่ไกลจากอุทยานเลย  บอกเลยว่าเลิศจริงๆ   นี่คือหน้าตาของเต้นท์เเละเครื่องนอนที่เราไปเช่ามา พอเอาของมาไว้เรียบร้อยก็ถึงเวลาไปหาอะไรกินเเละเล่นน้ำจ้า นี่คือสิ่งที่รอคอยมานาน

ตอนที่เราไปเล่นน้ำมันเวลาประมาณบ่าย 2 โมงกว่าเเล้ว เลยเล่นกันเเค่ชั้น 2 คงขึ้นไปชั้นบนไม่ทันเเน่ๆ อีกอย่างที่นี่เราก็เคยมาเเล้ว เเละไปถึงชั้น7 เเล้วเลยไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรมาก ส่วนเพื่อนน่ะเหรอ นางก็เห็นด้วยเพราะนางเดินไม่ไหว เเละถึงจะไปจริงๆ ก็คงไม่ทันเวลา เพราะตั้งเเต่เวลาบ่าย3 ชั้น3 เป็นต้นไปเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้ขึ้นเเล้ว 

รูปน้ำตกไม่ค่อยได้ถ่ายเลย บอกตามตรงว่าห่วงเล่นน้ำมาก ฮ่าๆๆๆ สามรูปด้านบนนี้เพื่อนเราเป็นคนถ่ายนะ คือตอนเเรกนางไม่ได้ลงเล่น นางลงเเค่หัวเข่าเพราะนางกลัวปลา เรานี่ก็เเบบคะยั้นคะยอให้ลงให้ได้ ก็เเหม มาทั้งทีไม่ลงเล่นได้ไง มาเเล้วก็ต้องเอาให้สุดๆ เราถือคติที่ว่าถ้ามาเที่ยวกับเราอย่าคิดเยอะ อย่าคิดมาก อยากทำอะไรทำ เอาให้สุดๆ เเต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ต้องควบคู่กับการมีสตินะ  เราขอเเค่นี้ นั่นเเหละเเละสุดท้ายนางก็ลง ฮี่ๆๆๆ สมใจเราเเละนางด้วย เพราะพอนางลงก็ชอบใหญ่เราก็มีความสุขไปด้วย  ก่อนมานี้ก็คิดไว้เเล้วว่าอยากให้การมาเที่ยวครั้งนี้ทำให้เพื่อนได้ปลดปล่อยเเละมีช่วงเวลาที่สนุกที่สุด

 

 สุดท้ายเราก็ขึ้นจากน้ำกันประมาณ 4 โมงกว่า เเละกลับขึ้นไปหาข้าวเย็นกิน จากนั้นก็เข้าเต้นท์ไปเอาชุดมาเปลี่ยนอาบน้ำ พูดถึงอาหารที่นี่ก็ตกอยู่ที่จานละ 40 บาทขึ้นไป ปริมาณก็ไม่ได้เยอะมากถ้าหิวจัดก็คงไม่พอ ร้านค้ารวมถึงตลาดปิด 6 โมง ทีเเรกเราว่าจะไปตลาดซื้ออาหารสดมาย่างกินกันเเต่ไม่ทันเเล้ว  ไม่เป็นไรยังมีขนมตุนอยู่ในกระเป๋าเผื่อตกดึกเกิดอยากจะกินขึ้นมาก็กินเอาอันนี้นี่เเหละ 

เเละนี่คือจุดที่เต้นท์ของพวกเราปักหลัก (ไม่ใช่ของเราสิของอุทยานนี่นา ^^) เต้นท์ขวามือสุดมองออกไปเห็นวิวเเม่น้ำ ยิ่งช่วงเช้านะอื้อหือมาก บรรยากาศดีจริงๆ เราโชคดีตรงได้พื้นที่วิวดีด้วยล่ะมั้ง อ้อ! ลืมบอกอีกอย่างวิวกางเต้นท์ติดริมเเม่น้ำโซนนี้จะเฉพาะสำหรับเต้นท์ของอุทยานเท่านั้นนะ ส่วนคนที่มีเต้นท์มาเองก็จะมีที่กางอีกที่หนึ่ง เเต่เราว่าวิวนี้ดีสุดเเล้ว เพราะอีก 2 โซนสำหรับคนที่นำเต้นท์มาเองมันจะไม่ได้วิวริมเเม่น้ำ รูปนี้ถ่ายตอนสองทุ่มครึ่ง มองออกไปเห็นเต้นท์ข้างๆ เเบบนี้ ไฟจะมีเป็นบางจุดเท่านั้นซึ่งอันนี้เราชอบมาก เราว่ามาสถานที่เเบบนี้ไม่ต้องมีไฟเยอะเเยะหรอก เเละโชคดีที่เต้นท์เรามันไม่มีไฟจ่อ เราโอเคเเละชอบนะ เเต่บางคนอาจจะไม่โอเคซึ่งมันก็เเล้วเเต่ไลฟ์สไตล์ของใครของมัน เพราะฉะนั้นก่อนจะกางเต้นท์หรือตกลงปลงใจตรงไหนก็ดูก่อนเนอะ  เห็นอะไรไหม มันคือเทียนดีๆนี่เอง เทียน3เเท่ง ที่เราซื้อมา 3 อัน 10 บาทจากพี่เจ้าหน้าที่ เอามาจุดหน้าเต้นท์เพื่อเพิ่มเเสงสว่างเพราะมันมืดเรามองไม่เห็น บรรยากาศนี่ได้เลย เออจริงๆ มันมีไฟฉายเเล้วก็ตะเกียงกับที่ครอบเทียนเอาไว้ตั้งในเต้นท์ด้วยนะ เเต่เราไม่เอา เราว่ามันไม่คุ้มอ่ะ

จะว่ายังไงดีล่ะ มันไม่ใช่คุ้มหรือไม่คุ้มหรอกเเต่คืออันนี้ทางอุทยานให้ซื้อไปเลยไง ไม่มีให้เช่าซึ่งถ้าเราซื้อเราก็ใช้เเค่ครั้งเดียว โอเคอาจจะได้ใช้ได้โอกาสหน้าก็จริงเเต่เราก็ไม่รู้อีกนั่นเเหละว่าเมื่อไหร่ อีกอย่างเราไม่เเนะนำให้เอาตะเกียงเข้าไปในเต้นท์เนอะเหตุผลก็น่าจะรู้ๆ กันอยู่ 

เเล้วถ้าเเนะนำได้เราอยากเเนะนำทางอุทยานว่า ถ้าเปลี่ยนจากซื้ออย่างเดียวมาเป็นให้สามารถเช่าได้ด้วยมันจะโอเคมากเลย เเบบรียูสเอากลับมาใช้ใหม่ได้เรื่อยๆ เพราะบางคนซื้อไปเเล้วก็ไม่ได้ใช้บางคนนี่ทิ้งก็มีเเบบนั้นสิ้นเปลืองพลังงานเเย่  

ดวงจันทร์กลมโตสวยมาก เราเลยหยิบผ้าห่มออกมานอนดูตรงด้านหน้าเต้นท์ เปิดเพลงจากโทรศัพท์ บ้างก็ร้องเพลงไปบ้างก็คุยกับเพื่อนไป เห็นดวงจันทร์ไหม ภาพจากกล้องได้เเค่นี้จริงๆ ต้องมาเห็นด้วยตาเปล่านะ 

หลายๆ ครั้งเราบันทึกภาพเพื่อหยุดช่วงเวลาเหล่านั้นเก็บไว้เป็นความทรงจำ  เเต่บางครั้งมันก็ไม่เหมือนการเห็นด้วยตาตัวเองหรอก มันไม่เหมือนกัน.. ทั้งความรู้สึกที่เเตกต่างเเละอารมณ์ ณ ห้วงเวลานั้นๆ 

 

ไม่นาน..เราทั้งคู่ก็เข้านอน เเละหลับไปในที่สุด

 

เวลาประมาณ 6 โมง เพื่อนเราตื่นก่อนเเละตามด้วยเรา อากาศดีมากๆๆๆ เมื่อคืนเรายอมรับเลยว่าเราหนาว ไม่คิดว่าจะหนาวด้วยซ้ำ เพราะก่อนหน้าก็ยังคุยกันอยู่ว่าจะเอาผ้าห่มดีไหม คิดไปคิดมาเอามาเผื่อไว้ผืนเดียวเเล้วกัน เป็นไงล่ะ เมทถึงกับต้องเปลี่ยนใส่เสื้อเเขนยาว

เเละเราก็ออกมาสูดบรรยากาศที่เเพบนน้ำกัน จริงๆ มีรูปเยอะกว่านี้เเต่ว่ามันมีรูปพวกเราติดเลยไม่เอาลง อาย ฮ่าๆๆๆ อย่าเห็นเลยกลัวนอนไม่หลับกัน

 หลังจากที่เราสูดอากาศเสร็จเรียบร้อยถ่ายรูปจนหนำใจเราก็ไปทำภารกืจส่วนตัวเก็บข้าวของกินข้าวกันรอเวลากลับ จริงๆ อยากจะอยู่ให้นานกว่านี้เเต่ว่าเเพลนกับเพื่อนไว้ว่ามาคืนเดียว เราต้องดูเเลรักษาชีวิตนาง ไปส่งนางขึ้นรถให้กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ลองถ้ามาคนเดียวสิจะอยู่ต่อเลย

 

 

 

อีกเรื่องหนึ่ง  ไม่ต้องห่วงว่ามากางเต้นท์นอนเเล้วจะเอาไฟจากไหนชาร์ตโทรศัพท์หรือกล้องถ้าเเบตหมด ในรูปด้านบนคืออาคารที่เจ้าหน้าที่เปิดให้สามารถเอาโทรศัพท์มาชาร์ตได้เเต่ขอความร่วมมือไม่ใช่ขนมาชาร์ตทั้งกองทัพ เราก็ต้องช่วยเจ้าหน้าที่ช่วยทางอุทยานประหยัดด้วยเนอะ ไฟอาคารถ้าเห็นเปิดๆ ตอนกลางคืนนี่ไปปิดก็ได้ จะได้เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายประหยัดพลังงานไปในตัว 

 

เเละเเล้ว รีวิวนี้ก็จบด้วยประการฉะนี้ ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ก็ขอบคุณนะคะ เราก็ไม่รู้ว่าตัวเองเขียนรู้เรื่องรึเปล่า  ผ้าผิดพลาดตรงไหนก็ขอโทษมา ณ ที่ี้นี้ด้วย เเต่ก่อนจะไปเราได้รวมรูปเอาไว้ให้ดูเผื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะมาดีไหมถึงจะไม่เยอะมากก็เถอะ 

 

 

อย่างที่รู้กันช่วงนี้หน้าหนาว (รึเปล่า) ปลายเดือนใกล้ๆ สิ้นปีอย่างนี้คนเเห่กันขึ้นเหนือไปสัมผัสหมอก สัมผัสอากาศเย็นๆ เเสวงหาเเหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต จนรถเเน่นไปหมดเเล้วก็ไปอัดกันอยู่กระจุกเดียว ที่นี่เป็นอีกตัวเลือกนึงสถานที่ดีไม่ไกลจากกรุงเทพบรรยากาศดี เราว่ามันเป็นอีกสถานที่ที่น่าสนใจมากเลยนะ  เเต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ้นปีเเล้วคนจะเยอะรึเปล่า 

ยังไงก็ลองถามตัวเองดูเนอะว่าอยากไปไหน ฟังเสียงหัวใจตัวเองอย่าให้เสียงคนอื่นกลบไปซะหมด ถ้าได้ยินเเล้วก็ลุยเลย อย่าช้า เที่ยวตอนเเก่ไม่สนุกหรอก (เค้าบอกมาอีกที) ฮา  

ไปละ บายยยยย... 

 

 

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ : )