ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
กระบี่..อีกครั้ง(และ..อีกครั้ง) : เที่ยวกระบี่ในอีกมุมมอง! เกาะลันตา-กระบี่ (Koh Lanta-Krabi) จ.กระบี่
    • โพสต์-1
    CHAILAIBACKPACKER •  พฤษภาคม 12 , 2560

    เรียนรู้วิถีชุมชน เที่ยวกระบี่ในอีกมุมมอง!

    “กระบี่” ..เป็นจังหวัดหนึ่งของภาคใต้ที่ผมมีโอกาส ได้ไปเยือนอยู่บ่อยๆ ด้วยธรรมชาติที่สวยงาม และบรรยากาศที่สบายๆ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ไปเที่ยวได้โดยไม่รู้สึกเบื่อ.. ซึ่งหลายคนก็คงได้รู้จักกับ สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมในจังหวัดกระบี่ กันมาบ้างแล้ว อย่าง ทะเลแหวก อ่าวนาง หาดนพรัตน์ธารา หรือ สระมรกต ก็ดี แต่.. กระบี่ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกเยอะแยะมากมายที่น่าสนใจ จนต้องกลับไปเยือนอีกครั้ง หรือ อีกหลายๆ ครั้ง เพราะ.. กระบี่ ครั้งเดียวก็คงไม่พอ..


    ทริปนี้.. ผมได้ร่วมเดินทางไปกับ Local Alike ซึ่งจะพาไปเที่ยว กระบี่ ในอีกมุมมองหนึ่ง เป็นการท่องเที่ยววิถีชุมชน ที่ทำให้ได้ไปสัมผัส ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนนั้นๆ อย่างใกล้ชิด เกิดเป็นการเรียนรู้ และ สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวเองอีกด้วย ซึ่งเราจะเดินทางไปที่ไหนของ กระบี่ กันบ้าง? ..ถ้าอยากรู้ก็ออกเดินทางไปพร้อมกันเลยครับ!

     

    ติดตามการเดินทางทริปอื่นๆ ได้ที่..
    FB : https://www.facebook.com/chailaibackpacker/

    • โพสต์-2
    CHAILAIBACKPACKER •  พฤษภาคม 12 , 2560

    DAY #1 สวัสดี “กระบี่” อีกครั้ง!

    เริ่มต้นออกเดินทางจาก.. สนามบินดอนเมือง ใช้เวลาราวชั่วโมงกว่า ก็เดินทางมาถึง สนามบินนานาชาติกระบี่ ท่ามกลางสภาพอากาศที่สดใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เราขึ้นรถต่อ เข้าสู่ตัวเมืองกระบี่ โดยมีจุดหมายที่ ท่าเรือเจ้าฟ้า ซึ่งโปรแกรมแรกของเราในช่วงเช้านี้ก็จะลง เรือหัวโทง เพื่อชมวิถีชีวิตของชาวบ้านบริเวณปากน้ำกระบี่กัน

    จาก ท่าเรือเจ้าฟ้า เรานั่ง เรือหัวโทง ล่องแหวกผืนน้ำ มุ่งหน้าไปชมวิถีชีวิตชาวประมงในรอบบริเวณใกล้ๆ นี้ ซึ่งออกเรือไปไม่ไกลก็เห็นกลุ่มเรือของชาวประมงน้อยใหญ่ กำลังลอยลำจับสัตว์น้ำกันอยู่ โดยใช้วิธีการจับที่หลากหลาย ทั้งทอดแห ลากอวน หรือวางลอบ แต่ที่ดูน่าสนใจที่สุด ณ ขณะนี้ ก็คือ การทอดแห ซึ่งใช้วิธีการทอดแห เพื่อจับกุ้ง ได้กุ้งกันมาเยอะเลยทีเดียว

    เรือแล่นพาเราไปยังจุดต่อไป ที่ เขาขนาบน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นจุดแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองกระบี่เลยก็ว่าได้ ลักษณะเป็นภูเขาสองลูกสูงตั้งขนาบแม่น้ำ อยู่ฝั่งละลูก เหมือนกับแม่น้ำไหลผ่านผ่ากลางภูเขาทั้งสองลูก ภายในมีถ้ำหินงอก หินย้อย และยังเป็นที่ค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณอีกด้วย ซึ่งถ้านักท่องเที่ยวสนใจก็สามารถเทียบเรือจอดไปเที่ยวชมความสวยงามอย่างใกล้ชิดได้

     

     

     

    • โพสต์-3
    CHAILAIBACKPACKER •  พฤษภาคม 12 , 2560

    ชุมชนเกาะกลาง วิถีชุมชนที่ต้องมาสัมผัส

    ไม่ไกลจาก เขาขนาบน้ำ เรือมาจอดเทียบที่ท่าเรือของเกาะกลาง ซึ่ง เกาะกลาง มีลักษณะเหมือนเกาะกลางน้ำ สามารถเดินทางมาได้โดยง่าย ห่างจากตัวเมืองกระบี่ใช้เวลาในการนั่งเรือข้ามมาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น โดยมีเรือโดยสารวิ่งรับ-ส่ง ตลอดทั้งวัน

    ขึ้นจากเรือ ก็เดินเท้าต่อไปอีก ประมาณ 100 เมตร เรามากันที่ คิดถึงคอทเทจ โฮมสเตย์บรรยากาศน่ารัก ชวนให้มาพักผ่อน ให้ความรู้สึกสบายๆ เหมือนอยู่บ้าน เป็นโฮมสเตย์ของพี่มัตถ์ และพี่มูนา ซึ่งได้ออกมาต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี ด้วยขนมไทยท้องถิ่น และ อัญชันมะนาว เย็นสดชื่น ช่วยแก้กระหายคลายร้อน ในสภาพอากาศเช่นนี้

    คิดถึงคอทเทจ โฮมสเตย์แบบบ้านๆ และใกล้ชิดวิถีชีวิตชุมชน มีห้องพักทั้งหมด 3 ห้อง คือ ห้องคู่ สำหรับ 2 คน ห้องครอบครัวสำหรับ 4 คน และ ห้องพักแบบกลุ่ม 6 คน ซึ่งถ้าใครสนใจมาพักแบบโฮมสเตย์ ท่ามกลางบรรยากาศวิถีชุมชน ได้ ลองทำ ลองทาน อาหารแบบท้องถิ่นแบบนี้ ก็ลองมาพักกันได้นะ!

    จาก นั่งเรือเที่ยว เราเปลี่ยนมานั่งรถสามล้อวนเที่ยวรอบเกาะกลางบ้าง มาที่จุดแรก ศูนย์การเรียนรู้กลุ่มเรือหัวโทงจำลอง เกาะกลาง กลุ่มนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นการสืบสานวิถีชีวิตของชาวเกาะกลางสมัยก่อน ซึ่งในปัจจุบันเริ่มพบเห็นได้น้อยลง เรือหัวโทงแบบดั้งเดิมเริ่มจะหายไป ชาวบ้านเลยรวมกลุ่มกันเพื่อทำเรือหัวโทงจำลองขึ้น เพื่ออนุรักษ์ และพัฒนา เรือหัวโทงจำลอง จนมาเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัด และสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน

    เรือหัวโทง จะพบเห็นได้ที่จังหวัดกระบี่ และ จังหวัดใกล้เคียงที่ติดกับทะเลฝั่งอันดามัน มีการออกแบบเรือหางยาวให้ เข้ากับสภาพการใช้งานในท้องทะเล โดยมีรูปทรงยาว หัวเชิด สูง ทรงตัวได้ดี

    สาธิตการจุดไฟของชาวประมงแบบดั้งเดิม เมื่ออยู่กลางทะเลแล้วต้องใช้ไฟในยามจำเป็น เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างหนึ่งที่ดูน่าสนใจ

    ทั้งนี้ สามารถซื้อ เรือหัวโทงจำลอง ที่มีให้เลือกหลายขนาด ทั้งลำเล็ก ลำใหญ่ ไว้ไปเป็นของที่ระลึกได้


    เดินทางมาเรียนรู้การทำผ้าปาเต๊ะกันต่อที่ กลุ่มผลิตผ้าปาเต๊ะ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกัน เพื่อผลิตผ้าปาเต๊ะ ส่งขายหารายได้เสริม

    ซึ่งเราได้เรียนรู้ ขั้นตอนการผลิตผ้าปาเต๊ะ ตั้งแต่เริ่มต้นจากผ้าสีขาว นำมาปั๊มลายด้วยเทียน แล้วนำมาขึงให้ตึง วาดลวดลายเติมสีสันลงไป จากนั้นต้องทิ้งไว้ 1 วันให้สีแห้ง ก่อนจะนำไปย้อมทั้งผืน แล้วผึ่งให้แห้งอีกครั้ง ก็จะได้ผลิตภัณฑ์ผ้าปาเต๊ะออกมาไว้จำหน่าย สร้างรายได้ให้กับชุมชน

    รถสามล้อ พาวนเที่ยวรอบเกาะ ดูวิถีชีวิตของชุมชนเกาะกลาง และชมบรรยากาศธรรมชาติที่สงบ เหมาะที่จะมาพักผ่อน


    ได้เวลาอาหารเที่ยง เรามาที่ ร้านขนาบน้ำวิวซีฟู๊ด เป็นร้านอาหารบนกระชังริมน้ำ ตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ บรรยากาศดี และ มีอาหารทะเลสดๆ จากกระชัง ให้ได้รับประทานกัน

    อาหารเมนูต่างๆ ทยอยเสิร์ฟ มาวางบนโต๊ะ ดูหน้าตาน่าทานมาก โดยเฉพาะอาหารซีฟู๊ดแบบสดๆ ซึ่งเขาว่ากันว่า.. ถ้าหากมาเที่ยวกระบี่แล้ว ก็ต้องไม่พลาดชิม หอยชักตีน

    เรารับประทานอาหารร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อย อาหารทุกเมนูอร่อยถูกปากจริงๆ เมื่อทานกันอิ่มเรียบร้อยก็นั่งกินลม ชมธรรมชาติริมน้ำ พักผ่อนกันสักพัก และ เตรียมออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป..

    • โพสต์-4
    CHAILAIBACKPACKER •  พฤษภาคม 12 , 2560

    ชุมชนแหลมสัก ทะเลสามด้าน วัฒนธรรมสามสาย

    เข้าสู่ที่พักคืนแรกของเรา ที่ บุหลัน อันดา บาบ๋า รีสอร์ท ตั้งอยู่ บ้านแหลมสัก อำเภออ่าวลึก โดยมีการออกแบบก่อสร้างตามอัตลักษณ์ของคนไทยเชื้อสายจีน ที่อพยพมาตั้งรกรากในพื้นที่แหลมสักเมื่อ 100 กว่าปีก่อน ผสมผสานอาคารแบบชิโนโปตุกีส เป็นรีสอร์ทที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวโดยชุมชนแหลมสักแห่งนี้


    เราได้ใช้บริการห้องพักแบบวิลล่า ซึ่งให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวมากๆ ภายในห้องพัก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทีวี LCD 32″ ตู้เย็น wifi และ มินิบาร์  ถ้าหากสังเกตตรงผนังห้องจะบริการเตียงเสริมแบบ Wall Bed สามารถกางเตียงเพิ่มขึ้นมาได้อีก 4 เตียง ซึ่งเหมาะมากหากต้องการเข้าพักเป็นกลุ่มรองรับสูงสุดถึง 6 เลยทีเดียว
    ความพิเศษอย่างหนึ่ง คือ ตัวรีสอร์ท ตั้งอยู่บนเนินปลายสุดของ แหลมสัก ที่ติดทะเลสามด้าน จึงมีความรู้สึกเป็นส่วนตัว สงบเงียบ และมีบรรยากาศธรรมชาติรอบด้านที่สวยงาม ซึ่งเราสามารถเดินไม่ไกลไปยังสุดปลายแหลม ก็จะเห็นทะเลอันดามันอันสวยงามได้อย่างสุดลูกหูลูกตา อีกทั้ง.. ยังสามารถชม พระอาทิตย์ขึ้น และ พระอาทิตย์ตก ได้จากจุดนี้

    ชุมชนแหลมสัก มีสโลแกนว่า.. ทะเลสามด้าน วัฒนธรรมสามสาย โดย มีที่มาจากลักษณะของผืนแผ่นดินที่ยื่นออกไปนอกทะเล จนสามารถเห็นทะเลได้ทั้ง 3 ด้าน และ ที่แห่งนี้ยังรวมเสน่ห์ของวัฒนธรรมไว้ถึง 3 สาย คือ ชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม และ ชาวบาบ๋า(จีน) ที่อาศัยอยู่รวมกันอย่างกลมเกลียว โดยมีศาสนสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่ในอาณาบริเวณใกล้เคียงกัน ทั้ง ศาลเจ้าแหลมสัก วัดแหลมสัก และ มัสยิดแหลมสัก

    ดังนั้น ช่วงยามเย็นนี้เราจึงออกไปดูวิถีชีวิตของชุมชนแหลมสักกันสักหน่อย โดยเริ่มที่ ศาลเจ้าแหลมสัก(ศาลเจ้าซกโป้ซี่เอี๋ย) ที่หันหน้าออกสู่ทะเล โดยมีพระโพธิสัตว์ซกโป้ซี่เอี๋ย รูปเคารพไม้แกะสลัก ที่เชื่อกันว่า มีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านคุ้มครองผู้ที่นับถือให้มีความสุขความเจริญ เป็นหนึ่งในหลักฐานที่ยืนยันในการตั้งถิ่นฐานของชาวจีนที่อพยพมาในอดีต

    เราเดินเล่นเข้าไปในย่าน ชุมชนชาวจีน(บาบ๋า) จะเห็นอาคารบ้านเรือนที่มีอายุเก่าแก่ ซึ่งบางหลังอยู่คู่ชุมชนมาตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่ชาวจีนบาบ๋าที่บ้านแหลมสัก ก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิม ยึดถือมาจนถึงปัจจุบัน

    จากนั้นมากันต่อที่ วัดแหลมสัก ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ไกล ที่นี่ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ และในขณะนี้เองก็อยู่ระหว่างการก่อสร้าง พระมหาธาตุเจดีย์ ณ ยอดเขาวัดแหลม ซึ่งถือเป็นพระธาตุเจดีย์แห่งแรกที่อยู่ติดชายฝั่งทะเลอันดามัน

    นอกจากจะได้มาไหว้พระแล้ว บริเวณนี้ก็ที่ถือว่าเป็น จุดชมวิว ที่สวยแห่งหนึ่งของแหลมสัก โดยเฉพาะในช่วงยามเย็นเช่นนี้ ชมบรรยากาศท้องทะเลรอบด้าน ไปพร้อมๆ กับพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ คล้อยลับขอบฟ้าไป

     

    • โพสต์-5
    CHAILAIBACKPACKER •  พฤษภาคม 12 , 2560

    DAY #2 เที่ยวไปใน.. "ทะเลใน" ชุมชนแหลมสัก

    เช้านี้.. ตื่นเช้ากันสักหน่อย เรามีโปรแกรมนั่งเรือออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้น จึงต้องตื่นมาเตรียมตัวกันแต่เช้ามืด แล้วนั่งเรือจาก ท่าเรือแหลมสัก ออกไปกลางทะเล โดยในช่วงแรกที่นั่งเรือทะเลรอบด้านก็ยังดูมืดมิด แต่ในเวลาไม่นานก็เริ่มมีแสงจับขึ้นมาที่ขอบฟ้าด้านหนึ่ง เป็นสัญญาณเริ่มต้นของเช้าวันใหม่..

    เรือพามาเทียบกับขอบหน้าผาของเกาะเล็กๆ กลางทะเลแห่งหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ผาเขาค้อม เราจะมารอชมพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งที่นี่จะสามารถมาได้เฉพาะช่วงเช้าหรือเย็น เพราะเป็นช่วงน้ำลด ถ้ามาช่วงน้ำขึ้นเรือจะไม่สามารถเข้าจอดเทียบท่าได้

    เมื่อขึ้นจากเรือและปีนบันไดขึ้นมาข้างบน.. ก็จะพบกับ เพิงผา คล้ายโพรงถ้ำในภูเขา ที่มีความยาวตลอดแนวกว่า 100 เมตร สามารถเดินไปมาได้ตลอดแนว ซึ่งในระหว่างที่เราเดินนี่เอง ที่ต้องค้อมตัวต่ำลง หรือก้มตัวเดิน เพราะเพดานถ้ำค่อนข้างต่ำมาก จึงเป็นที่มาของชื่อ ผาเขาค้อม นั่นเอง

    ที่นี่.. ถือเป็น จุดชมพระอาทิตย์ที่สวยงามแห่งหนึ่ง บรรยากาศท้องทะเลยามเช้าอันเงียบสงบ กับ แสงสีทองยามเช้าที่ค่อยๆ เพิ่มความสว่างขึ้นทีละ ลอดผ่านช่องหินงอกหินย้อยและเงาเพดานถ้ำที่โค้ง เกิดเป็นภาพที่สวยงามมาก


    จากนั้น เราก็ออกเดินทางกันต่อ เรือลำเดิมพาเราแล่นแหวกผืนน้ำ ไปอย่างไม่เร่งรีบ เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ สบายๆ ให้เราพอได้ชมกับบรรยากาศท้องทะเล ชมเกาะน้อยใหญ่ ที่กระจายตัวรอบด้านบ้าง ซึ่งวันนี้.. จะนั่งเรือวนเที่ยวในบริเวณที่เรียกว่า “ทะเลใน”

    เรือมาเทียบจอดที่หาด บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งหาดเล็กๆ นี้เรียกว่า “หาดฉิ้งฉั้ง” เป็นหาดขนาดเล็กจริงๆ มีความยาวตลอดแนวแค่สั้นๆ แต่ก็ความเป็นธรรมชาติ และเงียบสงบ ซึ่งนอกจากเราจะมาเดินเล่นชมความสวยงามของชายหาดกันแล้ว เราก็จะมาทานอาหารเช้าแบบปิคนิค ปูเสื่อริมหาดนั่งล้อมวงทานอาหารเช้ากันอีกด้วย

    รับประทานอาหารเสร็จ ก็นั่งเล่น เดินเล่น ที่ริมหาด พักผ่อนตามอัธยาศัย น้ำทะเลที่นี่ใสมากๆ ธรรมชาติยังคงความบริสุทธิ์อยู่

    ลงเรือไปเที่ยวกันต่อ.. ซึ่งเสน่ห์ของการมาเที่ยวทะเลกระบี่อย่างหนึ่งก็คือ การได้พบเห็นกับเกาะน้อยใหญ่ และภูเขาหินที่มีรูปร่างแปลกตา กระจายตัวในท้องทะเล ซึ่งในบางเกาะ ก็มีลักษณะเป็นโพรงถ้ำเล็กๆ ให้เรือสามารถไปจอดเทียบใกล้ๆ ได้ อย่าง ถ้ำชาวเล เราจะได้พบกับ ภาพเขียนสีโบราณ ตามผนังถ้ำ โดยภาพเขียนสีเหล่านี้ถูกเขียนขึ้นด้วยยางไม้ผสมกับเลือดสัตว์ มีอายุกว่า 3000 ปี

    ซึ่งนอกจากภาพเขียนสีที่ถ้ำชาวเลแล้ว ในบริเวณทะเลในนี้ ก็ยังมีภาพเขียนสีกระจายอยู่ในหลายๆ จุดอีกด้วย ทั้งนี้ ก็มีข้อสันนิษฐานว่า.. พื้นที่เกาะน้อยใหญ่ที่กระจายตัวกันอยู่เมื่อก่อนนั้นเคยเป็นแผ่นดินใหญ่มาก่อน จึงทำให้เห็นภาพเขียนสีปรากฎอยู่บนผนังถ้ำของเกาะที่อยู่ไกลจากฝั่งเช่นนี้

    จากนั้น.. เรือพามาเทียบที่กระชังกลางทะเล ซึ่งเราเข้าใจว่า.. เป็นกระชังที่เลี้ยงสัตว์ต่างๆ อย่าง กุ้ง หอย ปู ปลา เท่านั้น แต่สำหรับกระชังของชาวบ้านที่นี่ ยังมีกระชังสำหรับเลี้ยง สาหร่ายพวงองุ่น ด้วย เพราะกระชังกลางทะเลแบบนี้น้ำทะเลจะสะอาด เหมาะกับการเจริญเติบโตของสาหร่ายพวงองุ่น

    สาหร่ายพวงองุ่น ถูกยกขึ้นมาจากกระชังเพื่อให้เราได้ชม ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด เท่านั้นยังไม่พอ.. เราสามารถที่จะได้ชิม สาหร่ายพวงองุ่นกันแบบสดๆ ได้เลย แต่.. รสชาติในการเด็ดมาชิมแบบสดๆ อย่างนี้ ออกจะเค็มไปสักหน่อย ซึ่งวิธีการทานที่ถูกต้องต้องนำไปล้างน้ำจืด เพื่อลดความเค็มเสียก่อน

    นอกจากนั้น.. เรายังมีโอกาสได้ทดลองขยายพันธุ์สาหร่ายพวงองุ่นด้วย ซึ่งวิธีการก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงนำสาหร่ายพวงองุ่นต้นเดิม มาตัดแบ่งเป็นท่อนเล็กๆ ขนาดพอเหมาะ แล้ววางให้กระจายไปทั่วบนตะแกรง ก่อนจะประกบด้วยตะแกรงอีกหนึ่งอันกันกระแสน้ำพัด จากนั้นนำไปลงในกระชัง รอประมาณ 3 เดือน สาหร่ายพวงองุ่นก็จะงอกกระจายตัวเต็มตะแกรง พร้อมนำไปจำหน่าย ซึ่งเป็นอาชีพหนึ่งที่สร้างรายได้ให้คนในชุมชนได้เป็นอย่างดี

    นั่งเรือเที่ยวบริเวณ ทะเลใน กันต่อ ผ่าน เขาเหล็กโคน ซึ่งเป็นเขาลักษณะเรียวยาวตั้งอยู่กลางทะเล คล้ายกับเกาะตะปู จังหวัดพังงา ซึ่งคำว่า เหล็กโคน เป็นภาษาใต้ ที่มีความหมายว่า “ตะปู”

    เขาเหล็กโคน ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้มีมีรูปร่างที่ดูแปลกตา และน่าสนใจดี จนอดใจไม่ไหวที่จะขอแอ๊คชั่นท่า หยิบ จับ เขาเหล็กโคนกันสักหน่อย

    ไม่ไกลกันจะพบเขารูปร่างแปลกตาอีกหนึ่งจุด นั่นก็คือ เขาฝาแฝด ซึ่งเป็นเขาลูกเล็กๆ 2 ลูก ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ตั้งอยู่ข้างๆ กัน ราวกับเป็นฝาแฝดกัน จึงเป็นที่มาของชื่อนี้

    ระหว่างนั่งเรือ ก็ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านที่น่าสนใจ อย่างเช่น การช้อน(ตัก)กุ้ง หรือ เคย ที่อยู่ตามโขดหิน และภูเขาในทะเล ในช่วงเวลาที่น้ำตาย(7 ค่ำ – 11 ค่ำ) เพราะเป็นช่วงเวลาที่น้ำไม่ไหลเชี่ยว เพื่อนำไปผลิต กะปิกุ้งตัก อันเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่หล่อเลี้ยงชุมชนมาอย่างยาวนาน

    เราเดินทางมาถึง บ้านอ่าวน้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าเขาริมน้ำธรรมชาติสวยงาม มองไปทางไหนก็เห็นสีเขียวของต้นไม้ขึ้นแน่นขนัด ดูร่มรื่นไปหมด และ เราได้ทราบว่า.. ในอดีตพื้นที่ บ้านอ่าวน้ำ เป็นพื้นที่ที่มีกล้วยไม้ธรรมชาติสายพันธุ์ต่างๆอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากมีการลักลอบนำกล้วยไม้ธรรมชาติออกไปขายอยู่บ่อยๆ จึงทำให้ปัจจุบันปริมาณกล้วยไม้ธรรมชาติลดลงไปเป็นอย่างมาก จึงมีการอนุรักษ์กล้วยไม้ท้องถิ่นเกิดขึ้น ซึ่งวันนี้เราจะมาทำกิจกรรมปลูกกล้วยไม้ ใน เขตอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้ท้องถิ่น แห่งนี้กัน

    พื้นที่แห่งนี้.. เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตตามธรรมชาติของกล้วยไม้มาก คือ เป็นภูเขาหินปูนติดชายฝั่งทะเล มีหน้าผาสูงชัน มีรอยแยกของหินที่ปกคลุมไปด้วยมอส และสภาพอากาศที่เหมาะสม ทำให้กล้วยไม้เจริญเติบโตได้ดี


    แวะมาทานอาหารกลางวัน ใน ที่ทำการกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติบ้านอ่าวน้ำ โดยเมนูเด็ดสำหรับมื้อนี้ ก็คือ ข้าวคลุกกะปิ ซึ่งกะปิที่ใช้ก็เป็นผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นนี่เอง ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่เป็นธรรมชาติ ปลอดสารเคมี ใช้วัตถุดิบที่สดใหม่ เมื่อนำมาประกอบอาหาร จึงได้อาหารที่รสชาติอร่อยไม่เหมือนใคร..

    ข้าวคลุกกะปิ ของบ้านอ่าวน้ำ จะต่างจากที่อื่นที่ใช้หมูหวาน โดยที่นี่จะใช้กุ้งหวานแทน และใช้ กะปิกุ้งตัก ที่ผลิตในชุมชนในการปรุงอาหาร ข้าวคลุกกะปิ จึงมีกลิ่นกะปิที่หอม รสชาติอร่อยติดใจ จนต้องขอเพิ่มกันเลยทีเดียว..

    และ อาหารอีกอย่างก็คือ สาหร่ายพวงองุ่น ที่ได้เก็บมาจากกระชังกลางทะเลเมื่อช่วงเช้า ก็ได้นำมาล้างน้ำจืด ให้ได้ลองชิมกันแบบสดๆ โดยไม่ต้องนำมาประกอบอาหารให้ยุ่งยากแต่อย่างใด หรือ จะนำมาทานเป็นเครื่องเคียงของข้าวคลุกกะปิ ก็อร่อยไปอีกแบบ..

    เมื่ออิ่มท้องกันแล้ว.. ก็เดินทางไปที่ กลุ่มผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้พื้นถิ่น และ กลุ่มกะปิ บ้านอ่าวน้ำ ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน มาที่นี่จะได้เห็นกล้วยไม้พื้นถิ่นสวยๆ มากมาย อวดสีสันให้ได้ชม ซึ่งบางพันธุ์ก็เป็นพันธุ์ที่หายาก

    เราได้เห็นกรรมวิธีการผลิตกะปิบางส่วนของ กลุ่มกะปิ บ้านอ่าวน้ำ ซึ่งแหล่งที่มาของวัตถุดิบ คือ การช้อน(ตัก)กุ้ง หรือ เคย ที่อยู่ตามโขดหิน และภูเขาในทะเล ในช่วงเวลาที่น้ำตาย(7 ค่ำ – 11 ค่ำ) เพราะเป็นช่วงเวลาที่น้ำไม่ไหลเชี่ยว สู่โรงผลิตและแปรรูป ที่เน้นความสะอาด ปลอดสิ่งเจือปน สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย

    กะปิที่นี่อร่อยจริง แค่ได้ลองทานกับมะม่วงก็ติดใจแล้ว ซึ่งถ้าใครสนใจก็สามารถซื้อกะปิกลับไปเป็นของฝากได้ในราคาไม่แพง ได้กะปิที่มีคุณภาพ แถมได้ช่วยอุดหนุนสินค้าของชุมชนอีกด้วย..

     

    • โพสต์-6
    CHAILAIBACKPACKER •  พฤษภาคม 12 , 2560

    แช่ออนเซ็น แบบธรรมชาติ ที่ไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่น

    จาก ชุมชนแหลมสัก อำเภออ่าวลึก เรานั่งรถมายังอำเภอคลองท่อม โดยมีจุดหมายที่ วารีรัก รีสอร์ท แอนด์ สปา ซึ่งจะเป็นที่พักคืนที่สองของเรา ที่นี่.. เป็นรีสอร์ทที่มีความเป็นธรรมชาติ บรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ เหมาะสำหรับการมาพักผ่อน มีบริการที่หลากหลาย เช่น การนวด การทำสปา แต่ที่ดูน่าสนใจที่สุดสำหรับเรา ก็คือ มีบ่อออเซ็นให้ลงไปแช่ด้วย!

    บรรยากาศภายนอก และภายในห้องพัก ที่สร้างจากวัสดุจากธรรมชาติ มีความสวยงาม น่าพักผ่อน

    เดินไปไม่ไกลจากที่พัก ก็จะพบ บ่อออเซ็น ให้ได้ไปลงแช่ในน้ำร้อน ซึ่งมีอยู่หลายบ่อ และแต่ละบ่อก็มีอุณหภูมิความร้อนที่แตกต่าง ไล่ระดับความร้อนกันไป 3 ระดับ ซึ่งบ่อไหนมีความร้อนระดับเท่าไร ก็สามรถสังเกตได้จากสีของกระเบื้องเล็กๆ ที่อยู่ตรงขอบบ่อนั่นเอง

    การแช่น้ำร้อน หรือ ออนเซ็น  จะช่วยในเรื่องของการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ คลายความเมื่อยล้า ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ซึ่งในระหว่างการแช่น้ำร้อน ก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล และให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้.. สามารถมาแช่น้ำร้อนได้ตลอดเวลา แต่เวลาที่เหมาะสมที่สุดก็คือ ในช่วงเช้า และช่วงเย็น

     

     

    • โพสต์-7
    CHAILAIBACKPACKER •  พฤษภาคม 12 , 2560

    DAY #3 ชุมชนบ้านทุ่งหยีเพ็ง ชุมชนดั้งเดิมบนเกาะลันตาใหญ่

    เช้าวันนี้.. ที่ วารีรัก รีสอร์ท แอนด์ สปา เราตื่นขึ้นมาด้วยด้วยความสดชื่น เดินแวะไปแช่ ออนเซ็น ในบรรยากาศตอนเช้าแบบนี้อีกสักรอบ ก่อนจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทานอาหารเช้า แล้วออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป นั่นก็คือ ชุมชนบ้านทุ่งหยีเพ็ง เกาะลันตาใหญ่

    บ้านทุ่งหยีเพ็ง ตั้งอยู่ทางด้านชายฝั่งทะเลทิศตะวันออกของเกาะลันตาใหญ่ อยู่ใน ตำบลศาลาด่าน อำเภอเกาะลันตา เป็นชุมชนดั้งเดิมบนเกาะลันตา ชาวบ้านในหมู่บ้านจะประกอบอาชีพทำการประมง และการเกษตรเป็นหลัก ปัจจุบัน ชุมชนบ้านทุ่งหยีเพ็ง ได้พัฒนาเป็นศูนย์ศึกษาธรรมชาติ ป่าชุมชน และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และ เราก็จะได้มาร่วมเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนที่นี่ไปพร้อมๆ กัน..

    เมื่อเราเดินทางมาถึง ก็ได้รับการต้อนรับที่ดี และได้ร่วมทำอาหารกลางวันไปกับคนในชุมชน ซึ่งเมนูหลักๆ สำหรับมื้อนี้ ก็คือ ส้มตำ ลาบไก่ และ ยำหอยแครง เป็น 3 เมนูหลัก ที่เราต่างได้ร่วมแสดงฝีมือทำอาหารไปกับคนในชุมชน ซึ่งนอกจากนี้ ก็ยังมีเมนูแบบฉบับพื้นบ้านอื่นๆ ให้ได้ลองชิมกันอีกด้วย

    ตบท้ายอาหารมื้อกลางวัน ด้วยของหวาน เป็นขนมท้องถิ่น ที่ก่อนทานต้องโรยน้ำตาลทรายลงไปก่อน อร่อยดีเหมือนกัน..

    จากนั้น.. เราเดินทางไปกันที่ ป่าชายเลนบ้านทุ่งหยีเพ็ง ซึ่งถือว่าเป็นป่าชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของประเทศไทย เราลงเรือล่องลัดเลาะไปตามคลองต่างๆ ที่แทรกตัวอยู่ในผืนป่าชายเลนแห่งนี้

    ซึ่งนอกจากการล่องเรือเที่ยวชมธรรมชาติป่าชายเลนแล้ว การพายคายัค ก็เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ สามารถจะพายคายัคชมธรรมชาติได้อย่างอิสระ แถมได้ออกกำลังไปในตัวด้วย

    ระหว่างที่ล่องเรือผ่านเราก็ได้ชมธรรมชาติทั้งสองฝั่งที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ เป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่ของสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิด

    เมื่อเครื่องยนต์ถูกดับลง.. เรือก็ล่องแบบอิสระเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ตามกระแสน้ำ ซึ่ง ณ ขณะนี้ทุกอย่างดูเงียบลง เราได้ยินเสียงของธรรมชาติได้ชัดเจนขึ้น ได้ยินเสียงนกร้อง เสียงจิ้งหรีดเรไร เสียงปลาที่ตกใจจนตีน้ำกระจาย ได้พบเห็นสัตว์ตัวเล็กๆ อย่าง ปู ที่วิ่งหลบไปมา บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนแห่งนี้..

    การล่องเรือชมป่าชายเลน บ้านทุ่งหยีเพ็ง จะเป็นกิจกรรมสุดท้ายของการเดินทางมาเยือนกระบี่ในครั้งนี้ เราได้ถูกส่งท้ายด้วยสายฝนที่โปรยปราย ขณะที่เรือกำลังจะกลับเข้าเทียบท่า สร้างความชุ่มฉ่ำ เย็นสบายกันทั่วหน้า ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเดินทางกลับกันต่อไป..

    สำหรับการมาเยือน กระบี่ ในทริปนี้ ผมก็ได้เรียนรู้ และได้ประสบการณ์ที่ดี ตลอดระยะเวลาทั้ง 3 วัน ทำให้รู้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวในกระบี่ยังมีอีกมากมาย ดังที่เคยกล่าวไปในตอนต้นว่า.. กระบี่ อีกสักกี่ครั้ง ก็คงไม่พอ และ.. ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

    ทั้งนี้.. ต้องขอขอบคุณทริปดีๆ จาก Local Alike ที่พาผมไปสัมผัสกับวิถีชุมชน และ เส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจเช่นนี้ครับ..

     

     

     

    ติดตามการเดินทางทริปอื่นๆ ได้ที่..

     

    การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

    Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker

    Instagram : CHAILAIBACKPACKER

    Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9