หลง(รัก)ป่า

#รูปที่ใช้ในรีวิวนี้ เครดิต จาก พี่ชู เว็บเดินป่า.com พี่เหน่ง และ พี่ Jay walkman

 ยังจำครั้งแรก....ของคุณได้ไหม ?
ครั้งแรก...ของการก้าวย่าง      ครั้งแรก...ของการเรียน การสอบ     ครั้งแรก...ของความฝัน  ครั้งแรก...ของการผจญภัยและการเดินทาง    ครั้งแรกของการเดินป่า...และนี่ก็เป็นครั้งแรก...ของการเขียน...theTripPacker              ___________________________

เรามีอาชีพดีไซเนอร์ เป็นนักออกแบบ ที่หลงรักการเดินทาง หลงรักการดำน้ำ และตกหลุมรักในการผจญภัยทุกรูปแบบ ทุกวันเรามักจะขีดเขียนเรื่องราวการท่องเที่ยว หลากหลายประสบการณ์ที่พบเจอลงในสมุดจด จนบางครั้งกาลเวลาก็พรากสีหมึกจากกระดาษของเราไป..เพราะเหตุนี้ทำให้เราคิดจะบันทึกเรื่องราวบนโลกออนไลน์ที่คุ้นชิน

เวิ่นเว้อมานาน.....เอ๊ะ ยังไง เข้าเรื่องกันดีกว่า 55555                                           ________________________      

                                        นี่แหละ โฉมหน้าของครูคนแรก ที่เปิดทางให้รักป่า                                              "เมื่อนักดำน้ำ เข้าสำรวจป่า" เอาล้ะซิ ปกติก็มักจะสำรวจแต่ป่าใต้ทะเล มีเข็มทิศคอยนำทางไม่ให้หลง(แต่ก็หลง)   ป่าในความรู้สึกเรามันเหมือนกันไปหมด พิกัดใดใด สังเกตุด้วยตาเปล่าก็ยากนัก ทริปนี้เริ่มขึ้นจากการรู้จักกับ #พี่ชู จากเว็บ เดินป่า.คอม ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเลยขอตามติดเค้าไปด้วยซักหนึ่งทริป  จากทริปแรกทริปสองสามสี่ก็ตามมา...จนขาดป่าบนดินไม่ได้เลย             

" แบกเป้ใบเดิมที่คุ้นชินกับมัน ใบเดิมที่ใช้แบกขึ้นหลังมากกว่ากระเป๋าโน้ตบุ๊คไปทำงานเสียอีก " 

ยามรุ่งสางดวงตะวันนับถอยหลังที่จะโผล่พ้นขอบฟ้า สิบกว่าชีวิต ก้าวเท้าลงเหยียบย่ำผืนดิน บรรยากาศของโลกใบใหม่ปรากฎขึ้นตรงหน้า บางทีนักเดินทางก็ไม่รู้หรอกว่าโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่กับโลกที่เรากำลังเดินทางตามความฝัน โลกใบไหนคือโลกแห่งความจริงกันแน่

ไอร้อนเริ่มปะทุเข้าร่างกาย ผสมกลิ่นไอดินคลุ้งเคล้า ความชื้นสัมพัทธ์ที่สัมผัสได้ค่อนข้างสูง สองมือสองเท้ารีบเร่งช่วยกันขนสำภาระในการดำรงชีพ ผู้ชายรับหน้าที่แบกข้าวสาร ผู้หญิงต่างช่วยกันขนผักไข่ลงเป้ ภาระที่หนักอึ้งมากที่สุดในการเดินป่าเห็นว่าจะเป็น "น้ำ"  ถึงแม้เป้าหมายของเราในวันนี้จะเป็นน้ำตกก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าน้ำจากการรังสรรค์ของธรรมชาติจะมีรสและกลิ่นที่บริสุทธิ์ แต่ก็นั่นแหละแหล่งเพาะเชื้อมาลาเรียชั้นดีเลยทีเดียว 

เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าหน่วยเลยวังไสย์ 2 คน รับหน้าที่เป็นผู้นำทางทั้งทริปตลอด 2 วัน รถตู้มาส่งพวกเรา ณ ศาลาไม้บนถนนสายยาว เบื่องหน้าที่ปรากฎเป็นภูเขาใน จ.เลย จากตรงนี้มองไปบนนั้นจะเห็นช่องสีขาวขนาดจิ๋ว "น้ำตกสวรรค์ที่สูงกว่า 70เมตร ที่เราจะไปตามหากัน"

 

เห็นสีขาวเล็กๆด้านบนพี่เสื้อแดง กลางภูเขานั้นไหม ที่นั่นแหละ "น้ำตกตาดเลยหง่า"

____________________________________________________

เจ้าหน้าที่พาเราขึ้นโฟร์วิวลัดเลาะไปตามตีนภู ผ่านสวนไร่นาของชาวบ้าน ผ่านไร่ข้าวโพด ณ ตอนนี้พลังจากธรรมชาติค่อยๆเติมเต็มพวกเราทีละนิดทีละน้อย ช่วยให้ความอ่อนเพลียจากการนั่งรถเบาบางลงไป ถึงจุดเริ่มเดิน มีเพียงกระท่อมไม้สานกับแคร่กำลังพอดีตัวเพียงเท่านั้น ที่เป็นที่พำนักเพียงชั่วคราวก่อนลงสนามจริง

หนทางนี้ยังอีกยาวไกล จุดแรกที่เริ่มเดินเท้า นักดำน้ำที่เหนื่อยอ่อนอย่างเราเหนื่อยตั้งแต่แรกเริ่ม เดินฝ่ากลางไร่ข้าวโพดของชาวบ้าน ประมาณ 2 กิโล ก่อนทางของแสงจะเปลี่ยนไป เข้าสู่ร่มเงาของป่า

  "ปกติไม่ค่อยจะมีคนเข้ามาเท่าไหร่ ผมมาที่นี่ปีละ 2-3 ครั้งเอง ป่าก็เลยยังเป็นป่า ที่นี่มีภูเขาเชื่อมกันหลายที่ ถ้าใครหลงและโชคดี จะเดินลงไปเจอบ้านชาวบ้าน" เจ้าหน้าที่หันมาพูดหลังจากเข้าป่ามาได้พักใหญ่ เราเดินมาถึงจุดพักแรก พักดื่มน้ำและดมยา (แน่ล่ะมันเหนื่อยมากสำหรับครั้งแรก) ตดยังไม่ทันหายเหม็น พี่พี่ในทีมพูดขึ้น "เราออกเดินทางกันต่อดีไหม"

หลังจากเดินมาอีกซักระยะ แสงแดดเริ่มส่องแสงทำมุมเฉียง ไล่เรียงตระเตรียมทิศทางมาเหนือหัว เป็นสัญญาณของเวลาใกล้เที่ยง น้ำย่อยในท้องเริ่มโอดครวญทำงาน แว่วเสียงจากพี่ชูมาแต่ไกล แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา "เดินผ่านทุ่งนี้เราจะพักทานข้าวกัน" เพราะยอดหญ้าที่สูงเทียบเท่าระดับหัว ขาสองข้างต้องทำงานประสานกับดวงตาที่ต้องคอยมองพี่พี่ข้างหน้าไม่ให้หลงออกนอกเส้นทาง โฮ๊ะ!!!! เสียงที่ใช้เรียกหากันเวลาที่ตาไม่สามารถเห็น แต่หูเรายังได้ยิน รีบจ้ำอ้าวอย่างมีความหวัง ......

                                                                  " บรรยากาศ ดิบๆกลางป่า "

เราแวะทานข้าวที่ธารน้ำตกกลางป่า ไม่แน่ใจว่าเรามาไกลเท่าไหร่แล้ว "พี่เหน่ง" พี่ที่คอยดูแลเราตลอดเวลาในป่า พี่ชายคนนี้ชวนคุยเป็นระยะ ทำให้ลืมความเหนื่อเลยทีเดียว พาเดินมาพักที่ก้อนหินใหญ่ริมน้ำ พร้อมแกะห่อไข่พะโล้ทานกัน เราไม่เหลืออะไรไว้ในป่า ถุงพลาสติก ยางวง พี่เหน่งพันเก็บยัดใส่เป้ .....และพร้อมเดินทางกันอีกครั้ง

เวลาคล้อยบ่าย พี่กอล์ฟ พี่น้อง บอกเราว่า "นี่โชคดีน้ะ มาเดินครั้งแรกได้เดินไม่เหนื่อยนัก ปกติพี่พี่จะเดินกันหนัก สองสามวัน และเดินกันนานหลายชั่วโมง เดินไปคุยไป พี่น้องก็เล่าถึงเรื่องไปเดินป่าเมืองนอก วิ่งหนีลิงจากยอดไม้" คุยเพลินจนใกล้ถึงจุดหมาย พี่พี่ชี้ชวนดูบุ้งน้อย ดูใบไม้ ใบหญ้า เล่าเรื่องราวระหว่างป่าให้ เด็กผู้หญิงได้เดินไปฝันไปถึงป่าที่ใหญ่กว่า กว้างกว่า และมีเรื่องราวครั้งต่อไปให้ชื่นชมเดินผ่านทางขึ้นลง ตอไม้ใหญ่ ล้มลุกคลุกคลานไปตามก้อนหิน อาจเป็นเพราะรองเท้าผ้าใบที่ดอกยางไม่ค่อยจะมี จนพี่เจ้าหน้าที่ต้องบอกเทคนิคการเดิน โดยใช้น้ำหนักเท้า แลการเบรกด้วยข้างเท้าอย่าไรไม่ให้ข้อเราบาดเจ็บ ไอความชื้นเริ่มเข้าปะทะกับใบหน้า เป็นสัญญาณว่าเราใกล้ถึงจุดหมายแล้ว ความดีใจจากความพยายามถึงขีดสุด ของเรากำลังจะสำเร็จ แต่ไม่เลยนี่เพียงครึ่งทางเท่านั้น  ล้มลุกคลุกคลานไปตามลานหินที่โผล่พ้นน้ำมาเพียงเล็กน้อย สองเท้ากระโดด ประคองตัวเองให้มั่นเพราะเกรงว่า สายน้ำไหลจากน้ำตกเบื้องหน้าของเราจะพัดพาเราไปยังจุดเริ่มเดินใหม่ได้ในทันที ความเชี่ยวของกระแสน้ำทำให้เราหวั่นใจ พี่เหน่งพาตัวเองปีนขึ้นหินก้อนใหญ่เหนือหัวและชันมาก และหันกลับมาดึงเราขึ้นไปจากกระแสน้ำเชี่ยวตรงนั้น แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นน้ะซิ ขาที่สั้น กระเป๋าที่หนัก ทักษะที่ไม่มี เจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาให้ความช่วยเหลือ โดยใช้ขาของตัวเองพาดเป็นสะพานให้เราเหยียบ และส่งตัวเองยันขึ้นไปบนหินก้อนนั้น ความมีน้ำใจหากันไม่ได้ง่ายๆในกลุ่มเมือง แต่ท่ามกลางป่าลึกแบบนี้พวกเรามีกันจนล้นป่าเลยทีเดียว

                            "พี่เหน่ง พี่ชายที่แสนดี กับ ฉากหลังน้ำตกตาดเลยหง่า ที่เราดั้นด้นมาหามันจนเจอ"

ก็อย่างที่บอกแระ ที่นี่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางในการตั้งแคมป์ในคืนนี้ เราต้องเร่งเดินเท้าต่อกันขึ้นไปอีก ซึ่งระยะทางนั้นชันอย่างที่ปล่อยมือ จากต้นไม้ไม่ได้เลยทีเดียว ไม่เช่นนั้นน้ำหนักกระเป๋าจะถ่วงให้เราบาดเจ็บได้ ทั้งดัน ดึง ยก และช่วยพลักให้เราขึ้นเนินที่น่าพิศวงนี้ได้ ขอบคุณพี่พี่ทุกคนมากที่คอยช่วยเหลือ คอยถาม คอยรอ จนเราถึงแคมป์ในคืนนี้กัน 

          " แคมป์แรกกลางป่าสูง หลังม่านน้ำตก และ วิวเมือง"

ที่นี่เราพบกับลานหินแผ่นใหญ่ เป็นทั้งห้องนอนกลางป่า ครัวกลางป่า ห้องนั่งเล่นกลางป่า เราพักแรมกันที่นี่สังสรรค์กันหลังม่านน้ำตกที่สูงถึง 70 เมตร ยามตะวันกำลังจะลับฟ้า นักเดินป่ารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อทานข้าว แชร์ประสบการณ์ระหว่างกัน ต่างพากันเดินลัดเลาะไปตามโขดหินใหญ่ ชื่นชมควาามงามจากธรรมชาติที่รังสรรค์ แยกย้ายกันหามุมทำธุระส่วนตัว 

ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิท นักเดินป่าที่มีประสบการณ์พากันตั้งวงเหล้า มีเพียงความสว่างดวงเดียวจากตะเกียงของพี่ชูเท่านั้น เรานั่งมองออกไปไกลลับตา "จะมีไหม ใครซักคนในเมืองที่มองขึ้นมาบนเขาลูกนี้ เหมือนอย่างที่เรามองเค้ามองสีสันของดวงดาวบนผืนดิน" ฉันอมยิ้มให้กับตัวเอง และเดินไปซุกตัวอยู่ในถุงนอน พลันหลับไปพร้อมเสียงกล่อมจากม่านน้ำตกตาดเลยหง่า

________________________________

ดวงตะวันขึ้นมาทักทายอีกครั้ง พี่พี่พากันขึ้นไปที่หัวน้ำตกในตอนเช้า เราอยู่แคมป์ตระเตรียมเสบียงก่อนเดินทางกันอีกครั้ง ขากลับเดนลงทางชันง่ายกว่าเดินขึ้น เพราะเราใช้แรงโน้มถ่วงเป็นตัวนำ ระหว่างทางสมาชิกในทีมแตกออกไปเรื่อยๆ เป็น 4 กลุ่ม เราน่าจะเป็นกลุ่มสุดท้าย มีเรา พี่เหน่ง พี่เจ้าหน้าที่ พากันเดินหลงเข้ามาในป่าไผ่ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกันไปหมด สิ่งรอบตัวหาจุดหลักแทบไม่ได้ นี่แหละน่ะ ใต้น้ำที่ว่ายังมีเข็มทิศ ยังหลงเลย 5555 ทันใดนั้นเสียงวอจากเจ้าหน้าที่อีกคนก็ดังขึ้น และเราเริ่มค้นหาทางกันอีกครั้ง ความกลัวการหลงป่าไม่ได้เข้ามาในจิตใจของเราเลย เพราะ พี่เหน่งยังชี้ชวนให้ดูเริื่องราวของป่า ชวนกันถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็เจอทาง และมายังจุดหมายที่เรานัดกันได้อย่างปลอดภัย และเรื่องราวที่น่าแปลกใจอีกหนึ่งเรื่อง  แต่ละกลุ่มกลับเดินลงมายังจุดนัดภพ....คนละทาง