โบกรถลุยเดี่ยว เที่ยว "ปิล๊อก 399 โค้ง" กว่าจะถึง "เขาช้างเผือก"

  มาแล้ว มาแล้ว รีวิวท่องเที่ยว แบบลุยเดี่ยวอีกครั้ง 
ครั้งนี้เราไปลุยกันที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดที่อยู่ทางตะวันตกของประเทศไทย 
แถมยังมีธรรมชาติ และประวัติศาสต์มากมายก่ายกอง

       เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า เริ่มด้วยการที่ผมอยากไปปีนเขาช้างงเผือกมาก ซึ่งเป็นที่ที่จองอยากที่สุดในไทยอีกที่หนึ่งกว่าว่าได้ จองมา 3 ปีแล้ว อ่ะยังไม่ได้สักที ผมเริ่มโทรจองช่วงหลังปีใหม่ครับ เพราะคิดว่าคนน่าจะไปเที่ยวน้อยลง เลยโทรทุกวัน ทุกวัน โทรเท่าไหร่ไม่ติด จนถึงวันที่โทรติด กับสายที่โทรไปในวันนั้น 200 สาย พอเจ้าหน้าที่รับ ในใจก็คิดว่า คงเต็มแล้ว แต่ก็ถามเจ้าหน้าที่ไปว่า

        ผม : วันที่ผมจะขึ้นเต็มยังครับ 
        เจ้าหน้าที่ : ยังว่างอยู่ค่ะ
        ผม : งั้นผมขอจองวันนั้น จำนวน 5 ที่ เต็มจำนวนเลยครับ
        เจ้าหน้าที่ : งั้นขอชื่อ และเลข ปชช. ของทุกคนเลยหรอครับ
        ผม : ผมเปิด line เพื่อจะหารายชื่อเพื่อนที่เตรียมไว้ แต่ด้วยความตื่นเต้น และ line มีปัญหาก่อนหน้านี้ จึงหาไม่เจอ ผมเลยบอกเจ้าหน้าที่ไปว่า อืมมม งั้นผมขอเปลี่ยนเป็นไปคนเดียวแล้วกันครับ พอดีผมหารายชื่อเพื่อนไม่เจอ (ในใจคิด ตูโดนบ่นแน่ๆ) แต่เอาวะ จองยากนี่ไปคนเดียวก็ได้
        เจ้าหน้าที่ : อ่อค่ะ 

       หลังจากนั้นผมก็แจ้งรายละเอียดของผม และส่งเอกสารไปตาม e-mail ที่ทางอุทยานได้แจ้งไว้ แล้วผมก็บอกเพื่อนๆว่า จองได้แล้วนะ แต่คนเดียวว่ะ Sory sory แล้วหลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ผมก็เตรียมตัวเดินทาง ซึ่งทริปนี้ไปคนเดียวจึงไม่ได้เอาของอะไรไปมาก จะได้ไม่เป็นภาระของตัวเอง   
          เรามาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า ก่อนวันไปหนึ่งวัน ผมได้จองเดินทางกับรถโดยสารของ บขส.999 ซึ่งจองขึ้นจาก หมอชิตขด่านเจดีย์สามองค์ แต่ผมจะไปลงแค่ ตลาดทองผาภูมิเท่านั้น ซึ่งจองผ่าน online และจ่ายเงินเรียบร้อย พอตอนเย็น ก็มีสายจากทาง บขส.999 โทรมาแจ้งว่าพรุ่งนี้ไม่มีรถแล้วนะคะ เนื่องจากรถมีเที่ยวเดียว และเสีย ให้ผมไปรับเงินคืนที่ หมอชิต 
        
DAY 1  
          มาถึงวันที่เริ่มเดินทาง ผมรีบตื่นแต่เช้า เพื่อให้ทันไปขึ้นรถตู้เที่ยวทัน 06.30 น. และไปรับเงินคืน ผมออกเดินทางจากหมอชิต ถึงจังหวัดกาญจนบุรี เกือบๆ 09.00 น. ผมรีบหาข้าวกินแล้วไปซื้อตั๋วรถตู้ เพื่อต่อรถขึ้นไปที่ตลาดทองผาภูมิ เพื่อจะให้ทันรถสองแถวอีต่อง ซึ่งมีรอบสุดท้าย บ่ายโมงครื่ง จากนั้นผมนั่งนั่งรถตู้จากในตัวเมือง มาถึงตลาดทองผาภูมิ ตอน 12.30 พอดี ซึ่งผมเห็นรถสองแถวอีต่องผ่านไปต่อหน้าต่อตา จึงค่อยเดินไปที่จอดรถสองแถว เพราะยังคิดว่ามีอีกรอบน่า พอเดินไปถึง ผมก็สอบถามกับคนแถวนั้นว่า รถสองแถวอีต่องหมดยังครับ เขาก็บอกว่ายังมีอีกรอบ ผมก็เลยเดินไปซื้อของมากินรอ แล้วอยู่ๆ คนที่ขับรถสองแถวแต่ไปที่บ้านไร่เขาบอกว่า วันนี้สองแถวอีต่องหมดแล้วนะ พี่แกก็จะให้เหมาไปอย่างเดียว แกเรียก 1200 (โหหหหห แพงไปไหมพี่ ในใจ) สักพักก็มีกลุ่มน้องๆที่มาเที่ยวเหมือนกัน ไม่ทันรถเหมือนกัน พี่แกก็ยังตื้อ บอกว่าหารๆกันไหม ไม่งั้นก็ไม่มีรถไปแล้วนะ สักพักป้าร้านข้าวแถวนั้นก็เดินมาบอกผม และกลุ่มน้อง ให้มารอร้านป้านี่ ไปม่ต้องไปเหมา คิดแพงไป ป้าแกบอกว่าวันนี้มีคนเหมารถขึ้นไปรอบหนึ่ง ทำให้รอบ  13.30 น. ไม่มี หลังจากนั้นป้าแกก็หารถไปส่งพวกเราให้ คนละ 100 พวกเราก็โอเค 
           ผมนั่งรถมาลงอุทยานก่อน เพราะว่าจะนอนที่อุทยาน 1 คืน แล้วผมก็เข้าไปสอบถามรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่  แล้วก็ไปกางเต๊นท์นอนในอุทยานนั่นแหละ

DAY 2
           ผมตื่นเช้ามาพร้อมกับอากาศเย็นสบาย นั่งจิบกาแฟซองละ 7 บาท หลังจากนั้นก็เก็บเต็นท์ แล้วไปกินข้าวที่ร้านค้าของอุทยาน เพื่อเตรียมตัวไปปิ๊อก(อีต่อง) สักประมาณ 10.00 น. ผมเดินไปรอรถสองแถวหน้าอุทยาน แต่พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า กว่ารถจะมาก็บ่ายๆ โน่นแหละ ให้ผมโบกรถไปเลย ผมยืนรอรถ รอแล้ว รออีก ก็ไม่มีรถขาขึ้นมาสักที มีแต่ขาลง จนเกือบ 11 โมง ก็มีรถกระบะ มาเที่ยวกำลังจะไปอีต่องพอดี ผมก็เลยขอโบกขึ้นไปเลย   
           ผมขออาศัยรถโดยนั่งท้ายกระบะพี่ครอบครัวนี้มาถึงหมู่บ้านอีต่อง ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมงก็มาถึง ผมนี่ก็มึนๆนิดหน่อย เพราะโค้งเยอะเหลือเกิน เห็นเค้าว่ามีโค้งตั้ง 399 โค้งแหนะ พอมาถึงผมก็ขอบคุณพี่ๆครอบครัวนี้มากที่ให้ผมติดรถมาด้วย จากนั้นด้วยความเมื่อยล้า และคืนนี้อยากนอนในหมู่บ้านชิลๆหน่อย เลยเดินไปหาโฮมสเตย์ แต่เดินถามหลายๆที่ก็เต็มไปหมด จนมาเจอที่ เลิ๊ฟปิล๊อกโฮมสเตย์ ตอนแรกพี่เขาบอกว่าห้องเต็มแล้ว แต่มีคนยกเลิกพอดี ผมเลยได้เป็นห้องสุดท้าย โชคดีจริงๆ ส่วนราคาก็ค่อนข้างเอาเรื่องอยู่นะ ประมาณ 800 รวมอาหารเช้าด้วยนะ(จริงๆก็พอๆกันกับทุกโฮมสตย์เลย) ผมก็เลยตกลงเข้าพัก หลังจากนั้นผมก็เข้าไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็ไปเดินเล่นชิลๆ แล้วก็หากาแฟอร่อยๆกินสักแก้วสักหน่อย หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเล็กน่ารัก อากาศก็ดี วันที่ผมไปมีหมอกลงทั้งวันเลย ฟินสุดๆ


          เดินเล่นกันจนเพลินเลย อ่อลืมไป ผมเดินไปเนินช้างศึกด้วยนะ ข้างบนอากาศดีมาก แต่เดินไปก็จะเหน่อยๆหน่อย ได้อีกฟิวหนึ่ง กลับมาก็สลบเลย จบไปอีกหนึ่งวัน

DAY 3
          วันนี้ผมต้องตื่นแต่เช้า ผมตื่นตั้งแต่ ตี 5 เพื่อรอไปขึ้นรถสองแถว เพื่อลงไปลงทะเบียนขึ้นเขาช้างเผือกที่อุทยานอีกครั้ง เนื่องจากปีนี้มีการปรับเปลี่ยนหลายๆอย่าง ทำให้ลงทะเบียนไว้ก่อน 1 วันไม่ได้ ทำให้ทุกคนที่จะขึ้นเขาช้างเผือกวันนี้ต้องไปลงทะเบียนวันนี้เช่นกัน แต่ดันโชคดีที่มีพวกพี่ๆที่จะขึ้นเขาเหมือนกัน กำลังจะไปที่อุทยาน ผมเลยขอติดรถลงไปที่อุทยาน โชคดีจริงๆ พี่ๆใจดีกันทุกคน ผมมาถึงอุทยาทแต่เช้า กลุ่มแรกเลย เลยลงทะเบียนเป็นกลุ่มแรก ตอน 06.30 น. ผมจะต้องไปซื้อตั๋วเพื่อขอขึ้นเขาช้างเผือก แล้วกางเต็นท์บนเขา แล้วยังเสียค่าธรรมเนียมในการขึ้นเขา โดยหารจาก 60 คน/วัน (ค่าใช้จ่ายเดี๋ยวผมสรุปให้ตอนท้ายนะ) หลังจากนั้นก็ขออาศัยรถพี่เขากลับมาที่ปิลีอกอีกครั้ง ผมรีบไปเก็บของ แล้วเตรียมตัวขึ้นเขา
พอได้เวลาสัก 08.00 น. ก็เดินไปตรงศาลาที่รวมตัวของลูกหาบ ด้วยความงง คิดว่าเป็นจุดขึ้นที่เดียวกัน แต่ถ้าใครมีของจะฝากก็ฝากลูกหาบตรงนี้ได้เลย กิโลละ 50 บาท ส่วนผมไม่ฝากอะไรก็เดินไปทางด้านขวาของตลาด ที่เป็นทางเดินไปขึ้นเขาซึ่งมีเจ้าหน้าที่รออยู่
 


          หลังจากทุกคนมาพร้อมกันที่รวมตัว ประมาณ 09.00 น. ผมก็เริ่มเดินขึ้นเป็นกลุ่มแรกเลย โดยมีเจ้าหน้าที่นำทาง 1 คน ต่อ นักท่องเที่ยว 11 11 คน ทางระยะแรกเป็นทางที่เดินตัดผ่านหลังหมู่บ้านเป็นทางราบเดินง่าย ทุกคนเดินกันด้วยความมุ่งมั่นมาก รีบจั้มอ้าวๆ พอเดินมาประมาณ 1 กิโลเมตร ก็ถึงจุดตรวจเป็นด่านแรก ตรงนี้จะมีป้ายทางขึ้นเขา เอาง่ายๆก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นเดินเขาช้างเผือกที่แท้ทรูนั่นเอง
          หลังจากตรวจบัตรที่ลงทะเบียนมากันแล้ว ก็เดินขึ้นครับ ทางช่วง 4 กิโลเมตร แรก เป็นทางที่เดินค่อนข้างง่าย เป็นทางราบ มีทางชันขึ้นลง สลับกันไปเป็นบางช่วง และมีหญ้าสูงตลอดทาง ควรใส่เสื้อผ้าคุมให้มิดนะ จะได้ไม่โดนหญ้าบาด หรือคัน กลุ่มผมก็เดินไป พักไป บางคนก็เดินนำไปก่อน ตลอดทางก็จะมีก็จะมีลูกหาบ แล้วก็นคนที่เดินขึ้นเมื่อวานก็เดินสวนลงมาเป็นระยะๆ แถมมีเจ้าหมี คือหมาของลูกหาบวิ่งขึ้นวิ่งลงเขา โดยไม่เหนื่อย แต่คนนี่สิ เดินกันขาลากเลยทีเดียว ฮ่าๆๆๆ อ่ะๆ แวะถ่ายรูปกันหน่อย
          ผมเดินมาเรื่อยๆผ่านจุดที่เดินง่ายมาและ คราวนี้ถึงจุดที่ที่เป็นทางชัน ขึ้นเขาแล้ว ค่อนข้างชันมากสลับกันไป มีทั้งเขาลูกช้าง เขาช้างน้อย มีแต่ช้างเต็มไปหมด ฮ่าๆๆๆ ทุกคนต่างค่อยๆเดิน ผมก็เช่นกัน เดินไปพักไป ช่วงนี้ใช้ใจล้วนๆครับ เพราะเริ่มเดินออกมาจากป่า จะอยู่บนเขาหลายๆลูกแล้ว อากาศค่อนข้างร้อนมากๆ แล้ววันนี้ดันไม่มีลมอีก เจ้าหน้าที่ยังบอกว่า ทุกวันลมจะแรงมาก แต่วันนี้แปลกไม่มีลมเลย ผมและทุกคนเดินด้วยความหวังที่ว่า อีกนิดเดียวจะถึงแล้วสุดท้ายก็เดินมาถึง ใช้เวลาไป เกือบๆ 3 ชั่วโมง โชคดีที่ถึงตอนเที่ยงตรงพอดี ผมวางกระเป๋า กล้อง และทุกๆอย่างลง ด้วยความหิวน้ำ และข้าวมานั่งกินจนอิ่ม หลังจากนั่นก็หาทำเลกางเต็นท์ เพราะมาถึงกลุ่มแรก ทำให้ผมเลือกที่างเต็นท์ได้สบาย
หลังจากนั้นกางเต็นท์เสร็จ ผมก็นอนพักเอาแรง เตรียมไปเดินขึ้นสันคมมีดตอนเย็น  

นอนไปสักพักท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัดในตอนนั้น ประมาณบ่าย 3 โมง พี่เจ้าหน้าที่ก็ให้ทุกคนเตรียมพร้อม เดินขึ้นยอดเขา ผ่านสันคมมี ที่เลืองชื่อลือชา ว่าเป็นเขาที่สวน และแคบ  ในส่วนนี้ทุกคนต้องระมัดระวังในการเดินเป็นพิเศษ และมีเจ้าหน้าทีกับลูกหาบ ช่วยประคองในบางจุดที่มีการปีน ทุกคนค่อยๆเดินกันแบบไม่กดดันคนอื่น นั่งรอให้ทุกๆคนผ่านไปด้วยความปลอดภัย แล้วทุกคนก็มาถึงยอดเขาจนได้ บนยอดอากาศค่อนข้างเย็น และลมดีมาก ทุกคนต่างถ่ยรูปบ้าง นอนพักบ้าง


          หลังจากสูดอากาศบนเขากันจนเต็มปอด และพระอาทิตย์กำลังตก ทุกคนก็ทยอยเดินลง ซึ่งเดินยากกว่าตอนขึ้นอีก ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นสองเท่าเลยทีเดียว แล้วในขณะนั้น มองก็เริ่มปกคลุมพวกเราอย่างหน้า แล้วอากาศก็เริ่มหนาว ผมก็เลยหยิบเตาแก๊สเล็กของผมมาตั้มน้ำกินมาม่าฮ่าๆๆๆ สักพักหนึ่งก็มีน้องๆ ที่ขึ้นมาบนเขามาหาที่ต้มน้ำกินมาม่าเหมือนกัน ผมก็เลยต้มน้ำให้ หลายๆคนก็ฟินกับมาม่ากันไป ช่วงมืดแรกแรกยังพอเห็นดาว แต่หลังจากนั้นก้ไม่เห็นอีกเลย เพราะหมอกปกคลุมจุดกางเต็นท์ทั่วไปหมด แล้วในที่สุดผมก็หลับ โดยอดนอนดูดาว ฮึฮึ หมดไปอีกหนึ่งวัน

DAY 4 วันสุดท้าย
          ผมตื่นตอนเช้ามาพร้อมกับอากาศที่เย็นสบาย หมอกหน้ามากด้านหน้าเต็นท์ที่เป็นหน้าผาลงไปก็มีทะเลมอกให้เห็น ผมจึงต้มน้ำ เพื่อจิบกาแฟแบบชิลๆ ขอเกินบรรยากาศก่อนละกัน พอสัก 07.00 น. ผมก็ทยอยเก็บเต็นท์ เก็บของเหมือนคนอื่นๆ แล้วรีบเดินลงเข้า เพราะถ้าลงช้าเราจะร้อนมาก ผมเดินลงเข้าประมาณ 07.00 น. ผมเดินด้วยความไว บางช่วงก็วิ่ง ด้วยความที่น้ำหมดแล้ว ผมจึงอยากลงไปหาน้ำอัดลมกินให้มันสดชื่นให้ไวที่สุด ผมจึงวิ่งเกือบตลอดทาง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมครึ่ง ก็ถึงยังหมู่บ้านอีกครั้ง หลังจากนั้นผมก็หาน้ำหาข้าวกินเสร็จ แล้วก้ไปอาบน้ำเย็นๆที่ศาลาชุมชน ที่เอาของไปฝากลูกหาบ
          หลังจากนั้นผมก็ไปยืนรอรถหน้าหมู่บ้านเพื่อโบกรถลงไปที่ตลาดทองผาภูมิเพื่อขึ้นรถกลับ กทม. แต่ก้ไม่มีเลย จนสักพักพี่เจ้าหน้าที่ขี่มอเตอร์ไซด์มา ผมก็เลยขอติดลดลงไปด้วย ตอนแรกว่าจะติดรถไปลงที่อุทยาน แต่มีพี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังจะกลับบ้านที่อยู่ในตลาดพอดี ผมก็เลยได้ติดรถยาวไปจนถึงตลาด นั่งตูดชากันไปเลยทีเดียว แถมพี่เจ้าหน้าที่พาขีมอเตอร์ไซด์ไปรับใบประกาศที่สำนักงานช่องเย็นก่อน (ใครมาก่อนกลับอย่าลืมไปรับกันนะ) สุดท้ายก็มาถึงท่ารถตู้ที่ตลาดทองผาภูมิ เป็นอันจบทริป


ขอบคุณทุกๆท่านที่ให้อาศัยติดรถไปทั้งขาขึ้น และขาลงเลยครับ อมยิ้ม17



สรุปค่าใช้จ่าย (ไม่รวมค่ากิน)
- ค่ารถตู้ กทม. - กาญ ไปกลับ 240 บาท
- ค่ารถตู้ กาญ - ตลาดทองผาภูมิ ไปกลับ 230 บาท
- ค่าสองแถว ทองผาภูมิ - อีต่อง 70 บาท (เผื่อใครไม่ตกรถเหมือนผมนะ แฮร่)
- ค่านอนอุทยาน 1 คืน 30 บาท
- ค่าตั๋วอุทยานขึ้นเขา 80 บาท
- ค่าธรรมเนียมขึ้นเขาช้างเผือก 209 บาท (แต่เจ้าหน้าที่จะเก็บก่อน 250 บาท ถ้าคนขึ้นต็มขาลงไปรับคืนส่วนที่เหลือ ถ้าไม่เต็ม ก็จะหารเฉลี่ยและเหลือบ้างเล็กน้อย) 
- ค่าโฮมสเตย์พร้อมอาหารเช้า 800 บาท

รวมค่าใช้จ่ายหลัก ประมาณ 1700 บาท

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ เจอกันทริปหน้า บ๊ายยยย บายยยย