หากกล่าวถึง พะเนินทุ่ง สถานที่นี้ ตัวผมเองมีความตั้งใจจะไปอยู่หลายครั้ง แต่ก็ติดขัดเรื่องการเดินทาง เนื่องด้วยยานพาหนะส่วนตัวผมนั้นไม่เอื้ออำนวย การขึ้นพะเนินทุ่งต้องใช้รถ ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4X4 หากใครไม่มีก็ต้องจ้างเหมารถขึ้นไป ไอ้ครั้นจะไปกัน 2 คน ก็ดูจะไม่คุ้มค่ากับราคาจ้างเหมารถ (ราคา 2,000 บาท/ติดต่อผ่านอุทยานฯ) ผมจึงไปชักชวนสมาชิกร่วมเดินทางมาเพิ่มเติม เพื่อมาร่วมหารค่าใช้จ่ายในการขึ้นพะเนินทุ่ง สมาชิกที่หลงคารมผมก็เป็นน้องๆ ที่รู้จักกันนี่แหล่ะครับ คนกันเอง หลอกง่ายดี 

     ความตั้งใจของผมคืออยากไปชมทะเลหมอกที่พะเนินทุ่งสักครั้งให้เป็นบุญตา หลังจากที่ได้เห็นในเค้าแชร์ต่อๆ กันมาในโซเชียล แต่ก็พยายามไม่คาดหวังอะไรมาก เพราะว่าเราไม่สามารถคาดเดาสภาพอากาศล่วงหน้าได้ แล้วช่วงที่ผมไปพายุดันเข้าพอดี (ผมไปวันที่25 – 26 มิ.ย.59) แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไร ได้แค่ทำใจไว้ล่วงหน้าว่าเจอฝนแน่นอน จะหนักหรือเบาเท่านั้น

     การเดินทาง ผมใช้รถส่วนตัว เริ่มต้น ล้อหมุนออกจากบางนา มุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบ คือ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน  ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ครึ่ง ใครที่จะเข้าพื้นที่ก็ต้องมาลงทะเบียนแจ้งกับทางอุทยานก่อนครับ ส่วนใครที่มาค้างคืน ไม่มีอุปกรณ์ ก็ขอเช่าจากตรงนี้ได้เลย มีทั้งเต็นท์ ผ้าใบ และแผ่นรองนอน ครบครับ

     การเดินทางขึ้นพะเนินทุ่ง ทางอุทยานจะกำหนดเวลาขึ้น – ลง ไว้ โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางแบบไป - กลับ ไม่พักค้างแรม กำหนดให้เดินทาง ขึ้นจากบ้านกร่าง เวลา 05.30 น. -07.30 เวลาลงจากเขาพะเนินทุ่ง 09.00  -10.00 และ 16.00 -17.00 ส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปพักค้างแรมที่เขาพะเนินทุ่ง กำหนดให้เดินทางจากบ้านกร่าง เวลา 13.00 -15.00  เวลาลงจากเขาพะเนินทุ่ง 09.00  -10.00 และ 16.00 -17.00

     ด้วยตัวผมเอง มาถึงจุดนัดพบตั้งแต่เช้า ช่วงระหว่างรอสมาชิกมาสมทบ ไม่มีอะไรทำ เลยไปหาจุดถ่ายรูป ที่เห็นนักท่องเที่ยวมักจะมาถ่ายรูปกันบ่อยๆ ก็มีป้ายอุทยาน และก็สะพานแขวน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากศูนย์บริการฯ มากนัก

     หลังจากสมาชิกมากันครบ จอดรถเข้าที่เรียบร้อย (จอดไว้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวฯ) และขนของขึ้นรถจ้างเหมาเสร็จ ก็เริ่มออกเดินทาง โดยผมจองที่นั่งหลังรถกระบะ ส่วนสาวๆ ให้นั่งในรถไปแบบสบายๆ        ระหว่างทาง พี่คนขับรถจอดให้ถ่ายรูปถนนอุโมงค์ต้นไม้ (ก่อนถึงบ้านกร่าง) ซึ่งเป็นมุมมหาชน ที่นักท่องเที่ยวต้องจอดรถแวะถ่ายรูปกัน            ผลัดกันถ่าย จนได้เวลาอันสมควร  มาถึงแอคชั่นมหาชน ท่ากระโดด !!! ถ่ายกันจนหนำใจ ก็ได้เวลาเดินทางต่อ      พอผ่านด่านบ้านกร่างไปแล้ว มีบางช่วงที่พี่คนขับ จอดรถให้ดูผีเสื้อ แต่ว่าผีเสื้อป่ามันไม่ค่อยอยู่นิ่งครับ ต้องใจเย็นมากๆ สรุปว่าผมถ่ายมาได้แค่ไม่กี่ภาพเอง  เทคนิคของน้องร่วมทริป ใช้ไม้เซลฟี่ค่อยๆ ยื่นเข้าไปถ่ายใกล้ๆ 

     หลังจากนั้นก็ออกเดินทางต่อไปยังจุดกางเต๊นท์ เบ็ดเสร็จใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. ครึ่ง ระยะทางไม่ไกล แต่ด้วยสภาพเส้นทางทำให้ไปได้ช้า ใครไม่มั่นใจเรื่องการขับรถขึ้นพะเนินทุ่งช่วงหน้าฝน ผมว่าใช้บริการรถจ้างเหมาจะดีกว่าครับ พวกพี่ๆ เขาชำนาญพื้นที่กัน 

    หลังจากมาถึงที่หมาย กางเต้นท์เสร็จ ก็เริ่มทำอาหารกินกัน ฝนตกตั้งแต่เรามาถึงเลยนะครับ ตกๆ หยุดๆ สลับกันไป ถาม จนท.อุทยาน เขาบอกว่าอากาศที่นี่เป็นแบบนี้มา 4 – 5 วันแล้ว จากข้อมูลดังกล่าว เพื่อความมั่นใจ เราเลยไปหาผ้าใบมาเพิ่มเติม เพื่อขึงกันฝนไว้อีกชั้นบนหลังเต้นท์ แต่ก็ออกมาตามสภาพ ไม่ได้มีความสวยงาม จุดประสงค์คือขอแค่ให้รอดฝนคืนนี้ไปได้ก็พอ     เสร็จงานธุรการต่างๆ ก็ทานอาหารมื้อแรกกัน  

     จากนั้นก็ออกไปสำรวจจุดชมวิวพะเนินทุ่ง ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากที่พักมากนัก แต่ว่าวันนี้สภาพอากาศปิด เมฆฝนตั้งเค้ามาอีกแล้ว เราชมวิวได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับที่พัก 

   หลังจากมาถึงเต๊นท์ คราวนี้ฝนตกลงมาตลอด และออกไปไหนไม่ได้แล้ว จึงนั่งทำอาหารเย็นทานกันและพูดคุยเม้าท์มอยตามประสา   ช่วงหัวค่ำนี่ต้องผลัดกันคอยออกไปดูเต๊นท์เป็นระยะๆ เพื่อดันน้ำออกจากผ้าใบ 

  สรุปว่าฝนตกยันเช้า นอนฟังเสียงฝนกันทั้งคืน สมาชิกร่วมทริปนี่น้ำเข้าเต้นท์กันทุกหลัง แต่ก็พอนอนได้ ส่วนนักท่องเที่ยวรายอื่นๆ จากการสอบถาม ทราบว่า บางเต้นท์นอนกันไม่ได้เลย น้ำไหลเข้าเต๊นท์ ที่นอนเปียกหมด 

     ตื่นเช้ามาฝนก็ยังตกปรอยๆ อยู่ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาชมวิวกันเยอะมาก ก๊วนเราก็ออกไปเก็บภาพตอนเช้าเหมือนกัน แต่ว่าสภาพอากาศปิด มีแต่หมอกขาวโพลนไปหมด มองไม่เห็นวิวอะไรเลย แต่ก็ฟินไปอีกแบบกับบรรยากาศฝนตก

     จากนั้นพี่คนขับรถพาเราไปจุดชมวิว กม.๓๖  ซึ่งต้องขับรถไปอีกประมาณครึ่ง ชม. พอไปถึงที่หมาย แม้จะไม่มีทะเลหมอกอลังการเหมือนที่คิดไว้ แต่ก็ได้บรรยากาศหมอกฝน สมาชิกร่วมทริปเก็บภาพความประทับใจกันไปตามอัธยาศัย    ผมใช้เวลาอยู่บนจุดนี้ประมาณครึ่ง ชม. ก็ได้เวลาอันสมควรที่จะต้องกลับไปยังจุดกางเต้นท์ เพราะต้องไปเก็บสัมภาระ และเดินทางกลับ กทม. ต่อ

     สรุปโดยรวมแล้วทริปนี้ถือว่าคุ้มค่ากับการเดินทางมาก ไม่เสียเที่ยวที่อุตส่าห์ดั้นด้นกันมา เมื่อมีเวลาและโอกาสที่เหมาะสม ผมจะกลับมาชมทะเลหมอกที่นี่เป็นบุญตาให้ได้สักครั้ง 

     จบการแชร์ประสบการณ์ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ