เขาหลวง สุโขทัย ไม่ไปก๊อไม่รู้เอ๊ง

เขาหลวง สุโขทัย 
คนสุโขทัยแท้ๆ ขอพิสูจน์ กำลังขาสักครั้ง

เขาหลวงอีกหนึ่งที่เที่ยวที่ไม่เคยอยู่ในหัว เกิดเป็นคนสุโขทัยแท้ๆแต่กลับไม่เคยคิดอยากจะขึ้นไป หลายๆครั้งเห็นเพื่อนไปก็ได้แต่คิดว่าเออน่าไปวะ แล้วเวลาก็ล่วงผ่านเลยไปจนในที่สุดก็ได้ไปพิชิตยอดเขาหลวงกับเขาสักที

 

ดูจากแผนที่นี้แล้ว ทริปนี้มันส์แน่ๆ (อารมณ์ ณ ตอนนั้น เกรี้ยวกราดมาก) 

คำแนะนะจากใจ 
1.เขาหลวงไม่เหมาะกับคนที่ชอบเที่ยวชิลๆ 
2.ไม่ควรขนสัมภาระไปเยอะ
3.ควรเตรียมหัวใจไปให้พร้อม (แม้ร่างกายไม่ไหวแต่ใจต้องสู้ กูบอกไว้เลย)
4.ยาดม ยาลม ยาหม่อง ของกิน เครื่องดื่มชูกำลัง เอาติดไปเถอะ
5.ทริปนี้มันเหมาะมากสำหรับพวกบ้าพลังอย่างพวกเรา 555

ก่อนออกเดินทางเราก็แวะไหว้ศาลพระแม่ย่าเอาฤกษ์เอาชัยกันซักหน่อย เราเริ่มเดินขึ้นกันตั้งแต่ 8.00 น. ไม่ต้องรอเจ้าหน้าที่เพราะไม่ค้างคืน แต่สำหรับคนที่ค้างคืนจะต้องรอเจ้าหน้าที่ตอน 8.30 น. อ่อ ที่นี่ไม่อนุญาตให้เดินขึ้นหลัง 15.30 น.
เดินไปได้ 200 เมตรแรก ทางเรียบเดินได้สบายๆ ในใจก็คิดว่าโหยยยทางแค่นี้สบายมาก แต่ก็ระเริงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อพ้นระยะนี้เท่านั้นแหละมึงเอ้ยยยย หนทางข้างหน้านี่มันช่างโหดซะจริงๆ เห็นเส้นทางความชันนั้นมั้ย คูณไปอีกซัก 3 เท่าตัว เรียกว่าชันชนิดไม่เกรงใจแข้งขา และซ่งติงกันเลยทีเดียว ก่อนขึ้นจะมีไม้ค้ำยัน ใครจะเอาติดตัวไปด้วย ก็ไม่ว่ากัน แต่แมนๆแบบเรา 2 คน ไม้ค้ำยันไม่มีความจำเป็น!! (นี่ตูไปเอาความหึกเหิมมาจากไหน) เดินไปไม่เท่าไหร่ เริ่มหายใจแรง (หอบ) ชักเริ่มจะอยากพัก ซึ่งระหว่างทางจะมีแคร่ไม้และถังน้ำดื่มไว้ให้ดื่ม และเราก็ไม่พลาดซักแคร่จ้า เดินไปเรื่อยๆมีป้ายบอกระยะทางว่าอีกกี่ร้อยเมตรจะถึงจุดไหน เวลาเห็นป้ายมันเหมือนมีแรงฮึดอะ แบบว่าเห้ยอีกแค่ 300 เมตรเองก็จะถึงจุดนี้แล้ว แต่ด้วยความที่มันชันมากไงแค่ 300 เมตรก็เหนื่อยเอาการอยู่เหมือนกัน จะบอกว่าพักทุก 10 เมตรก็ว่าได้ (มีโอกาสได้คุยกับคนที่เดินสวนลงมา เขาบอกว่าเมื่อวานพี่พักตั้ง 19 จุดแหนะ) คิดในใจเลยว่าตูผ่าน19 จุดนั้นมานานมากแล้ว 55555 มาถึงตรงนี้ จุดชมวิว วิวด้านล่างมันช่างสวยงดงามซะจริงๆ
เรานั่งพักกันจนหายเหนื่อย ก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ จากจุดชมวิวระยะทางต่อไปนี้ก็เหมือนเช่นเคยเดินขึ้นเหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือความชัน สังเกตุได้เลยว่าจะมีราวไม้ให้เราจับเกือบตลอดทาง เส้นทางตรงนี้จะเป็นดินและหินสลับกันไป โชคดีที่วันนั้นฝนไม่ตกไม่งั้นคงจะลื่นน่าดู ทุกครั้งที่ถึงจุดพักจะคิดในใจตลอดว่าจะไปต่อหรือยังไงดี มันเริ่มถอดใจชักไม่อยากไปต่อ บอกเพื่อนว่ากลับเหอะ แต่ได้คำตอบกลับมาว่ามาถึงขนาดนี้แล้วไปต่อดิวะ อย่าให้เสียเที่ยว เออ....ไปก็ไปวะ (ใจมึงมันอำมะหิตกว่าที่กูคิดไว้เยอะ ไอ้แทม) จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป จนถึงจุดพักไทรงาม จอดพักสิรออะไร เหนื่อยล้าและท้อมาก แต่มาถึงตรงนี้แล้วมันก็ใกล้จุดหมายเข้าไปทุกที อีกแค่ 200 เมตรเอ้ง จากป้ายตรงนี้เป็นต้นไปเป็นเส้นทางที่พีคมาก มีความชันระดับ 10 เฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ ขอใช้มันเพื่อขึ้นไปให้ถึงปลายทาง 555 และในที่สุดเราก็มาถึงจนได้ ในเวลา 12.30 น. ใช้เวลาไปขาขึ้นร่วม 4 ชั่วโมงครึ่ง ร่างกายตอนนั้นพังมาก กระเป๋าเป้ กล้อง มือถือ ของทั้งหมดที่นำติดตัวมาวางทิ้งไว้เลยจ้า มันเหนื่อยและหมดแรงมากจนไม่มีอารมณ์อยากจะถ่ายภาพหรือทำอะไรเลย นอกจากนั่งนิ่งๆ และก็ได้หลับอีกนิดหน่อย สภาพตอนนี้ไม่รู้ว่านอนหรือซ้อมตาย 555

ก่อนลงก็ถ่ายรูปเล่นกับเพื่อนอีกนิดหน่อย

เรานั่งพักอยู่ที่จุดกางเต้นท์จนถึงประมาณ บ่าย 2 ก็เดินลง ขาลงนี่ยังคุยกะเพื่อนอยู่เลยว่าน่าจะทำเวลาได้ดีกว่าขาขึ้นนะ และคงไม่เหนื่อยกว่าขาขึ้นแล้วล่ะ แต่ที่ไหนได้ขาลงนี่่คือที่สุดของที่สุดแล้วเหนื่อยกว่าตอนขึ้นอีกเท่าตัว ด้วยเส้นทางที่มันลง ลง ลง อย่างเดียวแข้งขานี่เกร็งและสั่นไปหมด บวกกับสภาพร่างกายเริ่มมีอาการเหมือนจะเป็นไข้ด้วย ทั้งไอและเจ็บคอมากจนพูดไม่ได้ หมดสภาพและพังมากๆ นี่ขนาดว่ามีไม้ค้ำยันและใช้วิธีเดินลงแบบถอยหลังเอานะ(ถือว่าเป็นมิติใหม่แห่งการเดินลงเขา55)  กว่าจะผ่านไปได้แต่ละก้าวแต่ละเมตร น้ำตาตกในมาก ร่างกายและใจมันเริ่มไม่ไหว เพื่อนแม่งก็ดี ชวนคุยตลอดทาง ราวกับว่าตัวมันเองไม่เหนื่อยงั้นแหละ ขาลงเราพักบ่อยกว่าขาขึ้นและกว่าจะผ่านไปแต่ละจุดก็ถอดใจไปหลายครั้งอยู่เหมือนกัน แต่ทำไงได้เพราะสุดท้ายเราก็ต้องเดินลงอยู่ดี ก็ได้แต่ฮึดสู้ต่อไป 

จากทางลงเขามาตลอดจนถึงระยะทาง 1,000 เมตรสุดท้ายที่เป็นทางราบก็ไม่ได้ทำให้แข้งขาและซ่งติงกูดีขึ้นแต่อย่างใด ยังคงเกร็งและสั่นหนักกว่าเดิม (หากคลานได้กูจะคลาน) จนในที่สุดเราก็มาถึงที่อุทยานตอน 6 โมงเย็น 4 ชั่วโมงกับขาลงเขาหลวง รวมเวลาที่ใช้ในการเดินทางขึ้น-ลง เขาหลวง 8 ชั่วโมงครึ่ง กับทริปที่แค่ต้องการสนองนีดของตัวเอง (ขาลงนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเลยไม่มีอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น) สภาพและร่างกายหลังจากลงเขา 
กลับถึงบ้านกินยาคลายกล้ามเนื้อกับแก้ปวด และทายานวดเบาๆ จากนั้นหลับเป็นตายเลยทีเดียว 
วันรุ่งขึ้นยังไม่ค่อยมีอาการเท่าไหร่ยังพอเดินไปไหนมาได้สบายๆ 
วันที่ 2 กินยาเหมือนเดิม แต่........ยืนแถมไม่ไหว เห็นบันไดแล้วเข่าแทบทรุด จะนั่งจะเดินก็สุดแสนจะลำบาก เจ็บปวดรวดร้าวมาก
วันที่ 3 กินยา ทายาเหมือนเดิม ยังเจ็บขา เจ็บน่อง เหมือนเดิมแต่ก็เดินได้สะดวกขึ้น
วันที่ 4 กินยา ทายาเหมือนเดิมมีความเจ็บน้อยลง สภาพร่างกายก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ