เขื่อนรัชชประภา 3 วันกับแบงค์พัน 3 ใบ (ไม่รวมค่าเบียร์)

 เ ร า จ่ า ย เ งิ น เ พื่ อ ซื้ อ ก า ร เ ด ิ น ท า ง เ เ ล ะ ไ ด้ เ งิ น ท อ น เ ป็ น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์

                                        ...................................................................................................................................

 

    หลากคนไปเที่ยวเพราะเบื่อชีวิต หลายคนไปเที่ยวเพราะเบื่อรัก หลายคนไปเที่ยวเพราะเบื่องาน หลายคนไปเที่ยวเพราะเบื่อเรียนแต่ผมเชื่อว่าทุกๆคน ที่ไปมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ เอาความเบื่อไปโยนทิ้ง รวมถึงการไปของผมในครั้งนี้เช่นกัน.

สำหรับการเดินทาง ผมเน้นวิธีประหยัดเหมือนกับทุกครั้ง ทำทุกทางที่ประหยัดตังค์แม้กระทั่งตั๋วเครื่องบินผมยังจองช่วงโปรโมชันข้ามปีฮ่าๆ เพราะผมคิดเสมอว่าจะเดินทางแบบไหนก็ได้ จะราคาเท่าไหร่ก็ตาม ขอแค่มันถึงจุดหมายแล้วเราสบายใจ  ขออย่างเดี่ยว ขอให้ได้เที่ยวแบบมีตังค์ติดตัว ประหยัดได้ก็ประหยัดครับ..

ถ้าพูดถึงที่พักบนเขื่อนเชียวหลาน หลายคนคงติดภาพแพ 500 ไร่ ที่เป็นเหมือนจุดเด่นประจำเขื่อน เพราะเป็นที่พักที่สวยและเพียบพร้อม แต่ราคาสูงเกินที่พวกเราจะเอื้อมถึง ฮ่าๆ แต่แพอื่นก็สวยเหมือนกัน เพราะทุกแพในเขื่อนเชี่ยวหลาน สวยแตกต่างกันออกไป บางแพสวยที่ตัวแพ บางแพ สวยที่วิว และแพที่เราพักนี่ก็เช่นกัน ที่พักหลักร้อย วิวหลักหมื่น.....

 

01/11/59

การเที่ยวย่อมมีอุปสรรคทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน สมาชิกเราจาก 8 คน เเต่พอถึงวันจริงต่างคนต่างมีหน้าที่เเตกต่างกันไป เลยเหลือสมาชิกสุทธิแค่ 5 คน ไม่เป็นไรเพื่อนคนที่ไม่ไปเราก็ทำเหมือนเพื่อนไปด้วยได้เหมือนกัน

13.30 เราถึงสุราษธานี

แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเราแยกกันสองไฟรท์ เอาเเล้วไง สามคนเเรกถึงสนามบินก่อน อีกสองคนถึงรอบ 15.30 ไม่เป็นไรไม่ถือเป็นอุปสรรคของเราอยู่แล้ว เพราะเราตั้งใจจะไปถึงแพตอนเย็น เราได้เหมารถตู้ไว้ เลยใช้เวลาให้คุ้ม หาเที่ยวสถานที่ไกล้ๆ หากินข้าว ค่าเวลารอ

รูปนี้ถ่ายที่สนามบิน ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยนะครับว่าพวกเราสามารถเปลี่ยนทุกที่่ให้เป็นที่ถ่ายรูป..

 

พอถึงเวลาเราก็เดินทางไปยังท่าเรือ ของเขื่อน ระยะทางประมาณ 65 กิโล ใช้เวลา ราวๆ 1 ชม. พอถึงเขื่อน พี่กบ(พี่คนขับรถตู้) ก็ไปติดต่อเรือให้ โดยตกลงราคาที่ วันละ 2000 บาท(ค้างคืน) สองคืน 3000

 

นี่ครับคนขับเรือของเรา ชื่อพี่กั้ง ใจดี เป็นกันเองมาก แวะให้เราทุกที่ ที่พวกเราอยากถ่ายรูป

พอนั่งเรือไป เราก็ได้ทำหน้าที่หลักของทุกคน นั่นคือ ตั้งค่ากล้องถ่ายรูป ของแต่ละคน ฮ่าๆ

เสียงการสนทนาที่ตื่นเต้นกับธรรมชาติแข่งกับเสียงเรือจนแยกแทบไม่ออกว่าอันไหนเสียงดังกว่ากัน

นั่งเรือไปเรื่อยๆ ประมาน 30 นาที เราก็ถึงแพของเรา นั่นคือ แพนางไพร แพนางไพรเป็นแพรของรัฐ ซึ่งมี่เจ้าหน้าที่ดูแล อยากบอกว่าพี่ๆดูแลดีมาก ค่าที่พัก คืนละ 300 บาท + อาหารเช้า 100 อาหารเที่ยงง200 อาหารเย็น 200

รวมๆเเล้ว 800 บาทต่อคน/ต่อคืน ถือว่าคุ้มมากครับ

*** แพนางไพรมีสัญญาณโทรศัพท์แล้วนะครับ เครือข่าย AIS เต็มสี่ขีดเลยละ

พอถึงแพ ก็แยกย้ายเก็บของเข้าที่พัก พอเปิดหน้าต่างเท่านั้นแหละ โอ้โห ที่พักหลักร้อย วิวหลักหมื่นจริงๆ บวกกับเราพักหลังสุดท้าย  วิวยิ่งไม่ต้องพูดถึง จนลืมความเหน็ดเหนื่อยของการเดินทางไปเลยทีเดียว และโชคดีของพวกเราคือ วันที่พวกเราเข้าพัก นักท่องเที่ยวน้องมากกกกกก

เนื่องจากเรามาถึงค่ำ วันแรก เลยอดเล่นน้ำ เพราะเขาเปิดให้เล่นน้ำ เวลา06.00-18.00 แต่ไม่เป็นไรครับ นั่งเอาขาจุ่มน้ำก็ได้ฮ่าๆ

แสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบภูเขา ตกกระทบกับพื้นผิวน้ำ ผมบอกเลยว่าเป็นแสงที่สวยมาก

นั่งชมวิวไป จิบเบียร์ไป อยากบอกว่าเป็นอะไรที่ดีต่อความรู้สึกมาก ขนาดเบียร์ไม่เย็นและไม่ใส่น้ำแข็ง เรายังสามารถกินได้ ฮ่าๆ บรรยากาศมันพาไปจริงๆ

นั่งเล่น ถ่ายรูปเล่นจนพอใจก็ได้เวลาไปอาบน้ำ กินข้าว ก่อนที่ไฟจะดับลง ที่นี่เครื่องปั่นไฟ จะปิดลงประมานเวลา 22.00-00.00 เเล้วเเต่วันเพราะฉะนั้นเราต้องรีบทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ และที่ขาดไม่ได้ คือการชาตแบต มือถือ

นี่คืออาหารเย็นของเรา ทุกอย่างเติมได้ ยกเว้นปลา เเละก็คือพระเอกของหารซ๊ด้วย

 

หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็ออกมานั่งขาหย่อนน้ำ แกล้งปลา และที่สำคัญคือการรอดูดาว เวลาผ่านไปชั่วโมงเเล้วชั่วโมงเล่า หมดเบียร์ป๋องแล้วป๋องเล่า เราก็ยังไม่เห็นดาว ฮ่าๆธรรมดาครับ ความซวยเยือนทุกครั้งที่มาเที่ยว ฟ้าปิด มิหนำซ้ำฝน แยกครับแยกย้ายเข้านอน ฝนแปดแดดสี่สมคำล่ำลือจริงๆ

บรรยากาศยามเช้าหน้าที่พัก หลังสุดท้ายนั่นแหละครับ ที่พักเรา

7 โมงเช้าตะเกียกตะกายรีบตื่นขึ้นมาดูหมอก ดูแสงแรกกัน

 

เพราะถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเขื่อนเชี่ยวหลาน และก็ไม่ผิดหวังครับ เพราะคุ้มค่ากับการตื่นเช้า มันสวยมากจริงๆ

เก็บกดจากเมื่อวานที่ไม่สามารถลงเล่นน้ำได้ วันนี้เลยเอาให้คุ้มซ๊เลย ไม่รอช้า ลงเล่นตั้งเเต่เช้าตรู่เลยที่เดียว

น้ำที่นี่ใสและสวยแบบไม่ต้องปรุงเเต่งเพิ่มก็ยังได้

ความโชคร้ายยังมีความโชคดีแฝงอยู่ พวกเราโชคดีที่ได้เที่ยวแบบไม่มีใครวุ่นวายในแพ ถือว่าแพโซนนั้นมีเเต่พวกเราก็ว่าได้

พี่ๆเจ้าหน้าที่ นอกจากจะคอยดูแล้ว ยังเป็นตากล้องให้พวกเราอีกด้วยนะ มีออกแบบท่าให้ด้วย

และที่ขาดไม่ได้ คือปลาหน้าที่พัก บอกเลยว่าเยอะมาก ที่แพมีข้าวโพดดิบจำหน่าย เพื่อเป็นอาหารปลา ถุงละ 10 บาท

จะมองจากข้างบนหรือใต้น้ำก็สามารถเห็นปลาได้ชัดเจน

ทีแรกก็กะเอาปลาด้วยนั่นแหละ แต่ปลาหนีก่อน พอจะได้รูปคู่ปลา ปลาก็ดันเด่นกว่าซ๊งั้น

และอีกหนึ่งกิจกรรมที่ถือว่า เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องห้ามพลาด นั่นคือพายเรือค่าเช่าไม้พาย 100 บาท ผมก็ไม่รอช้าครับ แต่เคยแต่พายเรือหางยาว เลยให้พี่เจ้าหน้าทีพาพายก่อนหนึ่งรอบ เเต่เอาเข้าจริงก็คล้ายๆกันครับ เลยไม่รอช้าเลย ลุย

ตอนถ่ายรูปนี้ รู้สึกเวิ้งว้างมากครับ เพราะพายออกมาไกลจากที่พักเหมือนกัน พอถ่ายรูปนี้เสร็จ เลยพายกลับไปรับเพื่อน อีกลำ คราวนี้ลำละสองคนเลยทีเดียว

สนุกกับการเล่นน้ำ พายเรือเสร็จ ก็ได้เวลาอาบน้ำแต่งตัว มุ่งหน้า สู้ถ้ำปะการัง ซึ่งพี่กั้งนัดพวกเราไว้ 9 โมงเช้า ฮ่าๆ ตรงเวลาซ๊ที่ไหนละ

เสียงเรือมุ่งหน้าสู่ถ่ำประการัง ระหว่างทาง ตามเคยครับ จอดถ่ายรูปครับ ทุกๆที่ที่ผ่านต้องได้รูปเดี่ยวอย่างน้อยคนละ 5 รูปเป็นอย่างต่ำ มีใครยอมใครที่ไหนละ

ระหว่างทางเราจะผ่านแพเอกชนด้วย แพนี้ไม่มั่นใจว่าชื่อแพอะไรเหมือนกัน บอกเเล้วว่าแต่ละแพสวยกันทุกแพ เเต่สวยกันคนละแบบ

ใช้เวลาประมาน 30 นาที ก็ถึงทางขึ้นถ้ำทุกคนต่างเก็บของสัมภาระของตัวเอง

ที่สำคัญขาดไม่ได้เลย คือเสื้อกันฝน ซึ่งเป็นผมเองนี่แหละที่ไม่ได้เอาไปด้วย ไม่ใช่ลืมนะ เเต่พี่กั้งหลอกว่าฝนไม่ตกหรอก คนซื่อไง เลยเชื่อพี่กั้ง เป็นไงละ ได้ซื้ออีกตัวเลยฮ่าๆแต่ขอบอกก่อนเลยว่า ไม่ใช่ขี่เรือแล้วถึงปากถ้ำเลยนะ เพราะก่อนจะเข้าไป เราต้องเดินครับ เดินครับเดิน ทางชันซ๊ด้วยหึมมมมม ก่อนจะไปเหนื่อย เลยขอถ่ายรูปกลุ่มไว้เป็นที่ละทึกกันซ๊หน่อย

ทำใจกันพอเเล้วก็ได้เวลาลุย เสียค่าเข้าด้วยนะ คนละ 20 บาทมีไม้ค้ำไว้บริการแต่ทุกคนถือไปแล้วต้องถือกลับมาด้วย

ทางเดินจะเปียกชุ่มอยู่ตลอดเวลา บางช่วงมีทางน้ำไหล เพราะฉะนั้นรองเท้าที่เหมาะสมควรเป็นรองเท้าผ้าใบ เพื่อกันลื่น

ทางเดินก็จะประมานนี้ครับ มีรถเจ้าหน้าที่ผ่านด้วยนะครับ อยากบอกว่าต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะตัวเลยละ กว่าจะขับได้ เพราะเท่าที่ผมยืนดู สะบัดซ้ายขวาอยู่หลายรอบ

เดินมาสักพักใหญ่ ระยะทางประมาน 1.5-2 กิโล ก็ถึงอีกท่าเรือหนึ่ง ใช้ข้ามไปยังถ่ำ เห็นเขาว่ากันว่าเป็นทะเลสาบ

พอเก็บของสัมภาระกันเสร็จ ก้ได้เวลาลงแพ แพจะเป็นแพไม้ไพ่ แล้วสิ่งที่ผมคิดไว้ก็เกิดขึ้น ฝนครับฝน ตั้งเค้ามาไม่ได้เกรงใจแดดของเขาลูกตะกี้เลยยย วิ่งสิครับวิ่งไปซื้อเสื้อกันฝน ฮ่าๆพี่กั้งนะพี่กั้ง โกหกกันได้ลงคอ

นั่งแพไปเรื่อยๆไม่ถึง 10 นาที ก็ถึงถ่ำท่ามกลางฝนปรอยๆ

ถ่ายรูปกับฝนกันสักหน่อย ก่อนจะเข้าไปในถ้ำ ฝนแปดแดดสี่ สมคำล่ำลือจริงๆ

ทางขึ้นถ้ำจะลื่นนิดหน่อย ต้องเดินใช้ความระมัดระวังในการเดิน และข้างหน้าจะมีป้ายเตือนบอกประมาน 7 ข้อ เท่าที่ผมจำได้คือ ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามจับ แตะต้องทุกสิ่งในถ้ำ

ข้างในจะมืดสนิท จะมีเพียงแสงสว่างของพี่คนขับเรือ แกจะบอกพวกเราเสมอว่า ทุกสิ่งในนี้จะสวยไม่สวยขึ้นอยู่กับการจินตนาการของแต่ละคน เเต่โดยส่วนตัวผมเอง ผมว่ามันสวยดีนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสิ่งเหล่านี้ในธรรมชาติ

ผมคิดว่าภาพที่ถ่ายมา สวยไม่เท่าตาเปล่าที่มองเห็น และนี่เป็นอีกหนึ่งมุมที่พี่เขาแนะนำให้ถ่าย มันเปรียบเหมือนม่านถ่ายรูปก็ว่าได้

ก่อนจะออกจากถ้ำพี่เข้าได้บอกไว้ว่า ที่นี่เป็นที่ศักสิทธิ์อีกที่หนึ่ง ที่ทุกคนเคารพแสะสักการะ ข้างในจะมีพระพุทธรูปหนึ่งองค์ เพราะฉะนั้นเเล้ว ทุกคนที่เข้าไป ห้ามส่งเสียงดัง

พอชมความสวยงามของปะการังในถ้ำเสร็จก็ได้เวลากลับแพ แต่ระหว่างตอนจะขึ้นแพนั้น หึมๆ บรรยากาศต่างจากตอนเข้าไปมาก แดดครับแดด โอ้โหหมอกหลังฝนตกสวยมาก ผมนี่ ขว้างเสื้อกันฝนแทบไม่ทัน

ใช้เวลานั่งเรือกลับมา ประมาน 10 นาทีเช่นเคย

ก่อนจะเดินข้ามเขากลับ เลยขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึกกันสักหน่อย

ใช้เวลาเดินลงเขามาประมาน 20 นาที พอพักกันจนหายเหนื่อยแล้วก็ได้เวลาขึ้นเรือกลับ กลับไปกินความเที่ยงกัน แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆ ระหว่างทาง แทบหยิบเสื้อกันฝนที่ขว้างทิ้งแทบไม่ทัน ฝนครับฝน รอบนี้ไม่ปรอยนะ มาเต็มๆเลยนะครับแหม๋

จะฝนตกแดดออกทุกคนก็ยังสามารถถ่ายรูปได้ บางทีผมก็อยากจะมอบรางวัลให้ทุกคนในทริปจริงๆ แต่อย่างว่าแหละครับถ้าอยากได้รูปสวย ไม่ทนถ่ายก็จะไม่ได้แหละ พร้อมแล้วลุย

นั่งเรือมาสักพักจากฝนแรงๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นแดดเเรงๆแทน ผมนี่แทบปรับตัวไม่ทัน เก็บของถึงที่พัก พอกินข้าวเสร็จแทนที่พวกผมจะนอนพักเอาแรงนะเพราะตอนเย็นนัดกับพี่กั้งไว้ว่า 5 โมงเย็นจะไปดุพระอาทิตย์ตก แต่ไม่เลย เล่นน้ำต่อครับ ฮ่าๆไม่รู้ว่าแต่ละคนเอาเรี่ยวเเรงมาจากไหน รอบนี้เล่นใหญ่ซ๊ด้วย พวกพี่ๆเจ้าหน้าที่ก็มานะ สนุกสนากันเลยทีเดียว

จะเล่นน้ำอย่างเดียวก็กะไรอยู่ เยี่ยมชมน้องปลายามบ่ายสักหน่อย  เหมือนเดิมครับ สวยเหมือนเดิม น้ำใสเหมือนเดิม

พีพักข้างๆเรามีน้องลูกครึ่งคนหนึ่ง ชื่อน้องเจนนี่ เป็นขวัญใจของชาวแพนางไพรเลยละ น้องน่ารักและเป็นกันเองมาก

ตอนเช้าว่าพายเรือเวิ้งว้างแล้ว ตอนเย็นนี่น่าลุ้นยิ่งกว่า คลื่นเเรงมาก ขอแนะนำเลยว่าหากใครจะพายเรือให้พายตอนเช้า จะได้บรรยากาศกว่า

พอถึงเวลานัดกับพี่กั้งก็ได้เวลาไปชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมชอบเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว และที่นี่ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะวันสวยงามมากก สวยเกินจะบรรยาย

ดวงอาทิตย์ค่อยๆคล้อยลงผ่านเมฆ แสงสว่างอ่อนชัดสลับกัน อยากบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่พวกผมไม่อยากหนีจากตรงนั้นกันเลยทีเดียว

เราสลับกันถ่ายรูปโดยไม่รู้สึกเหนื่อย พี่กั้งก็พยายามหันท้ายเรือให้ตรงอยู่ตลอดเพื่อนที่จะให้พวกเราได้แสงที่สวยงาม

พอถ่ายรูปจนพอใจก็ได้เวลากลับแพ เพราะถ้าช้าไปกว่านี้กลัวจะไม่ถึงแพ ล้อเล่น....เดี๋ยวพี่กั้งจะมองไม่เห็นทาง

พอถึงแพ วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน แพครึกครื้นเป็นพิเศษ เพราะมีคณะทัวมาลง แต่ก็สนุกไปอีกแบบ เพราะต่างกลุ่มต่างเฮฮาปาร์ตี้แตกต่างกันออกไป อยู่ในมุมของใครของมัน แต่ก็เป็นกันเอง เพราะพี่ๆเขามีน้ำใจมาก แจกส้มตำพวกพวกด้วย บางแพดีดกีตาร์ร้องเพลง บางแพเปิดเพลง แต่เเพเราได้เปรียบหน่อย เพราะผมพกลำโพงบลูทูตไปฮ่าๆเลยเปิดดังกว่าหน่อย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะ

.................................................

เเละเเล้ววันนี้อีกหนึ่งสิ่งที่พวกเรารอคอยก็มาถึง นั่นคือ นอนดูดาว วันนี้ฟ้าเป็นใจมาก เห็นดาวเต็มท้องฟ้า แต่ที่ไม่เป็นใจคือ การดับไฟของแพ เพราะปกติจะปิด 4-5 ทุ่ม เเต่วันนี้พวกผมนั่งรอจนถึงตี 2 ก็ยังไม่ปิดเลยแอบเฟลนิดนึง เลยหนีไปนอนซ๊เลย แต่ก็โชคดีที่ยังพอถ่ายรูปได้ แต่ก็โชคร้ายที่ไม่มีขาตั้งกล้องรูปเลยสั่นไปหน่อยฮ่าๆ

03/11/59

รีบตื่นเช้า มาสัมผัสบรรยากาศอันบริสุทธ์ยามเช้า ขอบอกเลยว่าไม่ผิดหวังสักเช้าที่ตะเกียกตะกายตื่น

ทำธุระส่วนตัวกันเสร็จ ก็ได้เวลาโบกมือลาแพนางไพร ถ้าพวกพี่ๆทุกคนผ่านมาเจอกระทู้นี้ ผมและเพื่อนขอขอบคุณที่ดูแลพวกผมเป็นอย่างดี สัญญาว่าต้องไปอีกรอบ

มาเชี่ยวหลานจะกลับไม่ได้ถ้าไม่ได้ไปถ่ายกับแลนด์มาร์กของเขื่อน นั่นคือ เขาสามเกลอ

ต้องนั่งเรือเข้ามา เหมือนเป็นแอ่ง แอบหวาดเสียวอยู่เหมือนกัน แต่ก็สวยคุ้มค่าที่มาและก็เช่นเคยครับ ถ่ายรูปเดียวคนละสัก 5 - 10 รูป ค่อยจะหนีจากตรงนี้ได้

จากนั้นก็นั่งเรือกลับสันเขื่อน

ซึ่งระหว่างทางใกล้จะถึงฝั่งเเล้ว เรือพี่กั้งก็หยอกพวกเราครับ เรือรั่วครับเรือรั้ว โอ้ยผมนี่ทั้งจะกลัวทั้งจะหัวเราะ ใช้เสื้อกันฝนให้เป็นประโยชน์สิครับ อุดรูครับอุดรู

พอถึงฝั่งเดี๋ยวเขาว่ามาไม่ถึง เลยต้องถ่ายรูปกับป้ายซ๊หน่อย อยากจะบอกว่าวิวสันเขื่อนก็สวยไม่แพ้ข้างในนะครับแหม๋

ทางเข้ามีป้ายห้ามผ่าน ผมเห็นกลุ่มก่อนหน้านี้เดินเข้าไปได้ เลยแอบแว๊บเข้าไปสักหน่อย

ซึ่งมองจากสถานที่เเล้ว จะยืนถ่ายก็จะไม่สวยเลยเล่นใหญ่ซ๊เลย โดดครับโดด

อยู่กับพี่กบมาสองวันไม่มีรูปคู่กับพี่กบก็กะไรอยู่ ถ่ายกันสักหน่อยพี่กบ

.........

งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา พวกเราก็ต้องแยกย้ายกันที่สนามบินดอนเมือง  สิ้นสุดการเดินทางครับ ทุกคนในทริปกลับสู่โลกความจริง ไปทำหน้าที่ของตัวเอง ไปเรียน  ไปทำงาน

ส่วนผมยังไม่กลับนะ อยู่เที่ยว กทม.ต่ออีก สามวัน แต่หลังจากนั้นก็ต้องกลับไปทำงานไปใช้วิถีชีวิตตามปกติครับ  แน่นอนครับกลับไปก็สภาพแวดล้อมเดิมๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือแปลกตาไปกว่าเดิม

แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือความคิดของผมครับ ผมรู้สึกโลกของผมกว้างขึ้น ทุกครั้งที่เดินทางผมเหมือนได้รับพลังบางอย่าง

เหมือนกลับมาแล้วมุมมอง ทัศนคติเราเปลี่ยนไปจากเดิม  สำหรับผมแล้วการได้ก้าวขาออกไปยังสถานที่ใหม่ๆเป็นการให้ของขวัญกับตัวเองครับ  บางคนอาจคิดว่ามันไร้สาระ สิ้นเปลือง แต่ผมมองว่าเกิดมาครั้งหนึ่งควรใช้ชีวิต20,000วันบนโลกให้คุ้มค่าครับ ทำไปเถอะครับอะไรที่เราสบายใจ และคนอื่นไม่เดือดร้อน

สำหรับทริปนี้ก็ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ครับ

ขอบคุณมากๆถ้าคุณอ่านทุกบรรทัดของผม

ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปของผมทั่งสี่คนคน

ขอบคุณคำติชม

ขอบคุณที่ดูรูปพวกผมทุกรูป

.......

สรุปค่าใช้จ่าย

ค่าเรือสองคืน 3000 บาท รวมค่าไปถ้ำประการังอีก 2000 บาท เป็น 5000 บาท ตกคนละ 1000 บาท

ค่ารถไปกลับสนามบิน 3000 บาท ตกคนละ 600 บาท

ค่าที่พักคืนเเรกอาหารสามมื้อคนละ 800 บาท

ค่าที่พักคืนที่สอง อาหารหนึ่งมื้อ 500 บาท

ค่าตัวเครื่องบินไปกลับดอนเมือง-สุราษธานี ขาไป 190 บาท ขากลับ 270 บาท(จองช่วงโปรโมรชั้น)

รวมคนละประมาน 3360+ บาท

ปล.ส่วนมากพวกผมจะเน้นเหมาถ้าไปหลายคนยิ่งจะคุ้มกว่า

***เบอร์ติดต่อแพนางไพรโดยตรง ชื่อพี่สุพต 0936933621

     เบอร์ติดต่อพี่กบ รถตู้ 0831051458