มาครั้งที่สามแต่ปักหมุดที่เปลี่ยนแปลง
มาอุทัยครั้งแรกปี 59 ครั้งนั้นเน้นวัด ครั้งที่สองปี 60 เน้นนอกเมือง ห้วยขาแข้ง และมาครั้งนี้เน้น วัด เดินสำรวจเมือง กินทุกร้านที่เขาว่าดี และปั่นจักรยานไปทุกที่บนเกาะเทโพ เป็นครั้งที่ครบถ้วนมากกว่าครั้งอื่นๆ แต่ถ้าหากจะมีครั้งต่อไปก็คงมีเรื่องราวใหม่ไม่ซ้ำเดิม เพราะมีอีกหลายร้านที่อยากกิน อีกหลายที่ที่อยากไป เป็นเมืองเล็กๆ ที่คนน้อย รถน้อย แต่วงเวียนเยอะ เลยต้องเที่ยววนไปในเมืองพระชนกจักรี อุทัยธานีที่คิดถึง

การเดินทางเริ่มจากขึ้นรถ กรุงเทพฯ คลองลาน ที่ขนส่งรังสิต ในราคา 261 บาท เลือกที่นั่ง A1 หน้าสุดริมหน้าต่าง แต่มีนางหนึ่งนั่ง A1 มาจากหมอชิต พอรถมาถึงขนส่งรังสิต จริงๆ นางต้องเขยิบมานั่ง A2 ถึงจะถูกต้องแต่ปรากฎว่านางไม่ยอม เพราะนางอยากนั่งริมหน้าต่าง ชมวิวทิวทัศน์ ในเมื่อบอกกันตรงๆ ก็นั่งไป เราเห็นถึงความมุ่งมั่นของนางในการอยากนั่งริมหน้าต่างมากขนาดนั้นก็ไม่ว่ากัน เราไม่ซีเรียส ขอให้รถคันนี้พาเราไปอุทัยก็พอใจแล้วอะนะ
มาถึง บขส อุทัย ตอนเที่ยงพอดีเป๊ะ ก่อนลงจากรถก็ร่ำลาส่งยิ้มให้กับนางผู้ชอบนั่งริมหน้าต่าง ขอบคุณที่ปลุกให้ตื่น ไม่งั้นอาจเลยป้าย ขอบคุณที่ทำให้รู้จักการเสียสละและแบ่งปัน หลังจากลงจากรถ ยังไม่ทันได้ งง ก็มีสามล้ออาสามาบริการ เราก็ไม่คิดไรมาก ว่าจ้างให้ไปส่งที่ "บ้านจงรัก" หมุดแรกของทริปนี้เลย ในราคา 30 บาท 
บ้านจงรัก เป็นหมุดแรกของทริปอุทัยธานี เป็นร้านที่น่าคบหา นอกจากได้กินไอติมและเครื่องดื่มเย็นๆ แล้ว ยังได้ชมพิพิธภัณฑ์ที่อยู่บนชั้นสองของบ้านด้วย ไม่ได้แค่ชมๆ แชะๆ เท่านั้นนะ ยังได้ความรู้เกี่ยวกับคำพังเพยของไทย และการสร้างบ้านแบบภูมิปัญญาจากเจ้าของบ้านอีกด้วย จากการซักถามและคุยกับ คุณศิลป์ชัย เทศนา ผู้พาชม พิพิธภัณฑ์บ้านคุณตา หลวงเพชรสงคราม เพลิดเพลินเกินไปหน่อย เลยทำให้ลืมจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มกับไอศกรีมไปซะสนิทเลย ส่วนน้องฟิล์ม - ญานิศา เทศนา ลูกสาวคุณศิลป์ชัย ก็ลืมเก็บตังค์ด้วยเหมือนกัน สรุปคือต้องโอนตังค์ให้ฟิล์มทางโมบายแบ๊งกิ้งในราคา 60 บาท

บ้านจงรัก เป็นร้านกาแฟกึ่งพิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ร้านอยู่ริมถนนศรีอุทัย ตรงข้ามโรงเรียนอุทัยวิทยาลัย เป็นบ้านไม้ที่ต่อเติมเป็นร้านกาแฟ โดยนำของสะสมตั้งแต่บรรพบุรุษ รุ่นปู่ย่าตายาย รวมทั้งของเล่นเก่าๆ ของคุณจงรัก ภรรยาของคุณศิลป์ชัย มาตกแต่งร้านในสไตล์บ้านของเล่น ที่ดูเหมือนจะน่าสนใจกว่าเมนูขนมภายในร้านเสียอีก แต่การสั่งเครื่องดื่มซักหนึ่งแก้วถือเป็นการตั้งหลักที่ดีอย่างหนึ่ง ก่อนที่จะเดินสำรวจเรื่องราวอันดีงามของบ้านหลังนี้..


ที่ร้านจำหน่ายเครื่องดื่ม ชา กาแฟ น้ำสมุนไพรโฮมเมดสูตรโบราณ และยังมีโปสการ์ด ของที่ระลึกจากจังหวัดอุทัยจำหน่ายด้วย 
ชั้น 2 จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ชมฟรี
พิพิธภัณฑ์บ้านคุณตาหลวงเพชรสงคราม อยู่บนชั้น 2 ของบ้านจงรัก เป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคล ตั้งขึ้นเพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษทุกท่าน ใช้ชื่อคุณตาหลวงเพชรสงครามเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่หลวงเพชรสงคราม (เผือก รัตนวราหะ) ยกกระบัตร (อัยการ) แห่งเมืองอุทัยธานี ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นตาทวดของคนในบ้านจงรัก พิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่เล็กๆ ที่รวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องไม้เครื่องมือประกอบอาชีพของบรรพบุรุษ คงบรรยากาศแบบดั้งเดิมเอาไว้เพื่อย้อนความทรงจำกลับไปยังวันวานอีกครั้ง โดยแบ่งเป็นห้องนั่งเล่น โต๊ะทำงาน ห้องนอน 
และยังมีเรือนไทยทางด้านหลังให้ชมอีก ซึ่งเป็นเรือนที่พ่อแม่และคุณศิลป์ชัยเคยอาศัยอยู่ คุณศิลป์ชัยบอกว่าพ่อแม่ของเขาได้ฝังรกของเขาไว้ที่ใต้บันไดบ้าน เพื่อให้เขาได้ตั้งรกรากอยู่ที่บ้านหลังนี้ และไม่จากไปไหน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คำโบราณที่เราๆ เคยได้ยินกันว่า "ตั้งรกราก" นั้นก็มาจากความหมายดังที่กล่าวมานี้แหละ รก ก็คือรกเด็กนั่นเอง คือมีการตัดรกของเด็กแรกคลอด แล้วนำไปฝังไว้ภายในบริเวณบ้าน อาจเป็นใต้ถุนบ้าน หรือใต้บันไดบ้าน ซึ่งเป็นความเชื่อของคนไทยโบราณว่าเด็กคนนั้นจะมีความผูกพันธ์กับบ้านเกิด รักบ้าน ห่วงบ้าน จนไม่อยากจากไปไหน เหมือนกับคุณศิลป์ชัย ที่อยู่ดูแลบ้านหลังนี้มาเนิ่นนาน 






บ้านจงรัก เปิดเฉพาะวันเสาร์ - อาทิตย์ - จันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 7.30 - 17.00 น.
พิพิธภัณฑ์ก็เช่นกัน แต่เปิดเวลา 9.00 น. ชมฟรีจ้ะ
จากบ้านจงรัก เดินไปตามถนนศรีอุทัย แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนณรงค์วิถี ด้วยระยะทางเพียง 200 เมตร ก็มาถึงร้านหนังสือกาลครั้งหนึ่ง เนื่องจากไม่ใช่คนอ่านหนังสือจึงแวะมาถ่ายรูปเท่านั้น 
เรามาอุทัยนี่ไม่ได้มาคนเดียวนะ นัดเพื่อนที่มาจากลำปางด้วยอีกสองคน ระหว่างที่เพื่อนยังมาไม่ถึงอุทัย เราก็เลยมีความคิดว่าจะไปนั่งรอเพื่อนที่ร้าน "มุมสะแก" ซึ่งอยู่ตรงตีนสะพานวัดโบสถ์ จากร้านกาลครั้งหนึ่ง เราเดินกลับไปที่ถนนศรีอุทัย เดินตรงไปยังห้าแยกวิทยุ แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนท่าช้าง เดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึงร้านมุมสะแก ด้วยระยะทางเพียง 350 เมตรเท่านั้น
มุมสะแก ร้านกาแฟริมแม่น้ำสะแกกรัง เป็นอาคารทรงแปดเหลี่ยม สองชั้น ตั้งอยู่ตรงตีนสะพานวัดโบสถ์ อยู่บริเวณตลาด อ.เมืองอุทัยธานี 
เมนูที่ร้านเป็นอาหารแนวฮาลาล มีทั้งอาหารจานเดียว อาหารทานเล่น และที่ต้องสั่ง แบบว่าห้ามพลาดคือ โรตีแป้งมาเลย์ เป็นแป้งกรอบราดนม โรยน้ำตาล รสชาติไม่หวานมาก
แต่ถ้าอยากกินข้าว แนะนำ กะเพราปลาแรดราดข้าว อร่อยมาก ข้าวร้านนี้เม็ดร่วนๆ เลย ที่สำคัญ ทุกเมนูใช้น้ำมันรำข้าว ไม่มีคลอเรสเตอรอล และปลอดผงชูรส
หลังจากนั้นเราก็ไปเดินย่อยที่วัดโบสถ์ซึ่งอยู่ทางฝั่งตรงข้าม โดยเดินข้ามสะพานนี้ไป 
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เรือนแพหลังเดิม และแม่น้ำสะแกกรังสายเดิม
ไม่นานนักเพื่อนทั้งสองก็มาถึง เราเดินสำรวจวัดโบสถ์กันก่อนที่จะไปยังที่พัก 

จากวัดโบสถ์ เราเดินไปยัง "บ้านอิงน้ำรีสอร์ท" ด้วยระยะทางหนึ่งกิโลเมตร
ครั้งนี้เราเลือกพักที่บ้านอิงน้ำ ในคืนแรกของทริป เลือกนอนบนเรือนแพ ที่นี่มีเรือนแพสองหลัง เราจองสองหลังเลย นอนสองคนหลังนึง นอนคนเดียวอีกหลังนึง ราคาอยู่ที่หลังจะพันเดียวในวันอาทิตย์ถึงพฤหัส แต่ถ้าใครนอนศุกร์เสาร์ ราคาจะอยู่ที่ 1200 ซึ่งก็ยังถูกอยู่ดี
ภายในห้องติดแอร์ มีทีวี ตู้เย็น พัดลม ไดเป่าผม และห้องน้ำในตัว หลังนึงนอนได้สองคน มีเรือคายัคให้พายเล่นด้วย พร้อมเสื้อชูชีพ 



ส่วนด้านบนของรีสอร์ทก็มีห้องพักอีกหลายแบบ สำหรับสองท่านอยู่ที่ 800-1200 แต่ถ้ามาเป็นครอบครัวก็ 3000-3500 มีสระว่ายน้ำ มีที่จอดรถ และมีจักรยานปั่นฟรี 
หลังจากเช็คอินแล้วเรียบร้อย เราก็พายเรือเล่น ว่ายน้ำเล่น เย็นๆ ก็ออกไปปั่นจักรยานระยะสั้น กิจกรรมค่อนข้างเยอะ ยังไม่จบ ตบท้ายด้วยการไปตระเวณกินในตัวเมือง และเดินเล่นยามค่ำคืนก่อนที่วันแรกจะจบลงอย่างรวดเร็ว 





พวกเรามาถึงร้านไร่สุดท้ายในเวลาเจ็ดโมงเช้า ซึ่งต้องปั่นมาถึงถนนใหญ่ ผ่านสวนน้ำเฉลิมพระเกียรติ และปั่นยาวไปอีกโลนึง 

ไร่สุดท้าย เป็นร้านกาแฟที่ตั้งอยู่บนเกาะเทโพ อ.เมืองอุทัยฯ บรรยากาศดีตรงที่ติดริมท้องนา จุดขายของที่นี่อยู่ตรงที่มีสวนมัลเบอรี่เป็นซุ้มอุโมงค์ เมื่อคุณเดินไปในดงมัลเบอรี่คุณจะได้เห็นผลมัลเบอรี่อยู่มากมาย สามารถเด็ดกินได้สดๆ เลย 





ไร่สุดท้าย เปิดบริการทุกวัน 8:00 - 16:00 อาจเลทไปถึง 17:00 แล้วแต่สถานการณ์


















มณฑปพระศรีอริยเมตไตรย เป็นสิ่งก่อสร้างอยู่ในกลุ่มบริเวณวิหารสมเด็จองค์ปฐม ตัวมณฑปประดับกระจก มี ๒ ชั้น ชั้นบนประดิษฐานรูปหล่อพระศรีอาริยเมตไตรย (หรือพระนามในฐานะพระโพธิสัตว์ชั้นดุสิต พระเดชพระคุณหลวงพ่อเรียกว่า “ท่านปรีชาทรงธรรม”) ประทับยืนทรงเครื่องเทวดา พระหัตถ์ซ้ายทรงจักร พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ ปิดทองคำเปลวและแผ่นเงิน
สมเด็จองค์ปฐม หมายถึง พระพุทธเจ้าพระองค์แรก ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้ทำสมาธิกรรมฐาน และได้เกิดเหตุการณ์ปาฎิหาริย์ขึ้นคือ ปรากฎองค์พระพุทธเจ้ายืนพนมมือหันหน้าเข้าหากันทั้งสองด้าน เว้นตรงกลางไว้ หลังจากนั้นได้มีพระพุทธเจ้าองค์ปฐมเดินมาตรงกลาง จนกระทั่งท่านเดินมาถึงหลวงพ่อ ท่านก็ได้กล่าวว่า "ต่อไปนี้ ถ้าจะสอนธรรมะให้บอกฉันก่อน แล้วฉันจะให้สอนตามที่ฉันต้องการ"













ปราสาททองคำถูกออกแบบให้มีถึงสามชั้น มียอดทั้งหมด 37 ยอด เป็นยอดเท่าๆ กัน 36 ยอด ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ และยอดตรงกลางเป็นยอดใหญ่หนึ่งยอด
วิหารแก้วร้อยเมตร เป็นวิหารสำคัญที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำสร้างไว้ก่อนมรณภาพ รวมทั้งยังเป็นที่รักษาสังขารร่างของหลวงพ่อที่ไม่เน่าเปื่อยในโลงแก้ว ภายในสร้างด้วยโมเสกสีขาวใสดูเหมือนแก้ววาววับ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปจำลอง พระพุทธชินราช ซึ่งเป็นพระประทานในวิหารอีกด้วย วิหารแก้วเปิดให้ชมในช่วงเช้า 9.00 - 11.45 น .และ ช่วงบ่าย 14.00 - 16.00 น.




วัดอยู่สุดถนนท่าช้าง ในเขตเทศบาลเมืองอุทัยธานี เป็นวัดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ในเรื่องประเพณีตักบาตรเทโว ที่จัดขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ถือเป็นประเพณีสำคัญของจังหวัดอุทัยธานี ในวันดังกล่าวจะมีพระสงฆ์กว่า 500 รูป เดินลงมาตามบันได 449 ขั้น จากมณฑปบนยอดเขาสะแกกรังสู่ลานวัดสังกัสรัตนคีรีเบื้องล่าง เพื่อมารับบิณฑบาตร 


รอไม่นาน อาหารที่สั่งไว้ก็ทยอยมาเสิร์ฟ ที่มาก่อนเพื่อนเลยคือปลาแรดทอดน้ำปลา น่ากินมากๆ จานนี้ 280 เท่านั้น ไม่แพงเลย 


อร่อยทุกจานเลย ทั้งหมดนี้ค่าเสียหายอยู่ที่ 645 บาท รวมข้าวเปล่า น้ำเปล่า น้ำแข็ง และข้าวผัดปูให้ลุงชายเจ้าของรถเหมา ให้แกไว้กินที่บ้านด้วย













เดินมายาวไกลก็มาสะดุดที่ร้านนี้ เกิดอยากกินปลาแรดขึ้นมาอีกแระ ซื้อเลยหนึ่งตัว 160 บาทเอง น้ำจิ้มเขารสเด็ดตามป้ายบอกจริงๆ 

อาคารบ้านเรือนที่นี่ ชาวบ้านพร้อมใจกันทาสีด้วยสีม่วง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ์แด่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา
กิจกรรมอีกอย่างที่นักท่องเที่ยวมาถึงตลาดนี้แล้ว ไม่ควรพลาดคือ การตักบาตรทางน้ำ โดยจะมีเจ้าอาวาสแห่งวัดโบสถ์ นั่งเรือมาจากวัดเพื่อมายังแพท่าน้ำลานสะแกกรัง เพื่อให้ชาวบ้านได้ทำบุญตักบาตรกัน ซึ่งกิจกรรมนี้มีทุกวันตอนเช้า เวลา 7.00 น. 

เมื่อตักบาตรกันครบทุกคนแล้วก็มีการถ่ายภาพหมู่ไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งสามารถชมภาพอย่างละเอียดได้จากเฟซบุ๊ก กลุ่มสาธารณที่ชื่อว่า "อุทัยธานีที่รัก" กลุ่มนี้มีการลงเรื่องราว ภาพชีวิตประจำวันของคนอุทัยให้เราได้ชมทุกวันเลยล่ะ ทำให้เรารู้ข่าวคราว ความเป็นไปของเมืองอุทัยได้ตลอดเวลาที่เราเข้าเฟซบุ๊ก
และนี่คือวิวดีดีที่ตลาดลานสะแกกรังในเวลาเช้า ช่างสวยงามสุดบรรยาย
แน่นอนมาร้านนี้ก็ต้องสั่งข้าวมันไก่จานนึง และเพื่อความแตกต่าง เลยสั่งข้าวหมูแดงหมูกรอบอีกจานนึง ตามด้วยต้มจืดเยื่อไผ่ อันนี้ของโปรดเลย ชอบมาก
ราคาร้านนี้ไม่แพง ข้าวมันไก่ และข้าวหมูแดง ธรรมดา 35 พิเศษ 45 ส่วนต้มจืดเยื่อไผ่ราคาอยู่ที่ 50 บาท อร่อยใช้ได้เลย ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 6.00 - 14.30 น. เสร็จจากร้านนี้ เรายังคงไปต่อกันที่ร้านต่อไป ซึ่งไม่ไกลกันนัก เดินถัดไปอีกเพียงไม่กี่ก้าวเอง เราแวะกินกาแฟกันที่ร้านป้าทอง เป็นร้านกาแฟโบราณที่บรรยากาศออกแนวสภากาแฟ เป็นที่สังสรรค์พบปะพูดคุยของชาวบ้านย่านนี้
เรามาทำความรู้จักป้าทองกันเสียหน่อยดีกว่า ว่าแกเป็นใคร มาจากไหน แล้วทำไมมาขายกาแฟอยู่ตรงนี้ 

หลังจากได้ลองชิมกาแฟร้อนไปแก้วนึง รู้สึกได้ถึงความเข้มข้น ส่วนราคานั้นทำให้ตกใจนิดหน่อย ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯ อย่างต่ำก็แก้วละ 35 หรือ 40 แต่ร้านป้าทองนี่แก้วละ 10 บาท ส่วนกาแฟเย็นก็ 10 บาทเหมือนกัน มันถูกจนตะลึงไปเลยสามสิบวิ ส่วนไข่ลวกที่สั่งมานั้นเสิร์ฟมาเป็นแก้ว ในแก้วมีไข่ลวกถึงสองใบ ราคาอยู่ที่ 15 บาท รวมๆ แล้วค่าเสียหายทั้งหมดเพียงแค่ 35 บาทเท่านั้นเอง
ประทับใจมากกับร้านนี้ ป้าทองใจดีมาก ดูแกมีความสุขกับการขายกาแฟ ชีวิตที่เรียบง่ายแต่กลายเป็นสิ่งที่น่าอิจฉาสำหรับคนกรุงอย่างเรา
และแล้วก็หมดเวลาสำหรับชีวิต slow life ในอุทัยแห่งนี้ ไม่รู้ว่าจะได้มาเมืองนี้อีกหรือเปล่า อยากมาอีกนะ มาได้เรื่อยๆ ล่ะ เพราะยังมีอีกหลายเส้นทางที่ยังไปไม่ถึง เวลาแค่สองคืนสามวันมันอาจจะน้อยเกินไป แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ของกินแสนอร่อยนั้นมากมายเหลือเกิน ไม่สามารถจะเก็บได้หมด การมาเยือนอุทัยครั้งนี้ถือได้ว่าครบถ้วนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเรื่องกิน การได้ปั่นจักรยานไปทั่วเกาะ การเดินสำรวจเมืองทุกตรอกซอกซอยจนทำให้รู้ว่าที่นี่หมาจรจัดเยอะมากและดุร้ายเสียด้วย อันนี้ต้องพึงระวังให้จงดีสำหรับนักท่องเที่ยวเดินเท้า พวกเราเช็คเอาท์จากที่พักประมาณสิบเอ็ดโมงกว่า โทรให้ลุงชายเจ้าของรถสกายแลป มารับพวกเราแล้วไปส่งที่ขนส่ง 