เป้สองใบ... หลงรัก บ้านนาต้นจั่น

นอนโฮมสเตย์ กอดทะเลหมอก

เคยมั๊ย... แบบอยากปล่อยเวลาให้เดินไปช้าๆ

เคยมั๊ย... อยากวิ่งเล่นไปบนคันนา

เคยมั๊ย... อยากตื่นเช้าๆ ไม่ได้เพื่อไปเจอกับรถติดบนถนน แต่ออกไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาซักที่

เคยมั๊ย... อยากจิบกาแฟพร้อมนั่งมองทะเลหมอก

เคยมั๊ย... อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

ที่นี่ตอบโจทย์ทุกข้อที่เราเฝ้าตั้งคำถามให้กับตัวเราเอง ตามพวกเรามาสิ เราจะเล่าให้ฟัง.... แล้วพวกเธอจะหลงรัก "บ้านนาต้นจั่น" เหมือนกับพวกเราสองคน

ติดตามรีวิวพวกเราสองคนได้ที่ http://facebook.com/PaeSongBai

บ้านนาต้นจั่น ตั้งอยู่ในตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย
จังหวัดสุโขทัย
การเดินทาง
หากขับรถมาจากกรุงเทพฯ ให้ขับขึ้นเหนือมาทางนครสวรรค์ ผ่านกำแพงเพชร เข้าสุโขทัย แล้วขับขึ้นมาทางแพร่
ถ้าไม่อยากนั่งรถนานๆ เราแนะนำเครื่องบิน มาลงสนามบินสุโขทัย แล้วเช่ารถสะดวกสุด

"หมู่บ้านนาต้นจั่น" เป็นหมู่บ้านที่เพิ่งเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ประมาณ 2 ปี
เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของคนในชุมชนโดยแท้
และนับว่าเป็นหมู่บ้านที่ชุมชนเข้มแข็ง (คล้ายหมู่บ้านแม่กำปอง จังหวัดเชียงใหม่)
เหมาะสุดๆ กับคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแนวธรรมชาติเชิงอนุรักษ์

โทรนัดแนะกับเจ้าของบ้านเรียบร้อย
รายละเอียดคร่าวๆ
โฮมสเตย์ราคาต่อคืนตกคนละ 600 บาท
พร้อมอาหารเช้า เย็น
และพี่เจ้าของบ้านจะถามว่า พวกเรากินอะไรได้ อะไรไม่ได้ กินยากง่ายแค่ไหน เพื่อเค้าจะเตรียมอาหารให้ถูกปาก

พวกเราสองคนกินง่ายๆ เลยขอ ล็อปสเตอร์ ไข่ปลาคาเวียร์ ไป ถถถถถถถถ ไม่ใช่ล่ะ

เลยบอกพี่เค้าไปว่าปกติพี่กินไรกัน ทำแบบนั้นเลยค่ะ

เบอร์โทรศูนย์บ้านนาต้นจั่น 055-677-209
(จองโฮมสเตย์)

พวกเรากันถึงประมาณ 4 โมงเย็น
ในครั้งนี้กระเหรี่ยงเมืองกรุงอย่างพวกเราสองคนได้เป็นแขกบ้านพี่พร พี่พรเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่เปิดบ้านทำเป็นโฮมสเตย์เล็กๆ ต้อนรับบรรดานักท่องเที่ยว

บ้านหลังนี้สร้างแยกออกจากบ้านหลังใหญ่
พักได้ 2 คน แต่บ้านใหญ่พักได้เป็นสิบค่ะ

อีกฝั่งของห้องเป็นห้องน้ำ (ขอบอกนิสนึงที่นี่ไม่มีน้ำอุ่นนะคะ ตอนที่พวกเราอาบน้ำก็มีหลุดกรี๊ดกันเหมือนกัน)

หลังจากเก็บของกันเรียบร้อย ถึงเวลายืดเส้นยืดสาย
จัดจักรยานมาปั่น โดยมีไกด์เด็กน้อยชื่อ น้องจุ๊ เป็นไกด์กิติมาศักดิ์พาทัวร์รอบๆหมู่บ้าน
เส้นทางและจุดสำคัญภายในหมู่บ้าน

ปั่นผ่านบ้าน วัด มาเรื่อยๆ จนมาเจอโฮมสเตย์อีกที่นึง ชื่อ โฮมสเตย์บ้านไร่ ชายเขา บรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัว

มีบ้านหลังใหญ่ และบ้านหลังเล็กแยกออกมา มีเต๊นท์หลังเล็กๆ วางไว้บนแคร่ยกสูง มีเปลไม้ไผ่ไว้นอนดูดาว

เมื่อมองออกไปจากหน้าบ้าน เป็นไร่ข้าวโพด
ด้านหน้าเป็นสวนดอกทานตะวันเล็กๆ

ช่วงที่เราไปเป็นต้นเดือนมกราคม ชาวบ้านยังทำนากันอยู่ ทุ่งนาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา
ปกติอยู่แต่ในเมือง นั่งอยู่หน้าคอม บางทีก็แอบอิจฉาคนที่นี่นะ ได้เห็นวิวแบบนี้กันทุกวันเลยหรอ

อีกด้านของทุ่งนาบางจุดจะเป็นไร่ข้าวโพดบ้าง ไร่ผลไม้บ้าง สลับกันไป น้องจุ๊ก็เล่นปั่นกันข้ามสะพาน ลงเนิน ขึ้นเนิน
จะสอนป้ายกล้อจักรยานงี้ สงสารป้าเห้อออออ บรรยากาศทุ่งนาเขียวๆ ตัดกับท้องฟ้า ฟรุ้งฟริ้ง....
เซลฟี่ แป๊บบบบบบ........................................ ระหว่างรอพวกเราถ่ายรูปเซลฟี่กันอยู่นั้น
น้องจุ๊นางเจอเพื่อน ก็ปั่นจักรยานเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน ปั่นยกล้อบ้าง ปั่นแข่งกันบ้าง นึกถึงเด็กในเมืองป่านนี้คงนั่งจิ้มไอแพดกันอยู่สินะ ฮืมมม! ตอบบบบ??? ที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในหมู่บ้าน อยากให้บรรยากาศแบบนี้มีขายที่ 7-11 ทุกสาขาใกล้บ้านจัง มาแล้วไม่ผิดหวังจริงๆ กับการปั่นข้ามเนิน ลุยโคลน
ฝ่าดงทุ่งนา มาถึงนี่ พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า
ท้องก็เริ่มร้องเป็นสัญญาณว่าควรกลับบ้านไปกินข้าวดีฟ่า

กลับถึงบ้านพี่พร พร้อมความขาล้าที่เกิดจากการปั่นจักรยานแบบไม่ได้คิดถึงสังขารที่เริ่มชราภาพ
แต่เมื่อเห็นสำรับกับข้าวที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เราเหมือนได้กลับไปเป็น 14 อีกครั้ง

น้ำพริกซอกไข่ ถึงชื่ออาจจะฟังดูแล้ว รสชาติน่าจะประแล่มๆ แต่จัดว่าเด็ด ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง พวกเราสองคนตื่นกันตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง (น้องสาวพี่พรเดินมาปลุก 55555) น้องจุ๊เจ้าเก่าคนเดิมมารอที่หน้าบ้านกับเพื่อนอีกหนึ่งคน ชื่อ น้องวุด

น้องสาวพี่พรจัดแจงกระเป๋า เตรียมน้ำดื่ม มาม่าซอง กาแฟ โอวัลติน พร้อมกระบอกไม้ไผ่ ไว้ให้เป็นเสบียงด้านบน น้องวุดขับมอเตอร์ไซต์นำหน้าฝ่าความมืด นำทางก่อนถึงตีนเขา ทางค่อนข้างเป็นหลุมเป็นบ่อ ถ้ามาช่วงหน้าฝน ทางเป็นโคลน ขับลำบาก ทางเดินขึ้นเขาเป็นทางชันประมาณ 850 เมตร
ระยะสุดท้ายเริ่มมีไม้ไผ่ให้จับ แสดงว่าเริ่มใกล้จะถึงละ
ด้านบนมีชาวบ้านบางส่วนมาต้มน้ำ ตัดไม้ไผ่ มีห้องน้ำให้บริการ ฟ้าเริ่มสาง ท้องน้อยๆ ของเราก็เริ่มหิว จัดไปก่อนกาแฟกระบอกไม้ไผ่ น้ำร้อนไปขอได้นะคะ ความหิวไม่หยุดยั้งง่ายๆ ระหว่างรอพระอาทิตย์จัดไปอีกมาม่า กระบอกไม้ไผ่ สลัก "นาต้นจั่น" เช้านี้นึกว่าจะผิดหวังเมฆจะบัง มองไม่เห็นอะไรแล้ว
ได้แต่ถ่ายทะเลหมอกที่ไหลเป็นสายมาเรื่อยๆ

แต่อยู่ดีๆ นางกลับปล่อยลำแสงแบบนี้ ฝ่าเมฆออกมาเลย

เต็มๆ ลำแสงแบบนี้ ด้านล่างก็เป็นทะเลหมอก หมอกเคลื่อนตัวไปตามไหล่เขา ลำแสงเป็นเส้นๆ ตัดกับสายหมอก ฟ้าเริ่มเคลียร์ขึ้น พระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง แต่ด้านล่างหมอกยังฟุ้งๆ อยู่

เมฆสีทอง คิดถึงดราก้อนบอล
(การ์ตูนบ่งบอกอายุมาก)

อยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้

กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งนอกจากชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
ยังมีกิจกรรมปลูกป่าลูกมะค่า ลูกมะค่าจะมีน้องๆ มาขายลูกละ 2 บาท แนะนำอุดหนุนน้องๆ ค่ะ ตัวกระเปี๊ยกเดียวรู้จักหาเงินแล้ว ตัวขนาดนี้เรายังดีดลูกแก้วอยู่เล้ย

น้องเป็นลูกสาวกำนัน แข่งยิงไกล ยิงทีไรดังแป๊กๆ น่าจะยังไม่พ้นหลังคาบ้านคน จุดสุ่มยิงเป็นสไนเปอร์ก็มี ยิงตรงไหนสุดท้ายเสียงเดียวกัน
แป๊ก แป๊ก นึกถึงเกมส์แองกี้ เบิร์ด อีกด้านนึง ด้านทิศตะวันตก ผืนป่าอุดมสมบูรณ์
ลืมบอกไป ทิศตะวันออกที่เราเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อกี้ เป็นฝั่งจังหวัดอุตรดิตถ์แล้วค่ะ และนี่คือเส้นทางที่เราเดินขึ้นมา
ระหว่างทางมีไม้ไผ่ให้จับเดิน
กระบอกไม้ไผ่ แขวนไว้ให้ตีเป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงละนะ

ข้าคือผู้พิชิต ห้วยต้นไฮ
(ข้างๆ ก็น้องจุ๊ไง จะใครละ น้องเดินชิวมากจริงๆ พี่ขอคารวะ)
สำหรับทางเดินขึ้นเขาที่ชัน ระหว่างทางชาวบ้านเล่าว่า ถ้าให้ตัดทางอ้อมเขาเพื่อไม่ให้มันชัน จะทำให้ต้องตัดต้นไม้มากขึ้น เชื่อแล้วล่ะ ว่าชุมชมนี้เค้ามีจิตสำนึกเชิงอนุรักษ์จริงๆ ปรบมือ

ลูกมะค่า หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ
เอาจริงๆ ตอนแรกคิดว่า นี่! น้อง เอาก้อนหินมาให้พี่ยิงเล่นใช่มั๊ย หน้าตาลูกมะค่ามันคล้ายก้อนหินมาก

ระหว่างเดินลงมา ก็ถามน้องจุ๊ว่าไปเก็บกันที่ไหน น้องบอกก็ในป่านี่แหละ จะรอช้าอะไร ลูกละ 2 บาท เก็บสิ

ช่วยกันหากับน้องจุ๊ จนได้มา 5 ลูก 10 บาทแล้วนะ คิดดู ลงเขามาเหนื่อยๆ ได้เห็นกับข้าวกับปลาก็ชื่นใจ
น้ำพริกหนุ่ม แคปหมู ลาบ ไก่ทอด กับผัดฝักทอง พักเหนื่อย อาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อย
11 โมง น้องสาวพี่พรพาพวกเรามาที่ศูนย์ เพื่อชมวิถีการย้อมผ้า การทำผ้าหมักโคลน แบบต้นตำหรับบ้านนาต้นจั่น วันนี้ไม่มีสาธิตการย้อมผ้า เพราะมีงานศพในหมู่บ้าน ชาวบ้านเลยไปช่วยกันที่วัด การทำผ้าหมักโคลน เมื่อทอเสร็จ เค้าจะเอามาหมักโคลนแบบนี้แหละ ถามว่าโคลนจากไหน ก็จากนาที่เราไปเที่ยวเมื่อวานไง

สีอะไรได้มาจากพืชชนิดไหน

เมื่อย้อมแล้ว สีที่ได้จะพาสเทลแบบนี้

เดินเล่นตลาดสามแคร่ ที่มาคือมีแม่ค้านั่งขายบนแคร่ 3 แคร่ น่ารักดี เมื่อเดินดูกิจกรรมต่างๆ ภายในศูนย์เสร็จเรียบร้อย
ถึงกิจกรรมถนัดสุด คือ กิจกรรมกิน
ข้าวเปิ้บล้มยักษ์
วันนี้คนไม่เยอะ ได้ลงมือทำข้าวเปิ้บด้วยตัวเองด้วย ทำตัวแป้ง ใส่ไส้แล้วห่อ ห่อไม่ดีระวังแตก
เปิ้บ คือการใช้ไม้ห่อแบบนี้แหละค่ะ ดูขนาดชามนะคะ จะล้มยักษ์ได้หรือเปล่า ใส่น้ำซุป เป็นอันเสร็จเรียบร้อย อร่อยค่ะ
ห้ามพลาดอีกเช่นกัน

ปิดท้ายด้วยน้ำแข็งใสจากตลาดสามแคร่

ที่ศูนย์มีตุ๊กตาโหนบาร์ของตาวงษ์ จัดแสดงด้วยนะคะ
ได้ข่าวมาว่าตาวงษ์ตามองไม่เห็นแล้ว แต่มีลูกกลับมาทำกิจการต่อคุณตาค่ะ เก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน ก่อนกลับร่ำลาพี่พร

ขอบคุณอาหารสุดอร่อย ที่จัดแบบชุดใหญ่ (ไฟกระพริบ) มากๆ ความเป็นกันเองที่สัมผัสได้ ความเดียงสาของเด็กๆ
ชาวบ้านที่นี่อยู่กันแบบพี่น้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (มีงานที่วัด ชาวบ้านส่วนใหญ่ไปช่วยงานที่วัดหมดเลย)

คุ้มค่าจริงๆ กับ 2 วันที่บ้านนาต้นจั่น
ยังไม่อยากกลับเลย แต่ต้องขอกลับไปพิมพ์แบงค์ก่อนนะ แล้วจะคิดถึงนะ "บ้านนาต้นจั่น"