ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
สัมผัสวิถีชีวิต ชมยอยักษ์ พัทลุง (เวอร์ชั่นนอนโฮมสเตย์ที่เป็นโฮมสเตย์จริง ๆ) โฮมสเตย์ลุงสนั่น บ้านปากประ
    • โพสต์-1
    พิรุณ •  มีนาคม 06 , 2560

    ‘ชีวิตอิสระเสรีที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่อย่างแท้จริง จะมีที่พักซักกี่ที่กันในประเทศไทยที่ให้ความรู้สึกแบบนี้ได้ ถ้าไม่ใช่บ้านเพื่อน บ้านคนรู้จัก’

    ผมพอรู้จักอยู่บ้าง หนึ่งในสถานที่แบบนี้ทางภาคใต้ที่ถ้าผมผ่านเข้าไปจังหวัดใกล้ ๆ ผมจะต้องแวะไปเยือน ไปพัก ไปถ่ายรูป ไปพูดคุย และไปดูวิถีชีวิตที่ได้เพิ่มทุกครั้งที่แวะไป แต่เอาจริง ๆ รอบนี้ก็เป็นรอบที่สองที่ได้ไปเจอหน้า ไปพักกับลุงสนั่น ผู้เป็นเจ้าของ ‘โฮมสเตย์ ลุงสนั่น บ้านปากประ’

    ลุงสนั่น กับบ้านที่ลงมือสร้างเองมากกว่า 70% เป็นคล้าย ๆ เรือนไทย มีพื้นที่เชื่อมต่อกันทุกหลัง เป็นสิ่งที่ลุงสนั่นภูมิใจมาก เพราะมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองอย่างแท้จริง (ภาพนี้เป็นของปีที่แล้วนะครับ ภาพของปีนี้มีรถของนักท่องเที่ยวเข้ามาจอดหลายคันในบางวัน เลยเอาภาพเก่าที่เห็นลักษณะได้ชัด ๆ มาน่าจะดีกว่า)

    เกริ่นมา 2 ย่อหน้า คงต้องเฉลยก่อนว่าที่แห่งนี้คือ พัทลุง อยู่ในเขตทะเลน้อย อยู่แค่ฟากถนนก็เห็นกลุ่มยอยักษ์ที่ลุงสนั่นตั้งคำพ้องไว้เพื่อการท่องเที่ยวว่า ‘ยอยักษ์ ตักตะวัน’ ซึ่งมีจุดชมวิวอีกหลายอย่างอยู่ใกล้ ๆ เช่น ควายน้ำ บึงบัว ฝูงนกนับล้านที่อพยพจากไซบีเรีย เขตพื้นที่ชุ่มน้ำ ต้นลำพูกลางน้ำ และสะพานเอกชัย

    ฟ้าไม่เปิด ทะเลที่นั้นไม่ใส คลื่นแรงแต่ว่าไม่มีจุดเด่นมากนักในแง่ขอภูมิประเทศทางธรรมชาติ ทำให้ทางอาจารย์ ดร. ภูมินันท์ กับทาง Nikon ต้องปรึกษากันเพื่อให้ Workshop ออกมางานไม่กร่อย

    ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะผมจะต้องลงไปสงขลาเพื่อฟังงานบรรยายเกี่ยวกับการถ่ายภาพจากอาจารย์ผู้บรรยายที่มีผลงานการถ่ายภาพที่ผมชื่นชอบอย่างมาก (ดร. ภูมินันท์ ปิยทัศน์นันท์) ซึ่งเป็นงานที่ทาง Nikon จัด 2 งานติดในช่วงวันที่ 18 - 19 กุมภาพันธ์ 2560

    ผลจากการปรึกษากันของทีมงาน ก็สรุปว่า เอานางแบบมา 2 คน พร้อมกับม้า 3 ตัว มาถ่ายน่าจะดีกว่าให้ถ่ายภาพทะเลที่ตอนนี้หาจุดเด่นยาก แถมแสงก็ไม่มีจุดเด่นอะไรด้วย ซึ่งถือว่าดีเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ตรงกับหัวข้อบรรยายที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการถ่ายภาพทิวทัศน์ก็ตาม อีกอย่างคือจำนวนคนเข้าฟังบรรยาย 30 คนได้ ทำให้มุมภาพโดนบังบ้างอะไรบ้าง

    ไหน ๆ ก็จะลงใต้มาลึกพอสมควรก็คิดไว้เลยว่าจะไป สงขลา ต่อพัทลุง ตามด้วยกระบี่ ปิดด้วยพังงา และอาจจะมีแถมชุมพร ก็ว่ากันไป แต่เอาเข้าจริง เริ่มสงขลา ปิดพัทลุงเท่านั้นแหละ 555 ก็แล้วแต่ดิน ฟ้า อากาศ และอารมณ์ละนะ บางทริปลากยาวไปเกือบเดือนก็มี

    SYM GTS 300i ABS เจ้ามอเตอร์ไซค์คันใหม่ที่ยังต้องรอการพิสูจน์ตัวเองในอีกหลายด่าน แน่นอนรวมถึงตัวผมเองก็ต้องปรับตัวอีกหลายอย่างเมื่อมาใช้รถประเภทที่ตนเองไม่เคยใช้ แถมมีลักษณะเฉพาะตัวอย่าง Big Scooter

    แต่ที่เหมือนกับทุกครั้งของทริปถ่ายรูปก็คือ มอเตอร์ไซค์ที่จะใช้เป็นพาหนะหลักในการเดินทาง ผมติดใจในเสน่ห์ และความสะดวก ความคล่องตัวของมัน เพียงแต่ครั้งนี้มอเตอร์ไซค์ผมเปลี่ยนคันใหม่ซึ่งเป็นแนวที่ผมไม่เคยขี่มาก่อน เขาเรียกมันว่า Big Scooter ซึ่งเทียบกับคันเก่าแล้ว มันลุยได้น้อยกว่ามาก มีแต่คนบอกว่า ผมตัดสินใจผิด เพราะคนที่เคยติดตามการเดินทางของผมจะรู้ว่า บางครั้งเส้นทางที่ผมไป ชาวบ้านในพื้นที่เขายังไม่ไปกันเลยก็มี แต่ไม่เป็นไร ผมตัดสินใจเลือกเจ้า SYM GTS 300i ABS เพราะชัดเจนในเรื่องของประเภทมอเตอร์ไซค์ และตัดสินใจได้แล้วว่ารถที่เราต้องการไม่มีอยู่จริง แต่ละประเภทมันมีลักษณะเฉพาะของมัน จึงลองคันที่คิดว่าสะดวก สบาย และบรรจุของได้เยอะไว้ก่อน ไม่ชอบใจไว้ว่ากันใหม่

    ขี่รถทางไกล ๆ ไม่ค่อยพัก ก็มักจะทำให้มือผมแดง ๆ คัน ๆ มือแบบนี้อยู่เรื่อย แม้ว่าจะใส่ถุงมือไว้ก็ตาม คงเพราะการสั่นสะเทือนต่อเนื่องเป็นเวลานานละมั้ง แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก วันรุ่งขึ้นก็หาย มันแค่คัน ๆ นิด ๆ ดีกว่าขี่รถลุยฝนในหน้าฝนเยอะ เพราะนั้นทั้งคัน ทั้งเปื่อย 555

    หมวกใบเก่งที่ใช้มาประมาณปีนึง ชอบที่มันเปิดคางได้ แล้วก็ป้องกันเราได้ดี ผ่านการพิสูจน์ตัวของมันเองมากับอุบัติเหตุจากความประมาทของผู้เป็นเจ้าของ มันก็ปกป้องผมได้ดี ตอนนี้เป็นรอยเต็มไปหมด ยังไม่ได้ไปเปลี่ยนชิวที่เป็นรอยเลย ใครเจอก็ทักได้ครับ บีบแตรเรียกจอดคุยกันได้ สังเกตุไม่ยาก หมวกกันน๊อคสีเขียวแป้นแล้นมาก

    ผ้าคลุม หรือจะเป็นโม่งที่ขาดไม่ได้ มันช่วยกันเหงื่อ และถ้าเป็นผ้าบัฟก็ค่อนข้างอเนกประสงค์ ในเมืองผมอาจจะใช้โม่ง แต่ถ้าออกต่างจังหวัด โดยเฉพาะขึ้นภูสูง ๆ อากาศเย็น ๆ ผมจะใช้เป็นผ้าบัฟแทน เพราะมันแปลงร่างไปทำอะไรได้หลายอย่าง อีกอย่างคือหูฟัง เพราะผมใช้ Google map นำทางตลอด มันช่วยเตือนให้ผมรู้ว่าผมจะต้องไปทางไหน และทำให้ผมไม่ง่วงด้วย เพราะจะฟังเพลงระหว่างเดินทางในบางช่วง ถ้าไม่เปิดเพลงฟัง ผมอาจจะหลับได้ ไม่รู้คนอื่นเป็นไหม จริง ๆ ฟังเพลงแล้วน่าจะง่วงมากกว่า แต่ผมถ้าได้ยินเสียงลมปะทะหมวกกันน๊อคไปเรื่อย ๆ บางทีตอนบ่าย ๆ แดดร้อน ๆ เนี้ย จะมีอาการง่วง หลับในได้ แต่ถ้าฟังเพลงจะไม่ง่วง เพราะจะฮัมเพลงไปด้วยมั้ง

    ซึ่งทริปนี้เป็นทริปยาว 2500 + กิโลครั้งแรกของมัน ถึงแม้ออกมาได้เดือนนึง และเข็มไมล์วิ่งไป 2000 กว่าแล้วก็เหอะ แต่นั้นมันแค่ทริปสั้น ๆ เอาจริง ๆ ผมก็ยังรู้สึกแปลก ๆ กับรถแบบนี้อยู่นิด ๆ หน่อย ๆ และน้ำหนักตัว กับลักษณะของการออกตัวที่ต่างกับรถโซ่ทำให้ผมยังไม่ชินเวลาต้องเลี้ยววงแคบ ๆ หรือกลับรถ โดยเฉพาะกลับรถบนทางลาดชันมากกว่า 30 องศา แต่คิดว่าคงไม่มีปัญหาหรอก (ถ้ามีปัญหาคงไม่ได้อยู่มาเขียนบทความนี้ซินะ 55)

    ทริปนี้ไม่ได้ขี่ทางวิบากเลย ก็ไม่รู้ว่าถ้าต้องกลับไปขี่ทางแย่ ๆ แล้วจะเอาอยู่ไหมกับเจ้า GTS 300i คันนี้ ทริปนี้ก็แค่วิ่งเข้าไปในที่รกร้าง ทางฝุ่น ขรุขระ แต่ดินแน่นดี ไม่ได้ขี่ยากอะไร

    มันไม่ได้ทำให้ผิดหวังเรื่องบรรจุของใต้ท้องรถเลย สัมภาระที่ไม่แคร์เรื่องความร้อนสะสม ซึ่งเอาจริง ๆ มันไม่ได้ร้อนอะไรนะ อุ่นนิดเดียวจริง ๆ สำหรับที่เก็บของใต้เบาะ แต่ถ้าคุณจอดรถ แล้วทิ้งของไว้ในนั้น มันจะร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จากความร้อนที่แผ่ออกมาจากเครื่อง เพราะฉะนั้นถ้าเลือกได้ผมก็จะเอาสิ่งของที่ไม่แคร์เรื่องความร้อนไว้ใต้เบาะ เช่น ขาตั้งกล้อง เสื้อผ้า ของใช้ทั่วไป ส่วนของที่แคร์ความร้อนอย่าง กล้อง และอุปกรณ์ไฟฟ้า ก็เอาไว้ที่กล่องหลังขนาด 52 ลิตร

    ใจอยากให้มีที่เก็บชุดเต็นท์ เครื่องนอน และเครื่องครัวสนามด้วย กำลังคิดว่าจะทำกล่องข้างดีไหม เอาจริง ๆ มันพอจะยัดลงใต้ที่เก็บของใต้เบาะ และกล่องหลังได้อีก แต่เต็นท์อาจจะต้องแพ็คไว้บนกล่องหลัง หรือตรงเบาะคนซ้อน ซึ่งก็ห่วงว่าของอาจจะหายถ้าทิ้งรถไว้กลางเส้นทางที่เปลี่ยวแล้วออกไปถ่ายรูปวิวสวย ๆ ที่เจอระหว่างทางก็เท่านั้นเอง

    • โพสต์-2
    พิรุณ •  มีนาคม 06 , 2560

    สนใจงานถ่ายภาพ และแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็แวะมาที่เพจของผมได้นะครับ 'บันทึกการเดินทางของข้าพเจ้า' หรือคลิกที่ลิงก์นี้ได้เลย https://www.facebook.com/omeoyou/

    ใครสนใจออกทริปด้วยก็ถ้าลุยได้ก็ยินดีนะครับ หรือใครอยากได้ช่างภาพถ่ายรูปงานต่าง ๆ ก็ติดต่อได้ครับ ยินดีครับ

    • โพสต์-3
    พิรุณ •  มีนาคม 06 , 2560

    เหนือหนาว ใต้ฝนตก

    ภาคเหนืออุณหภูมิระดับ 1x องศา แล้วแต่ว่าอยู่สูงเพียงใด จะว่าไปบางวันในกรุงเทพช่วงนั้นก็มีเย็น ๆ แต่ที่ใต้ยังครึ้มเมฆครึ้มฝนอยู่เลย สงขลา หาดใหญ่มีฝนตกให้เห็นบางจุด จุดไหนฝนไม่ตกก็มีเมฆเยอะถึงขนาดวันที่มี workshop ถ่ายภาพกับ Nikon ทาง ดร.ภูมินันท์ ก็ปรึกษากับทีมงานว่าคงต้องหาอะไรเป็นจุดสนใจเพิ่มเติม เพราะทิวทัศน์ช่วงเวลานั้นน่าจะถ่ายออกมาแล้วลำบากไปนิดสำหรับหัวข้องานวันนั้น - -’

    จริง ๆ งานมีวันที่ 18 - 19 กุมภาพันธ์ 2560 แต่ผมออกเดินทางตั้งแต่ 17 ยิงยาวถึงหาดใหญ่เลย เพราะอยากมีเวลาพักก่อนวันจริงซักคืน จะได้มีสมาธิกับการฟังบรรยายเต็ม ๆ

    ที่พักที่หาดใหญ่ ‘Nida Rooms Market Ta Chang 302’ (GPS https://goo.gl/maps/rWAhf3Qo2TA2) แต่ก็มีอีกชื่อติดที่หน้าที่พักด้วยว่า ‘The Ring Khokmao’ ซึ่งผมจองมาจากแอพในมือถืออีกที ถือว่าเป็นที่พักที่ถูกมาก ๆ เมื่อเทียบกับลักษณะของที่พักเองที่ให้มาพร้อม ไม่ว่าจะตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า โทรทัศน์ เครื่องทำน้ำอุ่น แถมที่จอดรถแยกเป็นล็อค ๆ สำหรับแต่ละห้องพักด้วย แต่ราคาแค่ 480 บาทสำหรับ 2 คืน ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะราคานี้ตลอดไหมนะ

    ห้องไม่ได้มีพื้นที่กว้างมากพอที่จะทำกิจกรรม หรือนั่งเล่นกับพื้นได้ แต่ห้องไม่ได้แคบอะไรสำหรับการพักผ่อน

    อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็พร้อม ยิ่งเทียบกับราคาแล้ว ผมคิดว่าถูกใช้ได้เลย แล้วถ้าคุณมา 2 คน มันยิ่งประหยัดกว่านอนเต็นท์ในอุทยานแห่งชาติบางแห่งที่มีค่าเข้าราคาสูงกว่าปกติอีกนะผมว่า เพราะราคาหารแล้วก็เหลือแค่ 100 กว่าบาทเท่านั้น

    ห้องน้ำแบบนี้ แคบไปหน่อย ผมไม่ชอบ แล้วก็ตามขอบตรงพื้น มันจะมีเศษดำ ๆ บางทีน้ำมันไหลออกมาด้านบอกจากร่องหรืออย่างไงผมก็ไม่แน่ใจ กลายเป็นว่าแทนที่จะสะอาดกว่าก็ไม่ แต่คิดว่าที่น้ำไหลออกมาคงไม่ได้เป็นกันทุกห้องพัก น่าจะบังเอิญห้องผมที่เป็นห้องเดียวไหม อันนี้ไม่ได้ไปขอเขาดูห้องอื่นเลยตอบไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก แค่เราไม่ไปเดินเหยียบทางน้ำที่มันไหลเป็นทางนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่มีอะไรละ

    แถวที่พักมีสะพานรถข้ามทางรถไฟ เห็นสวยดีเลยจอดแถวตีนสะพาน เดินขึ้นไปถ่าย แล้วก็มีภาพที่ขี่รถไปตามทางเลียบรถไฟด้วย ไปลองหามุมถ่ายรูปเล่นดู แต่ตอนนั้นแสงมันไม่ส่องมาแบบนี้ละ เลยไม่ได้เอาภาพมาลง มันไม่ค่อยสวย

    ที่พักแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากชุมชนในซอย ถึงจะไม่มีอาหารเช้าแถม แต่ปกติแล้วเวลาผมเดินทางถ่ายรูป ผมจะไม่กินอาหารเช้า เพราะตอนเช้าผมมักจะนั่งรอแสงอยู่ตามสถานที่ถ่ายรูป ทำให้กินข้าวแค่ 2 มื้อ เลยไม่แค่อาหารเช้า ต่อให้แถมก็มักจะกลับมากินไม่ทัน ส่วนข้าวกลางวัน + เย็น ผมก็กินที่ร้านในซอยเดียวกับที่พักนั้นแหละ ราคาเหมือนกรุงเทพ แต่ให้กับข้าวเยอะกว่านิดหน่อย

    เช้าวันที่ 2 ของการอยู่สงขลา ฝนก็ทำท่าจะตกตลอด เมฆมืดมาเลย แต่ผมก็ขี่รถออกไปตระเวณหาที่ถ่ายรูปที่เกาะยอ ผมสนใจเกาะยอเป็นพิเศษ เพราะสนใจการกู้ไซที่ดักปลาที่นั้น พอดีเคยไปเห็นรูปของต่างประเทศเขายืนบนนั่งร้าน หรือบนไซ หรืออะไรซักอย่างเพื่อตกปลา มันดูน่าสนใจมาก เลยขี่รถวนไปเวียนมาที่นั้นทั้ง 2 วันตอนเช้าเลย เพื่อหามุมถ่ายรูป แต่ก็อย่างที่บอก เมฆออกมาเกือบตลอด มีช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นที่มีแสงเป็นช่วง ๆ สลับกับเมฆ

    วิถีประมงในทะเลสาบสงขลา เกาะยอ สำหรับช่วงนี้ยังไม่ใช่ช่วงที่พีคสุด ๆ แต่ก็ยังคงเห็นบ้างที่มีชาวบ้านออกไปหาปลากัน

     

    ไอ้ที่เป็นสีส้ม ๆ ในภาพ คือไซที่โดนยกลอยไว้ไม่ได้ทำหน้าที่ดักปลาอย่างที่ควร เพราะอย่างที่บอกว่ามันยังไม่ใช่ฤดูที่มีปลาชุม ทำให้ชาวบ้านบางคนก็ไม่ได้เอาไซลงทุกวัน แต่ก็มีบางคนเอาลงดักปลาก็มี เห็นแบบนี้ไซมันไม่ได้เล็กเลย ใหญ่มากอยู่นะ

    แถมเดินหามุมไปหามุมมาเลยได้คุยกับชาวบ้านแถวนั้นอยู่พักใหญ่ พี่เขาบอกว่า ถ้าอยากเห็นวิถีชาวประมงที่นี้แบบเต็ม ๆ ให้มาช่วงเดือนมีนาคม เพราะช่วงนั้นน้ำเค็มจะเข้ามาในทะเลสาบสงขลาเต็มที่ น้ำเค็มขึ้น ปลาก็จะมาเยอะขึ้น ชาวบ้านจะมาทำประมงกัน ช่วงที่ผมมาตอนนี้มันคาบเกี่ยว จะเห็นคนมาทำประมงบ้างแต่ก็ยังไม่เยอะ เพราะน้ำจืดมาจากแม่น้ำเยอะ คุยกับพี่เขาพักใหญ่ก็ลากันไป

    เดินไปมาแถวเกาะยออยู่ 2 วัน จะมีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์โผล่มาบ้างเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นแหละที่แสงจะแหวกเมฆโผล่ออกมา

     

    ถ่ายรูปไป บางทีก็เจอฝนตกไปด้วย แต่ไม่ได้ตกหนักอะไร เบา ๆ แล้วก็หายไป เมฆไหลไปเรื่อย ๆ

    ตระเวณหา หยุดถ่ายรูปตามจุดที่เห็น แต่ดันลืมสถานที่สำคัญไปได้ไงไม่รู้ ทั้งที่ก่อนจะเดินทางลงใต้ก็เล็งไว้ว่าจะมาถ่าย มัสยิดกลางสงขลา ตอนเช้ามั่วแต่วิ่งไปมาที่เกาะยอ ส่วนตอนเย็นก็เลิกเย็นมาก แล้วก็ไม่ได้อยู่ต่ออีกคืนด้วย จบบรรยายวันที่ 19 ก็โทรหาลุงสนั่นที่พัทลุง ถามว่ามีห้องว่างไหม จะไปถึงหัวค่ำ ลุงบอกมาได้เลย ก็เลยตัดสินใจไปพัทลุงเลย แม้ว่าตอนเลิกงานบรรยายจะเย็นมากแล้ว (18.30 น.ได้ตอนเลิกงาน กว่าจะเดินกลับไปหารถ เตรียมตัว แล้วออกเดินทางก็คงเกือบทุ่มแล้ว)

    งานบรรยายวันที่ 2 ไม่มี workshop เลยเอาภาพจากวันแรกมาให้ดูแทนต่อ

    มีแสงลงมาช่วงสั้น ๆ ประมาณ 5 นาทีได้ละมั้ง แป๊บเดียว แล้วแสงก็หายไปอีก

    น้องนางแบบอีกคน อุตสาห์เดินเข้าไปตรงจุดที่มีคนน้อย ๆ ให้พวกเราได้ถ่ายรูปกัน

    คนคุมม้าหนึ่งในสามคนที่จ้างมา คนนี้จะแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นคาวบอยเลย

    • โพสต์-4
    พิรุณ •  มีนาคม 06 , 2560

    น้ำฝน น้ำคลอง น้ำเล พัทลุงถิ่นทอง รวยน้ำใจ

    “ลูกฝันอยู่ไปเถอะ จะอยู่กี่คืนก็ได้ ไม่เอาตังค์” เมื่อคิดว่าเป็นคำพูดจากคนตรง ๆ ทำอะไรได้ด้วยตัวเองมาตลอด มีความภูใจในสิ่งที่ตนเองทำสูง ก็ต้องบอกว่าเป็นคำพูดเชื้อเชิญที่ฟังดูหวานหูมากเมื่อมาจากปากลุงสนั่นเผู้ซึ่งเป็นเจ้าของโฮมสเตย์ขนานแท้ตามวิถีชาวบ้านเอ่ยปากชวนผมมาหลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่คำครั้งนี้เป็นการพูดต่อหน้าผมเมื่อผมได้มาเยือนถิ่นนี้ ถิ่นที่เขาว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่คงไม่ใช่แค่น้ำทั่วไป คงรวมไปถึงน้ำใจด้วย

    พื้นที่บ้านส่วนหนึ่งในวันนี้มีครอบครัวใหญ่มางานรับปริญญาหลาน ต้องการหาที่พักราคาไม่แพง อืม ถ้าเทียบกับที่พักแถวนั้นส่วนใหญ่แล้วจะราคาแตะพันกันเยอะ จะมีก็บ้านลุงสนั่นเนี้ยแหละที่ราคาหลักร้อย แถมเขามากันตั้ง 25 คน เลยขอต่อรองลุงสนั่นแบบเหมา ได้ลดไปอีก โดยแลกกับการที่เขาทำครัว เอาอาหารทำกินกันเองด้วย (ปล. ภาพถ่ายตอนเช้าของอีกวัน เพราะตอนมาถึงผมมาถึงค่ำแล้ว)

     

    ลุงสนั่นพามานอนบ้านด้านที่ติดถนน ซึ่งผมชอบมาก เพราะเป็นส่วนที่บ้านได้รับลมมากสุด ทำให้นอนเย็นสบาย ลมพัดเข้าตลอด

     

    บ้านของลุงมีการเปลี่ยนแปลง ปรับตำแหน่งย้ายครัวไปไว้ที่ ๆ เปิดโล่งมากขึ้น ที่เก่าก็เก็บกวาดให้โล่งเตรียมทำเป็นที่พักเพิ่มขึ้นรับรองนักท่องเที่ยวต่อไป

     

    ลักษณะบ้านเป็นบ้านไม้ทั้งหลัง หลังคา และบ้านในหลาย ๆ ส่วน ลุงเป็นคนทำเอง

     

    ครัวใหม่ที่ลุงทำให้เปิดโล่งมากขึ้น ตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์ 100% ยังขาดการทำจุดบังแดดนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ก็เปิดใช้งานได้แล้ว ครัวใหม่เข้าถึงได้ง่ายกว่าครัวเก่า และลุงอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามาทำอะไรกินกันเองได้ถ้าต้องการ

     

    “กระเบื้องนี้ลุงขอทางวัดมามุงหลังคาเอง” ลุงสนั่นตอบอย่างภาคภูมิใจในความตั้งใจ ลองผิดลองถูก พยายามสร้างสิ่งต่าง ๆ จากตนเอง

    หลังจากเอาของเก็บเรียบร้อย ลุงพาผมมานั่งตรงห้องครัวใหม่แบบเปิดประทุน ซึ่งลุงบอกว่าลุงทำเองเกือบทั้งหลัง ซึ่งเอาจริง ๆ บ้านหลังนี้เกิน 70% ลุงก็เป็นคนทำเองทั้งหมด แม้แต่มุงกระเบื้องเอง ลุงบอกเราไม่รู้ว่าเขาทำไง ก็ดู ๆ เขาแล้วก็มาลองทำเองมันก็ได้ คุยกันได้แป๊บเดียวลุงหยิบเบียร์มาให้ 2 กระป๋อง จริง ๆ ผมก็ปฏิเสธไป เพราะไม่ได้กินเหล้าเบียร์มานานเป็น 20 ปีได้แล้ว ลุงก็บอกนิดหน่อยไม่เป็นไร จึงขอลองแค่กระป๋องเดียวพอ

    คืนนั้นไม่มีอะไรมาก เข้านอนเร็ว เพราะพรุ่งนี้อาจจะต้องตื่นแต่เช้า เพราะการชมยอยักษ์ที่นี่ ชมตอนเช้า พระอาทิตย์ขึ้น สวยที่สุด ผมก็ตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะได้ฟ้าสวย ๆ และได้ภาพตะวันอยู่ในยอซักครั้ง

    • โพสต์-5
    พิรุณ •  มีนาคม 06 , 2560

    พายเรือเองครั้งแรกเพื่อเข้าใกล้ภาพแห่งความต้องการให้มากขึ้น

    6 โมงเช้ากว่า ๆ ลุงพาผมไปขึ้นเรือพาย ต่างจากปีที่แล้วที่ผมนั่งเรือรับจ้างที่ติดเครื่องยนต์ แต่คราวนี้ลุงเขาไม่คิดเงิน อีกอย่างผมเองอยากพายเรือเองอยู่แล้วแม้ว่าจะไม่เคยพายมาก่อนก็ตาม เพราะคิดว่ามันทำให้เราเข้าถึงจุดที่อยากถ่ายได้จริง ๆ ถ้าเราได้พายเอง ซึ่งลุงเป็นห่วงเรื่องคลื่นว่าจะสูงไหม แต่ลุงบอกว่าดูตั้งแต่เช้ามืดแล้ว คลื่นอยู่ในระดับที่ไม่น่ากลัวสำหรับมือใหม่

    เรือพาย พายเรือ ครั้งแรกในชีวิตหลังจากเกินมาได้นานถึง 40 ปี ในการได้จ้วงน้ำด้วยไม้พายให้เรือน้อยแล่นไป

     

    ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่ออกมาชมความงามของพื้นที่ ผมเห็นเรือหางยาวมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างประเทศบ้าง บรรทุกชาวไทยบ้าง ออกมาลอยล่องน้ำกันให้เห็นกันแต่เช้า

    ลุงพายให้ผมก่อนช่วงแรก และแนะนำว่าควรพายอย่างไง แล้วปล่อยผมพายไปจนถึงจุดหนึ่งลุงก็ขึ้นฝั่งปล่อยผมพายไป ถ่ายภาพไปเอง ซึ่งก็พายอยู่แถวยอยักษ์วนไปวนมาตรงนั้นแหละ จะว่าไปก็ไม่ได้พายยากอะไรนะ เพียงแต่ยังไม่ชำนาญ ใช้เวลาตอนจะเข้าจอดในที่แคบ ๆ นั้นแหละ

    พระอาทิตย์หรอ โอ้ย ผมแทบจะไม่เห็นตัวเป็น ๆ นานนักหรอก ช่วงนี้เหมือนจะขี้อายเป็นพิเศษ โผล่มาทั้ง 2 วันช่วงเช้าให้เห็นแบบได้ภาพรวมกัน 2 วันไม่เกิน 10 นาที

    ว่าแต่เรื่องภาพที่ได้มา ยังไม่ค่อยประทับใจ ฟ้าไม่เป็นใจ ผมรอจนกว่าจะเห็นแสงส่องลงมาก็เริ่มสายจนประกายฟ้าเป็นสีฟ้าแล้ว ไม่ใช่สีส้ม ๆ แบบฟ้ายามเช้าตรู่ แต่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ผมจะมาใหม่ วันนี้ก็พายไปถ่ายไปจนถึงต้นลำพูกลางน้ำ

    ผมมาพัทลุง 2 ครั้ง ยังไม่เคยได้ภาพตามคำโปรยของลุงสนั่นซักที ‘ยอยักษ์ ตักตะวัน’ ต้องมาแก้มืออีก ช่วงนี้ผมมาตอนพายุยังมีอยู่ แต่ไม่เป็นไร รอบนี้ได้เจออะไร ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องนอกจากการมาถ่ายภาพอย่างเดียว

     

    กว่าแสงจะเห็นชัด ๆ ก็เลยช่วงเวลาแห่งแสงสีทองไปแล้ว ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า และแสงเป็นสีขาวไปเสียละ นี่คือฟ้าวันแรกที่ได้ ยังดีนะว่าวันที่ 2 ผมได้ฟ้าที่มีดวงตะวันโผล่มาให้เห็นพอจะชัดอยู่ซัก 4 นาที แต่ก็ยังคงอยู่สูงเกินกว่าจะได้ภาพยอยักษ์ตักตะวันที่ดวงตะวันจะต้องอยู่ต่ำมาก ๆ 

     

    พอเห็นพระอาทิตย์กำลังจะพ้นเมฆด้านบน ก็เลยพายเรือไปต่ออีกหน่อย เพื่อจะถ่ายรูปต้นลำพูกลางน้ำ

     

    ลำพูกลางน้ำ กับฟ้าสีฟ้า ก็ ok นะ แต่ผมชอบที่เป็นสีทองแบบปีที่แล้วที่มานั้นมากกว่า

     

    ภาพนี้ถ่ายให้คล้ายกับมุมภาพปีที่แล้ว แต่ปีที่แล้วนั้นเป็นสีทองเพราะยังอยู่ในช่วงเช้ามากกว่านี้ ในภาพนี้ปาไป 8.20 น.แล้ว สายมากแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นสูงจนเปล่งประกายสีขาวเต็มที่ละ

    กลับมาที่บ้านลุงสนั่นก็กินข้าวกินปลา ซึ่งเป็นปลาในพื้นที่นั้นแหละ ลุงสนั้นบอกว่าพรุ่งเช้าจะพาไปดูการเกี่ยวเหยื่อดักปลาชะโด และพรุ่งนี้เช้าลุงจะพาผมไปพายเรือถ่ายรูปอีกครั้ง แต่คราวนี้ลุงว่างพายให้ผมเอง ซึ่งจริง ๆ ผมก็เกรงใจ เพราะคิดว่าพายเรือได้เองแล้ว แต่คิดว่าลุงสนั่นน่าจะเป็นห่วง และแกคงว่างพอดี

    ใต้ถุนบ้านยกสูงพอที่จะเข้าไปนอนเล่นได้ จุดนี้เป็นจุดที่ผมชอบเพราะลมพัดตลอด นั่ง ๆ แป๊บเดียวจะหลับ

    ตอนกลางวันผมไม่ได้ทำอะไรมากนัก รอจนใกล้จะเย็นจึงขี่รถออกไปที่สะพานเอกชัยเพื่อเก็บรูปสะพานทอดตัวยาวเหนือพื้นที่ชุ่มน้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย

    ซึ่งที่นี่ปกติก็มีคนมาจอดตรงจุดเบี่ยงให้รถได้จอดชมวิวกันบ้าง แต่วันนี้คนเยอะกว่าปกติ เพราะมีงานรับปริญญา ทำให้หลายคนมาถ่ายรูปที่นี่กันเยอะจนที่จอดรถไม่พอ ซึ่งจะว่าไป วันนั้นที่บ้านลุงสนั้นก็มีครอบครัวใหญ่มากัน 25 คน มาเข้าพักเพื่อรอไปงานรับปริญญาของหลานเขาด้วยเหมือนกัน

    ตีนสะพานฝั่งที่ใกล้บ้านลุงสนั่น จะมีศาลา และหลักกิโลอันใหญ่ ๆ ไว้ให้นั่งหลบแดดก่อนได้ ผมมาถึงตั้งแต่ยังไม่ 17.00 น. เลยต้องมานั่งถ่ายรูปเล่นแถวนี้ไปก่อน เพราะถ้าขี่รถไปบนสะพานจะไม่มีที่หลบแดดแล้ว

     

    เหนือพื้นดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำที่มองดูในบางฤดูแล้วก็เหมือนเรียกว่าพื้นน้ำน่าจะดีกว่าด้วยซ้ำ ที่แห่งนี้เป็นแหล่งอาหารให้สัตว์ต่าง ๆ นกหลากหลายสายพันธุ์ ปลา ควาย และคน

     

    สะพานที่วางตัวเหนือพื้นที่ชุ่มน้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ถนนดี ขับได้ไหลลื่น แต่ช่องทางแค่ 2 เลนรถสวนกัน ขับขี่ให้ระวังคนที่มาเยี่ยมชมด้วย โดยเฉพาะเย็น ๆ ที่คนจะเยอะหน่อย

     

    แดดเริ่มอ่อนแรงลง ก็ได้เวลาขี่รถไปเที่ยวชมบนสะพาน ว่าแต่เจ้า SYM GTS 300i ABS ดูเข้ากับสะพานอยู่นะ 555 ว่าไปนั่น

    แต่ฟ้าช่วงนี้แม้ตอนเย็นก็สลัว ๆ ไม่เห็นพระอาทิตย์เป็นลูก ผมคิดว่าบางวันอาจจะมีโอกาสได้เห็นก็ได้ แต่ส่วนใหญ่คงเป็นแบบนี้ ช่วงฟ้าเปลี่ยนฤดูก็คงเป็นแบบนี้แหละ ถ่ายรูปได้พักนึง รู้สึกว่าไม่ได้ภาพเด็ด ๆ เท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไร ชาตินี้ผมคงกลับมาที่นี่อีกหลายสิบครั้งแน่นอน อย่างไงต้องได้ภาพที่ชอบจากที่นี่ซักครั้งแหละ ว่าแล้วก็ขี่รถกลับบ้านลุงสนั่น ซึ่งก็ไม่ได้ไกลจากสะพานเอกชัยมากนัก ใครมีมอเตอร์ไซค์ หรือรถยนต์มาก็สบาย ไม่มีก็ยืมลุงสนั่นได้ ลุงสนั่นมีมอเตอร์ไซค์คันเก่ามาก ๆ อยู่คัน ลุงให้ยืมใช้ได้ฟรี ๆ แต่ขับขี่ช้า ๆ ระวังหน่อย เพราะมอเตอร์ไซค์เก่ามากแล้ว และก่อนยืมคงต้องบอกลุงล่วงหน้า เพราะลุงแกมีรถคันเดียว เผื่อลุงจะต้องใช้ไปทำธุระจะได้จัดแจงจัดการได้ถูก

    เราจะเห็นภาพควายน้ำจากบนสะพานได้ไม่ยาก ถ้ามาเร็วซักหน่อย ก็จะเห็นมันหากินไปทั่ว ใกล้สะพานบ้าง ไกลบ้าง ในภาพนี้เหมือนมันจะเตรียมตัวเข้าที่พักแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ได้สอบถามลุงสนั่น ลุงบอกว่าแถวนั้นเป็นที่นอนของมัน

     

    มีงานรับปริญญาณ ทำให้วันนี้สะพานเอกชัยมีคนมาเยือนเยอะกว่ารอบก่อนที่ผมมาแบบผิดหูผิดตาเลย ที่จอดรถเบี่ยงพักชมข้างทางถึงกับมีจำนวนไม่มากพอที่จะรองรับรถ รถก็จอดตามข้างทางแบบนี้ ต้องระวังให้มาก

     

    มุมยอดนิยมที่ช่างภาพชอบมาถ่ายรูปกันบนสะพานเอกชัย ก็คือบ้านร้างแห่งนี้เนี้ยแหละ

    ตกกลางคืนก็นั่งคุยกับลุงเรื่องช่วงที่น้ำท่วมภาคใต้ ลุงบอกแถวนี้เมื่อเทียบกับปีก่อนโน้นนนนน ลุงบอกน้ำท่วมแค่อก ไม่สูงเหมือนปีก่อนโน้นนนน แต่ครั้งนี้แย่มาก ๆ ตรงที่ มันท่วมแล้วไม่ทันลดก็ท่วมต่อซ้ำกัน 4 - 5 ครั้งติด เลยทำให้หลายคนลำบาก

    ผมถามลุงว่าลุงอยู่กันอย่างไงตอนน้ำท่วม ลุงบอกก็ปกติดี ลูกค้าเข้าพักก็ยังมี เพราะลูกค้าบางคนเขาตั้งใจมาพักตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ส่วนตัวลุงเองเขาก็ไม่รู้สึกลำบากอะไรมากนัก เพราะข้าวปลา ก็หากินได้ ไม่ถึงกับแย่

    • โพสต์-6
    พิรุณ •  มีนาคม 06 , 2560

    แสงสีทองบนพื้นที่ด้ามขวานทอง

    วันนี้ท้องฟ้ายามเช้ายังไม่สู้ดี เมฆเยอะ แต่ก็ยังพอได้ภาพช่วงพระอาทิตย์ทอแสงสีทองส่องลงมารวม ๆ แล้วประมาณ 10 นาทีเห็นจะได้ - -’ ซึ่งวันนี้ลุงเป็นคนพายเรือให้กับผมเองเลย ถือว่าได้ภาพที่น่าสนใจมาบ้าง

    เช้าวันใหม่ คราวนี้ลุงอาสาพายเรือให้ และจะพาไปดูการดักปลาชะโดด้วย ดูแล้วลักษณะฟ้าก็ไม่ต่างจากเมื่อวาน

     

    ยังเช้าอยู่ แต่ก็เริ่มเห็นชาวบ้านพายเรือออกมาขึ้นยอเพื่อเตรียมหาปลาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บางคนก็มาขึ้นยอตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดีเลยละมั้ง

     

    ขึ้นยอแล้วก็เฝ้ารอ ยอบางอันก็มี 2 ฝั่งเลย แต่บางอันก็มีฝั่งเดียว ถ้ามีฝั่งเดียวก็นั่งรอกันหน่อย

     

    ลุงสนั่นพูดคุยกับชาวบ้านอยู่ตลอดที่พายเรือผ่านเข้าไปใกล้ใคร

     

    เช้านี้ได้ปลาแน่ มันแน่อยู่แล้ว หน้าแต่ละคนจึงยิ้มแย่มแจ่มใส

     

    แสงวันนี้ดูมีบางจังหวะที่ดูน่าสนใจไม่น้อย

     

    ยืนล่องเหนือพื้นน้ำ

     

    ปลาเนี้ยเยอะขนาดไหนก็ไม่แน่ใจ แต่จะเห็นนกบินโฉบลงมาบ้างบางที บางวัน แล้วก็ถลาขึ้นไปพร้อมกับปลาในปากกันเลย

    แต่เราไม่ได้ไปไหนไกล กลับมากินข้าวต่อ แล้วสาย ๆ ลุงพาออกไปเก็บปลาที่วางเหยื่อดักไว้ เป็นปลาชะโด

    ลุงบอกว่าปลาชะโดจะมีจนถึงช่วงมีนาคมนี้เท่านั้น หลังจากนั้นจะไม่มีแล้ว ใครอยากกินปลาชะโดสด ๆ ตัวใหญ่ ๆ ก็ต้องมาช่วงนี้แหละ ซึ่งวันที่ผมไปดูนั้นลุงดักมาได้ 3 ตัว อีกวันก็ 5 ตัว วันตอนผมกลับได้ 10 ตัว คือว่าได้เยอะมาก ๆ

    ลักษณะของการตกปลาชะโดด้วยเบ็ดเกี่ยวปลาเป็น ๆ ไว้ในน้ำ แล้วปลายอีกด้านเกี่ยวกับกิ่งไม้อ่อน ๆ ไหว ๆ ให้เหยื่อกระดิกไปมาได้ ลุงบอกวางไว้แบบนี้ทั่วไป บางวันได้ปลา 2 ตัวบ้าง 10 ตัวบ้าง

     

    ลุงวางเหยื่อดักตั้งแต่เช้ามืดเลย เห็นป้าบอกว่าลุงเป็นคนนอนตื่นเร็วมาก บางทีตี 2 ตี 3 ก็ตื่นแล้ว สาย ๆ ก็มาดูที่เหยื่อล่อว่าได้ปลาไหม ซึ่งปลาชะโดจะออกมาให้จับแบบนี้แค่ถึงช่วงมีนาคมนี้เท่านั้น เลยเดือนนี้ไปก็หายากแล้ว

     

    ลุงบอกให้ถ่ายเก็บไว้ โชว์ปลา 2 ตัว แล้วดูเจ้าเหมียวมารุมล้อมกันเลยทีเดียว

    เย็นวันนี้ ไปดูแถวสวนพฤกษศาสตร์ ลุงบอกว่ามีต้นดอกจิกอยู่ในนั้น ลุงจำที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อปีก่อนได้ว่า ผมอยากถ่ายรูปที่กระบี่ หนองทะเลที่มีดอกจิกหล่นเยอะ ๆ ลุงเลยให้เข้าไปดูในสวนพฤกษศาสตร์ ซึ่งห่างออกไปจากบ้านลุงแค่ 500 เมตรเห็นจะได้ แต่ผมไม่ได้เข้าไป เพราะเขาปิดประตูไว้ มาทราบภายหลังจากลุงว่า ให้เข้าไปได้ เขาปิดไว้เฉย ๆ ขอแค่เข้าไปช่วงเวลาทำการก็เข้าได้ตามปกติ ผมเลยไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปในสวนนั้นเลย

    • โพสต์-7
    พิรุณ •  มีนาคม 06 , 2560

    ชมเกาะกระ บ้านรังนก

    วันนี้ตอนสาย ๆ ลุงพาผมพายเรือไปดักปลาชะโดเช่นเคย และพาไปดูดอกไม้ กับดอกหญ้าที่ขึ้นตามตลิ่งด้วย ลุงหวังว่ามันจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้อีกแหล่ง แต่ผมมองว่ายากอยู่ เพราะนักท่องเที่ยวเข้าถึงยาก มันไม่เหมือนดอกบัว ดอกอยู่ตามตลิ่ง และมีไม่เยอะนัก จากนั้นลุงพาผมไปตัวเมืองเพื่อไปซ่อมมือถือ แต่คราวนี้ใช้มอเตอร์ไซค์ของผมไปแทน เพราะไปไกลหน่อย และไปหลายที่

    เจ้าของโรงแรมหาดทองรีสอร์ท ซึ่งเป็นผู้ดูแลเกาะกระ ใครอยากไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมจะต้องติดต่อกับทางโรงแรมเท่านั้น เพราะประตูทางเข้าถ้ำจะต้องเปิดล็อคด้วยกุญแจของทางโรงแรม แต่ส่วนอื่นของเกาะสามารถเข้าไปชมได้ตลอด

     

    ท่าเรือเกาะกระ เป็นท่าเรือแบบง่าย ๆ เกาะก็ไม่ได้ใหญ่มาก แต่เป็นที่นิยมของชาวมาเลเซียมาก

     

    ถ้ำกระจก เป็นเหลือบหินลึกเข้าไปหน่อย ไม่ถึงกับเป็นถ้ำหรอก แต่มีน้ำขัง ดูแล้วสะท้อนกับด้านบน พื้นที่ไม่ใหญ่ เป็นจุดแรกที่เจอตั้งแต่เดินขึ้นเกาะกระ ซึ่งร่มรื่น เย็นสบายดี

    ฝากโทรศัพท์ไว้ที่ร้านซ่อม แล้วก็เลยต่อไปที่โรงแรมหาดทองรีสอร์ท ซึ่งเจ้าของเขาเป็นผู้ดูแล และพัฒนาเกาะกระอีกที คุยกับเฮียอยู่พักใหญ่ก่อนจะได้ลงเรือ โดยเฮียเจ้าของอาสาเป็นไกด์แนะนำเกาะกระ เกาะที่ผมมองว่าเป็นเกาะแห่งศรัทธา มีชาวมาเลเซียนิยมเข้ามาในประเทศไทยเพื่อมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเกาะกระแห่งนี้ ซึ่งจริง ๆ เกาะนี้ใครก็ขึ้นมาได้ครับ เดินรอบเกาะแค่ 10 - 20 นาทีก็ครบรอบ เกาะเล็ก เดินง่าย เพราะทางโรมแรมหาดทองรีสอร์ทเขาพัฒนามานานแล้ว ทำทางเดินไว้ดีเลย แต่ว่าจะเข้าไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมไม่ได้ เพราะมีกุญแจล็อคไว้ ต้องไปเอากับทางโรงแรมครับ

    เฮียอาสามาด้วย มาอธิบายแต่ละส่วนของเกาะให้ผมกับลุงฟัง จริง ๆ ลุงสนั่นเคนมาที่เกาะนี้ พาหลายคนมาเที่ยวแล้ว แต่ลุงไม่ได้ติดต่อกับเฮียโดยตรง ทำให้ไม่เคยเข้าไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม

     

    มุมนี้ มีรูปปั้นเล็ก ๆ เรียง 12 ราศี และมีหน้าผาเล็ก ๆ ที่มีหินรูปร่างคล้ายพระกำลังพนมมือไหว้ไปทางทะเล

     

    อันนี้ถ้ำเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งทางโรงแรมเป็นคนลงทุน ลงแรงในการพัฒนาเกาะนี้ทั้งเกาะ ได้รับเงินบริจาคจากทางมาเลเซียบ้าง เงินทุนของโรงแรมบ้าง

     

    เห็นเฮียบอกเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ มีคนที่ชอบสะสมมาขอซื้อต่อในราคาสูงมาก แต่เฮียไม่ขาย แล้วจริง ๆ แม้ว่าเกาะจะเล็ก แต่ก็มีหลายจุดที่มีลักษณะเกี่ยวกับความศรัทธาอยู่ เหมือนเกาะที่มาขึ้นเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิสิทธิ์เป็นสิริมงคลกับตัวเอง

    • โพสต์-8
    พิรุณ •  มีนาคม 06 , 2560

    ก่อนกลับกรุงเทพ

    หลังจากอยู่ใต้มา 6 วันเห็นจะได้ ผมเฝ้ามองท้องฟ้ายามเช้า ยามเย็นตลอด และตัดสินใจไม่ไปกระบี่ และพังงาต่อ เพราะคิดว่าโอกาสที่จะได้ท้องฟ้าสวย ๆ อาจจะยากไปนิด กลับบ้านก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่ก็ยังได้ แม้ว่าลุงสนั่นจะชวนให้อยู่ต่อ แต่ผมก็ขอลาลุงกลับในเช้าวันรุ่งขึ้นแทน ก่อนกลับก็ยังได้นั่งคุยกับป้าจำเนียง ซึ่งเป็นภรรยาของลุงสนั่นอยู่นาน เพราะลุงออกไปเก็บปลาที่ดักไว้เช่นเคย

    ถนนด้านหน้าของบ้านลุงสนั่น ซึ่งแถวนั้นเป็นถนนราดยางดีหมดครับ แต่ตอนเลี้ยวเข้าบ้านจะเป็นถนนดินอัดแน่นโรยหินกรวดลอย ทั้งรถยนต์ และมอเตอร์ไซค์มาได้สะดวกครับ ใครมาเองไม่รู้ว่าบ้านลุงสนั่นตรงไหน ให้สังเกตุป้ายหน้าร้านฝั่งตรงข้ามบ้านลุงสนั่นป้ายใหญ่ ๆ นั้นก็ได้ครับ สังเกตุง่ายดี

     

    ถ้ามองจากถนนไปที่บ้านลุงสนั่นจะเห็นเป็นบ้านเรือนทรงไทยแบนี้ครับ

    ใครสนใจจะพักกับลุงสนั่นก็ลองโทรไปคุยกับลุงได้ครับ เบอร์ของลุง 081-738-8271 ซึ่งบ้านพักของลุงรองรับคนได้เยอะครับ 30 - 40 คนก็รับได้ เป็นห้องหลายห้อง แต่ละห้องจะมีขนาดใหญ่หลายเตียง นอนรวม ๆ กันได้ ราคาต่อหัวอยู่ที่ 690 บาท รวมอาหาร 3 มื้อแล้ว ส่วนนั่งเรือรับจ้างตอนเช้าเที่ยวชมจะคิดเหมาะลำละ 2200 บาทครับ นั่งได้ 5 คน

    ถ้าใครไปเยอะมาก ๆ ลองโทรคุยกับลุงโดยตรงเลยครับ เผื่อจะเอาอาหารมาทำกินเอง ลุงก็มีห้องครัวให้ได้ทำกินเองได้ครับ รถมอเตอร์ไซค์บ้าน ๆ เก่า ๆ มีให้ยืมใช้ ลุงแกไม่ได้คิดเงิน แต่ก็ขี่ระวังหน่อย เพราะลุงใช้มันในชีวิตประจำวันด้วย แถมก็เก่ามากแล้ว

    รอบบ้านลุงมีแต่พืช ผักที่เอามาทำอาหารกินกัน

     

    มะพร้าวสุกแล้ว เอามาขูดทำแกงส้มกินคืนนี้กับปลาชะโด ไปตัดลงมาจากต้นมะพร้าวหน้าบ้านสด ๆ เลย

     

    ขูดกันสด ๆ ทำกินกันตรงนั้น มีของวัตถุดิบน้อยชิ้นมากที่ซื้อมา ทำให้สบายใจเรื่องปลอดสารพิษ เพราะลุงปลูกแบบปล่อยมันโตเอง

     

    ลุงขูด ป้าช่วยเตรียมของทำกับข้าว

    รู้สึกลุงสนั่นจะทำแพ็กเก็จทัวร์แบบ 10 คนด้วย หัวละ 3000 กว่าหรือไงเนี้ยแหละ ผมไม่ได้จำเพราะอย่างไงผมก็คงไม่มีคนเดินทางไปด้วยหลัก 10 คนอยู่ละ

    การเดินทางทำได้สะดวกครับ ถนนหนทางดี มีที่จอดรถรองรับได้ 2 - 3 คัน ไปที่พิกัดนี้ได้เลย https://goo.gl/maps/RTwe7gWDnxJ2 หรือจะนั่งเครื่องบินไปลงที่ตรัง แล้วนั่งรถตู้จากตรังมาที่ขนส่งพัทลุง แล้วต่อรถตู้ที่ขนส่งพัทลุงมาผ่านหน้าบ้านลุงเลยครับ บอกคนขับรถว่าลงที่สะพานข้ามคลองปากประครับ ถ้าสงสัยก็โทรหาลุงสนั่นได้เลย แกอาจจะดูพูดตรง ๆ แต่จริง ๆ แกเป็นคนใจดีครับ อย่างผมมาพักกับแก 2 ครั้ง แกก็จะไม่เอาเงินผมตั้งแต่เข้าพักครั้งแรกแล้ว เพราะผมช่วยทำพิกัดในแผนที่ให้แก ช่วยแกดูแลเพจ เพราะแกทำไม่คล่อง มาครั้งนี้แกเอาแต่พูดไม่เอาเงิน ๆ เหมือนเดิม

    • โพสต์-9
    พิรุณ •  มีนาคม 06 , 2560

    สรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริป

    ศุกร์ที่ 17 ก.พ. 2060
       - ค่าน้ำมัน (เติมน้ำมัน 4 รอบ) 1000 บาท
       - ค่าอาหาร (2 มื้อ) 85 บาท

    เสาร์ที่ 18 ก.พ. 2060
       - ค่าน้ำมัน 255 บาท
       - ค่าอาหาร (2 มื้อ) 85 บาท

    อาทิตย์ที่ 19 ก.พ. 2060
       - ค่าน้ำมัน 240 บาท
       - ค่าอาหาร 30 บาท
       - ค่าที่พัก (2 คืน) 480 บาท

    จันทร์ และอังคารที่ 20 - 21 ก.พ. 2060
       - ไม่มีค่าใช้จ่ายเลย

    พุธที่ 22 ก.พ. 2060
       - ค่าน้ำมัน (เติมน้ำมัน 4 รอบ) 930 บาท
       - ค่าอาหาร + ขนม (3 ครั้ง) 159 บาท
       - แวะเข้าศูนย์คาวาซากิ (รถผม SYM แต่ศูนย์ในกรุงเทพบอกผมเข้าศูนย์คาวาซากิที่สุราษได้) เพื่อซ่อมบำรุงตามระยะทาง เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และดูแลอย่างอื่นตามระยะทาง 1100 บาท

    รวมแล้วทั้งหมด 4364 บาท โดยจ่ายเยอะสุดเป็นค่าน้ำมันรถ 55.6% รวมเป็นเงิน 2425 บาท และรองลงมาก็ค่าที่พัก 480 บาท ส่วนค่าซ่อมบำรุงรถ 1100 บาท มันไม่ได้เกิดขึ้นในทริปบ่อยนัก ผมจะถือว่าไม่เกี่ยวแล้วกัน

    อย่างไรก็ดี ใครมาพักกับลุงสนั่นก็ต้องคิดค่าที่พักเข้าไปอีก 690 บาทต่อคนต่อคืน ยกเว้นมากันเยอะแล้วคุยตกลงราคากับลุงได้พิเศษก็ว่ากันไปนะ

    ไก่พวกนี้มี 4 ตัว ไม่แน่ใจว่าลุงเลี้ยงไว้ทำไม แต่ก็เห็นมันอยู่อย่างนี้กันนานละ อยู่กับแมวเยอะแยะเลย ตอนกลางคืนมันจะบินขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อนอนหลับ แต่จะมีเจ้าตัวสีขาว (ไม่อยู่ในภาพ) ที่ตัวอ้วนมาก ลุงจะล้อมันว่ามันบินไม่ขึ้น บินอยู่นานกว่าจะได้ขึ้นไปนอนบนต้นไม้ เพราะมันตัวหนัก

     

    มุมนั่งสบาย ๆ หน้าห้องพักอีกห้อง

     

    ลุงเพิ่งทำห้องครัวนี้เสร็จ ใครอยากทำอะไรกิน หาเตรียมไปทำได้นะครับ

    ระยะทางที่ผมวิ่งไปก็น่าจะประมาณ 3000 กิโลได้ครับ ไม่ได้จำตัวเลขแม่น ๆ เอาแค่คร่าว ๆ ซึ่งเจ้า SYM GTS300i ABS ก็ทำหน้าที่ได้ดีกว่าที่คิดสำหรับการเดินทางไกล จะมีก็แค่เมื่อทำความเร็วเกิน 120 ไป จะรู้สึกความไม่นิ่งของรถ แบบว่าเหมือนศูนย์ถ่วงมันอยู่ค่อนข้างต่ำหรือไงก็ไม่แน่ใจ ทำให้เราสามารถพลิกรถไปซ้ายหรือขวาได้ง่าย ซึ่งก็ดูเหมือนจะดี แต่ที่ความเร็วสูง ถ้ารู้สึกแบบนี้ จะไม่มั่นใจ แต่พอได้ขี่ทางไกลรอบนี้ เหมือนจะเริ่มชิน และร่างกายปรับตัวหรืออย่างไงผมก็ไม่แน่ใจ ทำไมเหมือนผมไม่ค่อยรู้สึกถึงอาการของรถตรงจุดนี้เท่ากับก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้

    แล้วก็ความที่ยังไม่ชินกับน้ำหนักรถประมาณ 200 กิโล (จริง ๆ 198 มั้ง) แล้วพอดีน้ำท่วมใต้ บ้านลุงสนั่นก็โดน ทำให้ดินค่อนข้างนิ่ม รถผมขนของเยอะ จอดไว้ใต้ถุนบ้านลุง บ่ายแก่ ๆ ของอีกวันจะเอารถออกไปวิ่งหาที่ถ่ายรูป ก็พยายามเข็นอยู่นานมาก เพราะล้อหลังมันจมดิน แบบว่าดินมันนิ่มจนรับน้ำหนักตัวรถไม่ได้ ยุบลงไปเยอะมากเป็นร่องพอดีล้อรถเลย ดีว่าเมื่อคืนลุงสนั่นเอาไม้แผ่นมาวางตรงขาตั้งข้าง ไม่งั้นรถล้มแน่ ๆ ส่วนล้อหน้ามันไม่จมดิน เพราะรถพวกนี้หนักหลัง กว่าจะเอาขึ้นเล่นเอาเหงื่อตก นี่ขนาดไม่ได้อยู่บนทางลาดชันนะเนี้ย

    ดอกไม้รอบบ้านไม่ยักจะตายแฮะ โดนน้ำท่วมไปครึ่งอกก็ยังรอดมาได้ ดอกเข็ม และดอกไม่รู้ว่าพันธุ์อะไรบ้าง ถือว่ามันทนเอามาก ๆ เลย

    แล้วก็เรื่องอัตราการกินน้ำมัน เมื่อเทียบกับ M-Slaz และความเร็วที่ใช้ประจำ ถือว่าเพิ่มค่าน้ำมันอีกแค่นิดเดียวแฮะ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ M-Slaz เจ้ารถคันเก่านั้นประหยัดน้ำมันมาก ๆ (เคยทำได้ถึง 50 กิโลต่อลิตรเลยถ้าขับช้า ๆ) แต่ M-Slaz เมื่อผมเอามาเดินทางไกล บางช่วงผมทำความเร็วเกิน 120 ซึ่งเครื่องมันเริ่มถึงจุดสูงสุดของมัน อัตราการกินน้ำมันของ M-Slaz ก็พุ่งสูงมาก ส่วนเจ้า GTS 300i นี่ ขี่ช้า ๆ ก็ได้อย่างเก่ง 33 - 35 กิโลต่อลิตรละมั้ง แต่พอมาทำความเร็วที่ใช้ขี่ทางไกล ประมาณ 110 - 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ไม่ได้กินน้ำมันเพิ่มกว่าเดิมเท่าไหร่เลย ผลก็คือทำให้ค่าน้ำมันของเจ้าคันเก่า และคันใหม่ในการเดินทางไกลออกมาพอ ๆ กัน GTS 300i จะต้องจ่ายค่าน้ำมันมากกว่านิดหน่อยเท่านั้น

    เบาะคนซ้อน น้องผมยืนยันว่า SYM GTS 300i นั่งสบายกว่ารถแม่บ้านอย่าง Spark 115i และ M-Slaz มาก และเทียบกับ Forza ที่น้องเคยไปซ้อนตอนไปดูรถแค่แป๊บเดียว น้องบอกว่า GTS 300i เหมือนจะดีกว่านิดหน่อย

    แมวบ้านลุงสนั่นเยอะมาก ป้าเป็นคนหาข้าว หาปลาให้มันกิน เวลามันไม่กินก็มาปรึกษาลุงสนั่น เป็นห่วงแมวเหมือนลูกเลย

    ส่วนคนขับเอง ผมกลับรู้สึกเมื่อยหลัง คือรู้สึกว่าเป็นภาระกับกระดูกสันหลัง ซึ่งบางคนอาจจะไม่เมื่อยก็ได้ แต่คิดว่าอย่างไงเสีย ท่านั่งหลังตรงมาก ๆ กับการที่ต้องอยู่กับการสั่นสะเทือนเป็นเวลานาน รอยต่อของกระดูกสันหลังจะต้องรับภาระเยอะ ถ้าเมื่อยก็ไม่แปลก ต่างจากเจ้า M-Slaz ที่ผมจะโน้นตัวไปข้างหน้ามากกว่านิดหน่อย ผลคือ จุดหมุนของกระดูกสะโพกมาช่วย ซึ่งไม่เมื่อยหลังนะ น้อยมากที่เมื่อย คงเพราะจุดหมุนสะโพกกับลำตัวนั้นมันออกแบบมาให้หมุนอยู่แล้ว ไม่เหมือนกระดูกสันหลังไม่ได้ถูกออกแบบให้ถูกกดจากแนวตั้งนาน ๆ เรื่องนี้ผมว่าระยะยาวส่งผลกระทบร้ายแรงอย่างมาก ถึงมากที่สุด แต่มันเป็นอาการผ่อนส่ง ใครไม่ระวังตัว คิดว่าเรื่องเล็กน้อย แก่ตัว ชีวิตคงลำบากแน่นอน นั้นทำให้ผมคิดว่าต่อไปนี้คงจะไม่ขี่ทางไกลพักน้อย ๆ แบบตอนขี่ M-Slaz แล้ว (ปกติผมขี่ไปทั่วประเทศ กี่พันกิโลก็จะไม่พักเลย ยิ่งถ้าไม่กินข้าวด้วย ก็เติมน้ำมันแล้วไปต่อ หรือไม่ก็เข้าห้องน้ำแล้วไปต่อ ไม่มีการจอดพัก) ซึ่งก็ดีแหละ พักบ่อย ๆ ได้จิบน้ำบ่อย ๆ กับการขี่ทางไกลด้วยก็ดีแล้ว ผมเคยหลับในจนเกิดอุบัติเหตุมาแล้วครึ่งนึง สาเหตุนอกจากพักผ่อนน้อย ก็มีเรื่องการขี่รถไม่ค่อยพัก แถมรอบนั้นขี่ช้า และไม่ได้กินน้ำเท่าไหร่ด้วยเนี้ยแหละ

    เรื่องศูนย์ที่กังวล ๆ มาตลอดว่าศูนย์น้อย ซึ่งก็น้อยจริง ๆ แต่ตอนกลับ รถผมถึงรอบการเข้าเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และซ่อมบำรุงส่วนต่าง ๆ จะวิ่งกลับกรุงเทพเลย มันก็ไม่ได้ เพราะจะเลยระยะไปหลาย 100 กิโล ผมจึงโทรหาศูนย์ที่กรุงเทพ ทางนั้นแจ้งว่าที่สุราษฎร์ธานีมีศูนย์อยู่ ผมจึงแวะไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และเช็คอุปกรณ์ตามระยะได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ารอบการซ่อมบำรุงมีการต้องเปลี่ยนอะไหล่เสื่อมสภาพตามระยะอาจจะเกิดปัญหาได้ ถ้าที่ศูนย์ต่างจังหวัดไม่มีของพอดี ซึ่งคิดว่า ส่วนใหญ่น่าจะมีของนะ ปัญหาที่อาจจะเจอน่าจะเป็นเรื่อง ศูนย์ไม่ใช่ศูนย์โดยตรง อย่างไปสุราษฎร์ธานี ผมก็วิ่งหาร้าน ร้านให้ไปเข้าร้านสาขาซึ่งเป็นร้านของคาวาซากิที่เป็น Big Bike เลย ทำให้เขาไม่มีหรอกนะอะไหล่พวกเนี้ย ดีว่ารอบนี้แค่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเท่านั้นเอง

    ปลาที่จะเอามาทำกิน ชะโด ลุงบอกว่ามันมาก เนื้อแน่น อร่อย

    นอกนั้นก็ไม่มีอะไรละเรื่องรถ คงต้องไปเสริมกำลังให้กับตัวเอง เพื่อคุมรถตอนวิ่งช้า ๆ เข็น เพื่อเตรียมรับมือกับเส้นทางที่มันไม่ได้วิ่งง่าย ๆ แบบนี้เสมอไป เพราะตอนนี้รู้สึกว่าแรงตัวเองไม่เยอะมาก เวลารถไม่ได้วิ่ง การจะจัดการท่าทางของรถ ทำได้ลำบากเพราะน้ำหนักตัวของรถเองเนี้ยแหละ