Sawasdee Singapore Lah มือใหม่จะพา......ไปเที่ยวสิงคโปร์ # 3

ทริปนี้เราไป 3 วัน 2 คืน ขอแบ่งรีวิวเป็น 3 ตอน เพื่อจะได้ไม่ยาวเกินไปนะคะ

 

Day 1 : Changi Airport ==> Porcelain Hotel ==> ==>Sri Mariamman Temple ==> Tooth Relic Buddha Temple ==> Maxwell food center ==> Fort Canning Park ==> Helix Bridge อ่านรีวิวได้ที่นี่ค่ะ https://www.thetrippacker.com/th/review/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B5SINSingaporeChangiAirport/10981

 

Day 2 : Universal ==> Siloso Beach ==> Palawan Beach ===> Supertree Grove อ่านรีวิวได้ที่นี่ค่ะ https://www.thetrippacker.com/th/review/SingaporeSingapore/10985

 

Day 3 : Ya kun Kaya Toast ==> Hajilane ==> Garden by the bay ===> Changi Airport ===> Don Muang

****************************************************************************

ฝากติดตามผลงานเพจ FB https://www.facebook.com/travelandoutdoors/

ขอบคุณสำหรับทุกไลค์และแชร์ค่ะ ^V^

******************************************************************************

 

Day 3 : (February 20, 2017)

08.30 น. ทำการ check out และฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อน จากนั้นเปิดอากู๋ เพื่อไปตามหาร้าน Toast ในตำนานกันค่ะ Ya kun Kaya Toast ร้านนี้อยู่ใกล้ที่พักเราเลย เดินไปจนสุดซอยเหมือนเมื่อวานแล้วเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุม เดินตรงไปข้ามถนนตรง 4 แยกแรกที่เจอ มองตรงไปจะเห็นสะพานลอยอยู่ด้านหน้า ให้ข้ามสะพานลอยไปฝั่งตรงข้าม

ถ้าไปไม่ถูกลองถามอาแปะกลุ่มนี้ดูนะคะ

 

เดินตรงเข้าไปในซอยประมาณ 50 ม. จะเจอร้านพอดีค่ะ 

 

09.30 น. สายๆ แบบนี้คนก็ยังแน่นร้านนะคะ หนุ่มสาวออฟฟิศแถวนี้ยังมานั่งทาน toast กันอยู่เลยค่ะ

 

Kaya หมายถึง สังขยา Kaya Toast คือขนมปังสังขยานั่นเองค่ะ เป็นอาหารเช้ายอดนิยมของคนสิงคโปร์ ทางร้านจะมีให้เราเลือก 2 แบบคือ

Set A : จะเป็นขนมปังอบกรอบ (คอนเฟิร์มว่ากรอบมาก) ใส้เนยกับสังขยา + ไข่ลวก 2 ฟอง + เครื่องดื่ม

 

Set B : จะเป็นขนมปังอบแบบนิ่มๆ โปะไข่ไว้ด้านหน้า ทานพร้อมกับสังขยา + ไข่ลวก 2 ฟอง + เครื่องดื่ม

 

จากที่ชิมทั้ง 2 แบบ เราชอบแบบกรอบมากกว่าค่ะ รสเค็มของเนยตัดกับรสหวานของสังขยาเข้ากันมาก เนื้อขนมปังกรอบ ทานจิ้มกับไข่ยิ่งอร่อยค่ะ เครื่องดื่มเราเลือกชาเย็น รสชาติดี ไม่หวานมาก 

++ เครื่องดื่มมีให้เลือกว่าจะเอา ชา/กาแฟ แบบร้อน/เย็น++

++ถ้าเป็นสาขาอื่นเมนูอาจจะหลากหลายกว่านี้นะคะ เข้าไปดูในเวปมีเมนูน่าลองหลายอย่างเลยค่ะ++

 

10.00 น. นั่งรถไฟฟ้าสายสีม่วงจาก China Town มาลง Little India เพื่อเปลี่ยนสายสีน้ำเงินมาลงสถานี Bugis ทางออก B ให้เดินมาเรื่อยๆตามถนน Orphi rd. จนถึงสี่แยกที่ตัดกับถนน North Bridge rd. มองฝั่งตรงข้ามก็จะเจอ Haji Lane ค่ะ

 

Haji Lane เป็นซอยเล็กๆ ไม่ยาวมาก

 

จุดเด่นของที่นี่คือมี Graffiti คือการพ่นหรือเขียนลวดลายบนกำแพงสวยๆ สีสันสดใส


 

 

 

 

ร้านค้าในซอยแถบนี้จะมีการตกแต่งสีสันจัดจ้าน ไม่ยอมน้อยหน้ากันเลย เข้ามาในซอยนี้ Colorful มากอ่ะแกร ^V^

 

 

 

ถ้าถามว่ามาที่นี่มีอะไรให้ทำบ้าง นอกจาก เดินเสพงานศิลป์ ถ่ายรูปชิลล์ๆ แล้ว ก็มีร้านให้ช็อปปิ้งค่ะ ร้านมวยไทยก็มีนาจา (ไม่แน่ใจว่าเป็นร้านขายอุปกรณ์มวยหรือโรงเรียนสอนชกมวยค่ะ)

 

 

 

 

 

อากาศร้อนๆ แบบนี้ สั่งเครื่องดื่มเย็นๆสักแก้วมานั่งจิบก็เข้าทีดีนะคะ มีมุมน่านั่งหลายมุมเลย 

 

 

แม้แต่จักรยานก็ยังจะ Colorful กะเค้าด้วย ^V^

ถ้าใครไม่ได้แวะมาที่นี่ถือว่าพลาดมั๊ย???? เราว่าก็ไม่นะ.....เพราะกราฟฟิตี้แบบนี้ที่เมืองไทยก็มีเยอะ แต่ถ้ามีเวลาเราอยากให้แวะมาค่ะ มันเหมาะแก่การแวะมาถ่ายรูปก่อนจะไปเที่ยวที่อื่นต่อ^V^ 

 

 

10.30 น. ออกจาก Hajilane ขึ้นรถไฟสายสีน้ำเงินจากสถานี Little India มาลงที่สถานี Bayfront เพื่อมาเก็บที่หมายสุดท้ายของเราในทริปนี้ Garden by the Bay เจอสัญลักษณ์แบบนี้แสดงว่าใกล้ถึงแล้วค่ะ

 

ทางเดินในสวนจะมีการตกแต่งเป็น Chinese Garden กับ Indian Garden ด้วยนะคะ ใครมีเวลาแวะเก็บภาพก่อนได้ค่ะ

 

 

 

 

 

ที่นี่แบ่งออกเป็น 2 โดมคือ Flower dome กับ Cloud Forest ทางเข้าจะอยู่ตรงข้ามกันเลยค่ะ

 

 

11.00 น. เราเลือกเข้า Flower dome ก่อนค่ะ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า "โดมดอกไม้" ดูทางเข้าซะก่อนว่าสวยขนาดไหน อยากเห็นด้านในไวๆล้าววววววววววว

 

 

 

โดมนี้จะมีพื้นที่กว้างแต่เตี้ยกว่า Cloud Forest เป็น Greenhouse ขนาดใหญ่ ควบคุมบรรยากาศให้เย็นและแห้งคล้ายๆเมดิเตอร์เรเนียน จึงสามารถปลูกได้ทั้งพืชที่ทนสภาพอากาศแห้งอย่างพวก ปาล์ม แคคตัส ไปจนถึงไม้ดอกเมืองหนาว

ด้านในจะแบ่งป็น 2 ชั้น โดย ชั้นบนจัดแต่งเป็นสวนสไตล์ต่างๆ

 

 

 

 



 

 

 

 

 

 

ส่วนชั้นล่างจะเป็น ไม้ดอกเมืองหนาว

 

 

 

 

จุดเด่นของชั้นนี้คือ ศาลากลางสวนหลังนี้ค่ะ ถูกห้อมล้อมไปด้วยดอกไม้สวยๆ

 

 

 

บางดอกก็ทำให้ประทับใจ ดอกขนาดใหญ่ หรือดอกสีดำที่หาดูได้ยาก

 

 

เดินดูได้อย่างเดียว อย่าเผลอเด็ดดอกไม้นะคะ เพราะเค้ามีบอร์ดี้การ์ดคอยเฝ้าดูอยู่ เป็นอีกอย่างที่เราจะเจอทั่วสวนเลยค่ะ ^V^

 

 

 

เดินดูดอกไม้จนทั่วแล้วเราย้ายไปโดมที่สองบ้างดีกว่าค่ะ

 

13.00 น. Cloud Forest หรือโดมป่าหมอกชื้น เป็นโดมสูงแต่มีขนาดเล็กกว่า Flower Dome ความสูงขนาด 35 เมตร หรือประมาณตึกสิบชั้น

 

จุดเด่นของของโดมนี้เมื่อเดินเข้ามาคือ "น้ำตกจำลองสูง 30 เมตร" เป็นน้ำตกจำลองที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงขนาดนี้ทำให้เกิดละอองน้ำกระจายเต็มพื้นที่เลยค่ะ ^V^

 

โดมนี้จะจำลองบรายากาศของป่าดิบชื้น สามารถปลูกได้ทั้งพืชจากที่ราบสูงไปจนถึงพวกมอส เฟิร์น ต่างๆ อากาศจึงเย็นกว่าโดมแรก 

 

 

ภายในโดมมี ทางเดินลอยฟ้าสำหรับให้เราเดินชมวิวของภูเขาจำลอง

 

การชมจะใช้วิธีขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุด แล้วค่อยๆเดินลงมาชมทีละชั้นค่ะ 




 

ที่ชั้น 4 จะเป็นจุดแสดงของ Crystal Mountain ที่นำมาจากหลายประเทศ โดยมีป้ายบรรยายให้เราได้ทราบด้วยค่ะ

 

 

 

 

เดินดูทั้ง 2 โดมจนเหนื่อยแล้ว เราออกไปหาอะไรทานด้านนอกกันดีกว่าค่ะ ที่นี่จะมี Food court อยู่ด้านหลัง Cloud Forest ชื่อ Satay by the bay แน่นอนว่าอาหารขึ้นชื่อของที่นี่คือ "สะเต๊ะ" นั่นเองค่ะ

สะเต๊ะ 10 ไม้ ราคา 7 เหรียญ สามารถเลือกได้ว่าจะทานหมู เนื้อ ไก่ หรือแบบรวมก็ได้ค่ะ น้ำจิ้มหวานมันคล้ายๆของไทยแต่รสจะอ่อนกว่า มีเครื่องเคียงเป็นแตงกวาและหอม แต่ไม่มีน้ำอาจาด

 

ส่วนอีกจานเราสั่ง Chicken Wing ไก่ย่างทานกับข้าวสวย จิ้มซอสหวาน ราคา 5 เหรียญ

 

หลังจากสั่งอาหารและจ่ายเงินเรียบร้อย ทางร้านจะให้เครื่องรับสัญญาณและบอกให้เรากลับมานั่งรอที่โต๊ะ เมื่ออาหารทำเสร็จเครื่องรับสัญญาณจะมีไฟติดและส่งเสียงร้อง เพื่อเป็นการแจ้งให้ทราบว่าอาหารของเราพร้อมรับแล้วค่ะ

 

มื้อนี้เราให้ผ่านทั้ง 2 จานค่ะ รสชาดใช้ได้ ^V^

 

 

16.30 อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลากลับบ้านกันแล้วค่ะ นั่งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินจากสถานี Bayfront ไปลงที่ Chinatown เพื่อกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม จากนั้นนั่งรถไฟฟ้าสายสีเขียวจาก Chinatown มาลงที่ Outram Park เพื่อเปลี่ยนสายสีเขียวมา Changi Airport

 

มาถึงสนามบินภาระกิจแรกที่เราต้องทำคือตรงไป Ticket office เพื่อ Refund เงินค่ามัดจำบัตรคืนค่ะ 


 

จากนั้นขึ้นลิฟท์ไปที่ Departure Hall ณ.เพลานี้ ต้องเช็คนะคะว่าสายการบินของเราอยู่ terminal ไหน Airasia อยู่ Terminal 1 ค่ะ

 

เดินตามป้าย Skytrain to Terminal 1 เพื่อขึ้นรถไฟฟ้าค่ะ

 

เมือมาถึง Terminal 1 เราจะพบเคาน์เตอร์ Airasia อยู่ใกล้ประตูทางเข้าด้านขวามือเลยค่ะ

 

 

ถ้า check in online มาแล้ว ยื่น Passport + Boarding pass ไปต่อแถวรอโหลดกระเป๋าได้เลยค่ะ

 

อย่าลืมเช็คด้วยนะคะว่าเครื่องเราออก Gate ไหน จะได้ไปรอถูกที่

 

โหลดกระเป๋่าเสร็จเดินไปพบ ตม.ได้เลยค่ะ ยื่น Passport + Boarding pass + Immigration form เจ้าหน้าที่จะให้เราสแกนนิ้วเพื่อยืนยันตัวตน เป็นอันจบพิธีการ

 

ช่วงต่อจากนี้จะเป็นช่วงที่ อันตรายที่สุดของการเดินทาง เพราะโซนนี้เหมือนมีพลังงานบางอย่างที่ดึงดูดเราให้เดินเข้าไปหา ใครอ่อนแอก็แพ้ไป ช็อปวนไปจนกว่าไฟล์จะออกค่าาาาาา ถือเป็นการจบทริปแบบกระเป๋าเบากันเลยทีเดียว Bye ....bye Singapore ^V^

 

 

****************************************************************************

  • บ้านเมืองเค้าสะอาดมาก เราไม่เจอขยะทิ้งเรี่ยราดตามที่สาธารณะหรือท้องถนนเลย
  • การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสะดวกสบาย ถ้าใครเคยชินกับการเปลี่ยนสถานีรถไฟฟ้าที่สยาม มาที่นี่ก็ไม่ต่างกันค่ะ
  • คนสิงคโปร์จะยืนชิดซ้ายเวลาขึ้นบันไดเลื่อน
  • ที่นั่งบนรถไฟฟ้าใกล้ประตูทั้ง 2 ฝั่งจะสงวนไว้สำหรับคนท้อง คนแก่ เด็ก และคนพิการ คนท้องถิ่นมักจะเลี่ยงไม่นั่งที่ตรงนี้ค่ะ
  • ทริปนี้ไม่ได้ไป Merlion Park กับ Fountain of Wealth นะคะ เพราะ Merlion ปิดซ่อมจนถึงเดือนมีนาคม ส่วน Fountain of Wealth เวลาไม่พอเลยต้องตัดออกค่ะ
  • ข้อห้ามในการเข้าชม Garden by the bay : ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มเข้าไป, ห้ามเด็ดดอกไม้, ห้ามสูบบุหรี่, ห้ามทิ้งขยะ
  • ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ Garden by the bay อ่านได้จากเวปไซด์นี้ค่ะ http://www.emagtravel.com/archive/gardens-by-the-bay.html
  • สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆสำหรับทริปนี้ (11,600.-)
  1. ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ + ที่พัก 2 คืน = 7,500.- (รวมซื้อน้ำหนักกระเป๋าและเปลี่ยนเวลาไฟล์ไป-กลับ ถ้าไม่ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มและเลือกเวลาอื่นราคาจะถูกกว่านี้ค่ะ)
  2. ค่าบัตร USS +GBB = 2,200.-
  3. ค่าบัตรรถไฟฟ้า + ค่ารถ Monorail ไป Sentosa = 600.-
  4. ค่าอาหาร + น้ำดื่ม = 1,300. (คร่าวๆนะคะ)