l 1 ภู 1 ดอย 1 เขา l 3 สถานที่..ถ้าเท้ายังก้าวไหว ไม่ควรพลาด
" แค่อยากรู้ว่า ... "
ในตอนที่เท้ายังพอมีแรง ยังสามารถก้าวไหว
เท้าคู่นี้จะพาเราไปถึงไหนกัน?
และทุกวันนี้ผมก็ยังคงหาคำตอบอยู่
ณัฐพล
ผมเป็นนักเดินทางธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแค่มีวันสำหรับพักผ่อน 2-3 วัน ก็สามารถสะพายเป้และกระเป๋ากล้องเดินทางออกจากเมืองกรุงที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องไปโอบกอดธรรมชาติที่สวยงามในสถานที่ต่างๆทั่วไทยได้
ในการเดินทางในแต่ละครั้งผมได้ทำการบ้านโดยการศึกษาข้อมูลสถานที่นั้นๆก่อนที่จะออกเดินทาง เพื่อที่จะได้เก็บเกี่ยวความประทับใจและประสบการณ์ให้มากที่สุด และสถานที่หนึ่งที่ผมอยากจะไปพิชิตมากที่สุดคือ "โมโกจู ภูเขาป่าฝนแห่งผืนป่าตะวันตก อุทยานแห่งชาติแม่วงก์" ผมได้ศึกษารีวิวต่างๆจนมาถึงรีวิวอันนึงที่มีการแนะนำว่า ...
"ถ้าคุณจะไปพิชิตโมโกจู คุณควรจะผ่านสถานที่ต่างๆเหล่านี้มาก่อน ซึ่งประกอบไปด้วย อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย เขาช้างเผือก-สันคมมีด อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ม่อนทูเล จ.ตาก และ ดอยหลวงเชียงดาว-เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จ.เชียงใหม่"
และในวันนี้ 3 ใน 4 สถานที่ดังกล่าวผมได้พิชิตมาแล้ว จึงอยากขอพื้นที่ the TripPacker นี้เพื่อแชร์ถึง 3 สถานที่รวมถึงคำแนะนำจากประสบการณ์โดยตรง
____________________________________________________________________________________
สถานที่แรกผมขอพูดถึง "อุทยานแห่งชาติภูกระดึง"
อุทยานแห่งชาติภูกระดึงตั้งอยู่ในอำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นสถานที่ที่ใครๆก็สามารถพิชิตได้ง่ายและผมว่าง่ายที่สุด เพียงแค่มีเวลา 3 วัน 2 คืน และมีใจที่พร้อมจะเดินเท้าระยะรวมมากกว่า 50 กิโลเมตร ก็สามารถเดินไปทั่วภูเขารูปหัวใจแห่งนี้
สำหรับการเดินทางถ้าเป็นรถโดยสารสามารถลงรถได้ที่จุดจอดรถผานกเค้า แล้วเหมารถสองแถวไปถึงตีนอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ชำระค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานและค่าเช่าสถานที่กางเต้นท์ที่ทำการอุทยานเสร็จ คุณก็สามารถเดินขึ้นไปได้แล้ว สำหรับเงินที่พกติดตัวประมาณ 2,000 บาท ก็ถือว่าใช้ชีวิตบนภูได้อย่างสบายแล้วครับ บนยอดภูกระดึงมีร้านค้าร้านอาหารคอยอำนวยความสะดวกหลายร้าน อาหารก็จานละ 50 บาทขึ้นไป เนื่องจากร้านค้าต้องจ้างลูกหาบแบกสินค้าขึ้นมาเหมือนกัน บนภูมีบริการห้องน้ำหลายจุด ถือว่าสะดวกสบายที่สุดถ้าเทียบกับอีก 2 สถานที่ที่จะพูดต่อไป
การเดินขึ้นพิชิตยอดภูกระดึง จริงๆควรพูดว่าพิชิตผาหล่มสักมากกว่า เพราะถ้าไปไม่ถึงผาหล่มสักก็เหมือนมาไม่ถึงภูกระดึง หลักๆเราจะเหนื่อยตอนเดินขึ้นมากกว่า เเต่ก็มีลูกหาบคอยให้บริการหาบสัมภาระกิโลละ 30 บาท หาบไปถึงจุดกางเต้นท์วังกวางเลยทีเดียว เดินขึ้นเพียง 5.5 กิโลเมตรเองครับ เเต่จะเหนื่อยที่สุดคือซำเเรก หรือ "ซำแฮก" จากตีนภูมาแค่กิโลเดียว ถ้าเห็นป้ายซำแฮกก็สบายแล้วครับ
เดินขึ้นภูกระดึงจะผ่านจุดพักหรือซำหลายจุดครับ เเต่ละจุดมีร้านค้าคอยให้บริการ และอีกจุดที่จะทำให้เราเหนื่อยคือจุดสุดท้ายหรือ "ซำแคร่" จากจุดนี้ไปยังด้านบนถือว่าชันมาก (แต่ถ้าเทียบกับสันคมมีดของเขาช้างเผือกถือว่าเด็กๆครับ) ปีนบันไดขึ้นมาเรื่อยๆเดี๋ยวก็ถึงด้านบนหลังแปเองครับ บนยอดภูกระดึงหรือหลังแปเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มองจากที่สูงจะเป็นยอดภูกระดึงเป็นรูปหัวใจ หลายคนพาคนที่รักที่ชอบมาบอกรักที่นี่ด้วยแหละ ผมเองก็เคยเห็นคนมาขอแต่งงานกันด้วย ^^จากบันไดก้าวสุดท้ายขึ้นมาสู่หลังแปเราจะเห็นป้ายๆนึงที่มีข้อความว่า "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" เป็นไฮไลท์ของนักท่องเที่ยวทุกคนที่จะบันทึกภาพกับป้ายๆนี้

เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ ที่คุณพิชิตมาแล้ว 5.5 กิโลเมตร แต่คุณต้องเดินต่ออีกกว่า 3.5 กิโลเมตรเพื่อไปถึงจุดกางเต้นท์วังกวาง จากนั้นคุยเรื่องเต้นท์กับเจ้าหน้าที่และรับสัมภาระลูกหาบ โยนเข้าเต้นท์เเล้วไปกันต่อเลยครับ วันแรกของการขึ้นถึงยอดภูกระดึงแนะนำให้ไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกหรือผานาน้อยครับ เพราะเก็บแรงไว้เดินวันที่สองดีกว่า ^^
วันที่สองเราต้องตื่นมาแต่เช้าเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นไปกลับประมาณ 3 กิโลเมตร แล้วค่อยเดินไปที่ผาหล่มสักไปกลับก็ 20 กิโลเมตรเอง ถ้าเดินแวะน้ำตกก็รวมราวๆ 30 กิโลได้ ไหนๆมาแล้วก็เที่ยวให้ครบเลยครับ แนะนำว่าตอนเดินไปผาหล่มสักให้เดินเส้นน้ำตกครับและขากลับให้เดินทางเส้นเรียบหน้าผาจนถึงผานาน้อยก่อนเดินตัดมายังจุดกางเต้นท์ แล้ววันที่สามตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกลับมาเก็บสัมภาระแล้วค่อยลงครับ
บนภูกระดึงมีจักรยานให้เช่าเป็นวันๆครับ ราคาก็ค่อนข้างสูง แต่ผมเองไม่เคยใช้บริการครับ เพราะการปั่นจักรยานบนทรายบางทีอาจจะทำให้เราเหนื่อยกว่าเดินเท้าครับ หลายครั้งเห็นนักท่องเที่ยวเดินเข็นจักรยานด้วย อีกอย่างที่ผมไม่ใช้บริการเพราะการเดินเท้าถึงแม้จะถึงช้า เเต่เราจะได้สัมผัสธรรมชาติตลอดทางครับ
" บางทีรางวัลของนักเดินทางอาจจะไม่ใช่การได้ไปถึงจุดหมาย แค่ดอกหญ้าสวยๆข้างทางก็เป็นรางวัลที่มีค่าแล้ว ^^ "
บนภูกระดึงมีธรรมชาติที่สวยงาม คุณสามารถขึ้นชมได้ 3 ฤดูโดยที่ความสวยงามของที่นี่ไม่เคยซ้ำกันเลยครับ เริ่มต้นด้วยหน้าหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงกุมภาพันธ์ คุณไปได้พับกบ แฮ่ พบกับใบเมเปิลเปลี่ยนสีและทะเลหมอกที่เป็นไฮไลท์
เมเปิลหรือก่วมภูกระดึงจะเปลี่ยนสีใบจากสีเขียวเป็นสีแดงครับ เป็นตัวที่บอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

ตื่นมาเช้าๆไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ถือว่าเดินฝ่าผ่านม่านหมอกเลยทีเดียว ยิ่งถ้าแสงแดดสีทองยามเช้าตัดกับหมอกนี่ สวยเกินคำบรรยายจริงๆ

เดินเช้าๆอากาศเย็นๆครับ ไม่เหนื่อยมาก แถมธรรมชาติสวยงามอีกด้วย 
เดินเรื่อยๆครับ ไม่ต้องรีบ มีดอกไม้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนตลอดทาง ภาพบนหญ้ากระดุมเงินครับ ส่วนภาพล่างดอกหรีดภูกระดึง
สำหรับยอดภูกระดึงพระอาทิตย์ตกที่ไหนก็สวยหมดครับ ไม่ต้องถึงจุดหมายแค่ระหว่างทางก็มีอะไรให้น่าจดจำมากมาย
รางวัลที่มีค่าของนักเดินทางไม่จำเป็นต้องมีอะไรมาก เพียงแต่เห็นภาพธรรมชาติที่สวยงามก็ยิ้มได้ทั้งวันแล้ว ผาหล่มสักตอนตะวันจะลาลับของฟ้า

สำหรับฤดูร้อน ช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม เป็นช่วงที่คนหลายๆคนไม่อยากจะขึ้นภูกระดึงเพราะคิดว่าร้อน ก็จริงครับ ร้อนจริงๆ แต่กลางคืนนี่เย็นสบายเลยครับไม่หนาวแบบหน้าหนาว หน้าร้อนเป็นช่วงที่ดอกกล้วยไม้บานสะพรั่งทั่วภูกระดึงเลยครับและหนึ่งในนั้นคือ เอื้องแซะภูกระดึง กล้วยไม้ที่เป็นไฮไลท์ของภูกระดึงครับ
สิงโตงามมมม กอใหญ่ดอกมากมาย ^^ 
และสิ่งที่ที่บานสะพรั่งทั่วพื้นดิน ว่านมหาเมฆ ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมว่านมหาเมฆจะเริ่มออกดอกให้เห็นกันครับ

ดอกหญ้ากระดุมเงินยามต้องแสงในฤดูร้อน ก็พอที่จะเป็นรางวัลให้เเก่นักเดินทางที่กำลังเหน็ดเหนื่อยได้เลยทีเดียว
สำหรับฤดูฝน เราไม่สามารถขึ้นได้โดยตรงเนื่องจากเป็นช่วงที่ปิดอุทยานเพื่อให้ธรรมชาติฟื้นตัวสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวต่อไป แต่เราก็สามารถขึ้นไปสัมผัสฝนได้ 2 ช่วงคือ ปลายร้อนต้นฝนเดือนพฤษภาคม และปลายฝนต้นหนาวเดือนตุลาคมครับ สองช่วงนี้จะมีน้ำตกที่สวยงามผิดกับตอนหน้าแล้ง 
และถ้าฝนตกมากๆเดินไปตรงหน้าผาเราจะเห็นทะเลเมฆที่ต่ำกว่าจุดที่เรายืนครับ แต่ถ้ามาเที่ยวหน้าฝนจะมีทากที่คอยจะดูดเลือดเราตลอดเวลาครับ เตรียมทุกกันทากกับเสื้อฝนไปด้วยไม่เสียหาย ^^
แนะนำอาหารหน้าฝน ถ้าเป็นช่วงต้นฝน นี่เลยครับเห็ดตามฤดูกาลธรรมชาติสุดๆ :DD

สำหรับอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ถ้าจะพิชิตง่ายนิดเดียวครับ ขอแค่เตรียมใจที่คุณจะต้องเดินเท้าขึ้นมายังยอดภูเขารูปหัวใจแห่งนี้ และเดินไปให้ถึงผาหล่มสัก รับรองไม่ผิดหวังครับ ผมเองขึ้นภูกระดึงมาแล้ว 3 ครั้ง เเต่มีหลายคนที่ขึ้นเป็นสิบๆครั้งครับ
หลายคนถามผมว่าขึ้นไปทำไมหลายๆครั้ง เพียงเพราะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น/ตกเนี่ยน่ะ?
ใช่ครับ ผมขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก เพราะพระอาทิตย์ขึ้น/ตกที่ภูกระดึงสวยไม่เหมือนกันสักวันเลยครับ มันสวยจนถ้าผมมีเวลาว่างจะเป็นสถานที่แรกที่นึกถึง ....


จุดที่ค่อนข้างชันก็จะมีเชือกทำเป็นราว คอยอำนวยความสะดวกให้จับตลอดเส้นทาง
เดินไปเรื่อยๆก็ถึงจุดกางเต้นท์ละครับ มาถึงลูกหาบก็จัดการกางเต้นท์ให้เราทันที จุดนี้ลมเย็นและแรงมากๆ ได้นอนพักกันยาวๆเลย
จุดปีนขึ้นสันคมมีด เป็นจุดที่อันตรายที่สุด 2 ข้างเป็นที่ลาดและชันถ้าตกไปอาจจะได้เกิดใหม่เลยทีเดียวครับ แต่มีเจ้าหน้าที่ 2 คนคอยดูเเลอย่างใกล้ชิดเลยครับ แนะนำให้ว่าต้องก้าวขาข้างไหนก่อน ก้าววางตรงไหน บางทีจับขาวางให้เลยครับ
ถ้าผ่านจุดสันคมมีดมาได้ก็สบายแล้วครับ กว่าจะผ่านมาได้ต้องคลาน ขานี่สั่นระริกๆกันเลยทีเดียวครับ
เดินข้ามอีกลูกก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
บนยอดจะพบกับป้ายที่มีข้อความกำกับว่า "ยอดเขาช้างเผือก ความสูงระดับน้ำทะเล 1,249 เมตร อช.ทองผาภูมิ"
ทัศนียภาพบนยอดเขาช้างเผือก สามารถชมได้ 360 องศาเลยครับ สวยงามมากจริงๆ
ถ้าจะถ่ายพระอาทิตย์ตกบนเขาช้างเผือก ต้องลงมาจากสันคมมีดก่อน เพราะถ้าพระอาทิตย์ตกก่อนมันจะมืดมากครับและจะอันตรายมากๆ จากมุมนี้ก็สามารถมองเห็นจุดกางเต้นท์ครับ


ผมก็เสียเวลากับตรงนี้ก็ครึ่งชั่วโมงสำหรับการถ่ายต้นและดอกพญาเสือโคร่ง และรอลูกหาบแพคกระเป๋าสัมภาระ
แล้วเราก็เริ่มเดินขึ้นกันเลยครับ ตอนขาขึ้นเราได้สัมผัสกับป่าที่หลากประเภทมาก ทั่งป่ายาง ป่าสน ทุ่งหญ้า และเขาหินปูนครับ
ต้นไม้ส่วนใหญ่ที่พบที่ดอยเชียงดาวหลายชนิดเป็นพืชเฉพาะถิ่น หนึ่งในนั้นคือต้นค้อเชียงดาว ที่ตั้งตระหง่านตามสันของยอดเขาหินปูนรวมถึงไหล่เขา หน้าตาคล้ายๆต้นหมากผสมมะพร้าวครับ
เดินขึ้นเรื่อยๆไม่ต้องรีบ ถ้าเหนื่อยก็หยุดพัก รู้ตัวอีกทีก็ถึงจุดกางเต้นท์ ลูกหาบก็จัดการกางเต้นท์ให้เสร็จสรรพ พักผ่อนสักนิดก่อนพิชิตยอดดอยหลวงกันครับประมาณสี่โมงเย็น บนยอดเราก็จะเห็นป้าย “จุดสูงสุด ยอดดอยหลวงเชียงดาว 2,225 เมตร จากระดับน้ำทะเล” และที่สำคัญบนยอดนี้มี 3G ครับ สำหรับอัพภาพและ check in อวดชาวบ้านกันครับ
จุดนี้เป็นจุดที่เราชมพระอาทิตย์ตกกันครับ จากยอดดอยหลวงเราจะมองเห็นดอยสามพี่น้องเป็นภูเขา 3 ยอดเรียงกัน และยอดพีระมิด ภูเขาทรงพีระมิด
นักท่องเที่ยวส่วนมากปีนขึ้นมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกที่จุดนี้ พอพระอาทิตย์ตกก็เริ่มแยกย้ายลงจากยอดไปยังจุดกางเต้นท์ แต่ผมเลือกที่จะอยู่ต่อเพื่อถ่ายดาวครับ และไม่ผิดหวังจริงๆครับ จากจุดนั้นสามารถชมดาวได้ 360 องศาเลยทีเดียว
ถ่ายดาวเสร็จก็กลับลงมาพักผ่อนที่เต้นท์ ค่ำคืนนั้นหนาวมากครับ -3 องศา (ย้ำ ลบสามองศาเซลเซียส) เองครับ
หนาวมากๆครับ นอนต่อพรุ่งนี้เช้ามีภารกิจไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยกิ่วลม

บนยอดมีดอกไม้เฉพาะถิ่นสวยงามหลายชนิดครับ ต้นนี้ชื่อว่าฟ้าครามพยับหมอก
ตันนี้จำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร แต่สวยมากครับ ถึงขั้นต้องปีนหินขึ้นไปถ่ายเลยทีเดียว
การมาชมพระอาทิตย์ขึ้นเราต้องเริ่มเดินจากจุดกางเต้นท์ตีห้า ตีห้าครึ่งครับ ซึ่งตอนนั้นมืดสนิทและมองไม่เห็นอะไร หลังจากกลับจากชมพระอาทิตย์ขึ้นมายังเต้นท์ภาพที่เห็นคือแม่คะนิ้งเกาะตามลานหญ้าทั่วจุดกางเต้นท์เลยครับ
มาโครใกล้ๆครับ เหมือนเอาเกลือไปโรยตามขอบใบไม้ 
