
ทริปนี้ผมออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองตั้งแต่เวลา 07.15 น. โดยมาถึงสนามบินสุราษฎร์ธานีประมาณ 08.30 น. หลังรับสัมภาระเรียบร้อยก็ออกมาติดต่อซื้อตั๋วโดยสารข้ามไปยังเกาะสมุยกับบริษัทซีทรานเฟอร์รี่ นั่งรออยู่ไม่นาน รถก็ออกเดินทางในเวลา 09.10 น. และไปถึงที่ท่าเรือดอนสักประมาณ 10.30 น. โดยเรือที่ข้ามไปยังเกาะสมุย จะมีทุก 1 ชั่วโมง และเรือรอบต่อไปคือรอบ 11.00 น. ซึ่งยังพอมีเวลาเหลือเล็กน้อย ผมเลยหามื้อเช้าทานกันที่ท่าเรือให้เรียบร้อย ที่ท่าเรือมีร้านข้าวแกง และร้านก๋วยเตี๋ยวบริการครับ ค่าอาหารประมาณ 50-60 บาท/จาน ถือว่าราคาไม่แพงครับ จะสั่งนั่งทานที่ท่าเรือหรือจะใส่กล่องขึ้นไปทานบนเรือก็ได้ หรือถ้าใครกลัวไม่ทันเวลา ก็ไปหาซื้อทานบนเรือได้เช่นกัน ด้านบนเรือมีซุปเปอร์เล็กๆ น้องๆ 7-11 ที่จำหน่ายทั้งข้าวกล่อง ขนมจีบ ซาลาเปา มาม่า ขนมขบเคี้ยวทานบนเรือก็ได้ครับ สำหรับตั๋วที่ซื้อจากสนามบิน ต้องเก็บเอาไว้ให้ดีๆ นะครับ เพราะเราจะต้องนำตั๋วไปสแกนก่อนขึ้นเรือด้วยครับ
ถึงแม้ฝนจะเพิ่งหยุดตกไปไม่นาน แต่รับรู้ได้เลยว่าคลื่นทะเลค่อนข้างสูง เพราะเรือเฟอร์รี่มีอาการสู้คลื่น นั่งเรือประมาณ 1.30 ชั่วโมง เรือก็มาถึงที่ท่าเรือหน้าทอนในเวลาประมาณ 12.30 น. เมื่อลงจากเรือแล้ว ฝนเริ่มกลับมาตกพรำอีกครั้ง ตอนแรกผมยังนึกว่าจะต้องเดินออกมาที่ถนนใหญ่เพื่อไปรอคิวรถสองแถว แต่เมื่อเดินขึ้นจากเรือไม่ถึง 50 เมตร ก็เห็นมีแท็กซี่มารอรับผู้โดยสารมากมาย พอเดินผ่านรถแท็กซี่ออกมานิดเดียว ก็พลันเหลือบเห็นคิวรถสองแถวจอดรอรับผู้โดยสารอยู่แล้ว สอบถามคนขับเพื่อให้แน่ใจว่าผ่านหาดเฉวงหรือไม่ (ที่ตั้งของที่พักผม) คนขับพยักหน้า เลยสอบถามราคาให้เรียบร้อยก่อนขึ้นซะก่อน สรุปว่าค่าโดยสารอยู่ที่ 80 บาทครับ
รถสองแถวมาจอดส่งผมที่หน้า บุรี รสา วิลเลจ สมุย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายหาดเฉวง ชายหาดชื่อดังของสมุย อีกทั้งบริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุยด้วย จึงทำให้ที่หาดเฉวงคราค่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เกือบร้อยละ 98 เป็นนักท่องเที่ยวฝรั่ง แทบจะไม่เห็นคนไทยเลยครับ
ถึงแม้ว่าบรรยากาศด้านนอกของบุรี รสา วิลเลจ สมุย จะดูคึกคัก แต่พอได้ก้าวเท้าผ่านซุ้มประตูไม้เข้ามายังด้านในรีสอร์ท บอกได้เลยว่าเหมือนหลุดเข้ามายังอีกสถานที่หนึ่งเลย เพราะว่าเงียบสงบมากๆ ครับ

เมื่อก้าวเท้าผ่านซุ้มประตูไม้เข้าไป ด้านซ้ายมือจะเป็นส่วนของลอบบี้ ที่เปิดโล่งรับลมธรรมชาติ การตกแต่งเน้นโทนสีน้ำตาล เฟอร์นิเจอร์เป็นไม้และหวายครับ
พนักงานต้อนรับนำ Welcome Drink มาเสิร์ฟ Welcome Drink เป็นน้ำอัญชันมะนาว โดยแยกมาเป็นน้ำอัญชันและน้ำมะนาวแช่แข็งเป็นก้อนเล็กๆ เมื่อใส่ก้อนมะนาวในน้ำอัญชัน น้ำอัญชันก็จะเปลี่ยนสี แถมมีรสชาติเปรี้ยวขึ้นมาจากเดิม เรียกความสดชื่นได้ดีเลยทีเดียวครับ 
สำหรับด้านขวามือ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับลอบบี้ จะเป็นพื้นที่ให้แขกได้นั่งรอ Check in ในกรณีที่มีแขกมา Check in พร้อมๆ กันหลายคนครับ 

ติดกับพื้นที่นั่งพักผ่อน หากสังเกตดีๆ จะมีประตูที่สามารถเข้าไปยังอีกห้องหนึ่งได้ ด้านในห้องนั้นจะเป็นมุมห้องสมุดครับ
บุรี รสา วิลเลจ สมุย เป็นบูทีครีสอร์ทสไตล์ไทย เน้นการออกแบบเป็นบ้านไม้ครึ่งปูนทรงไทยแบบดั้งเดิมของภาคใต้ ที่แวดล้อมไปด้วยพันธุ์ไม้น้อยใหญ่มากมาย ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในสวนป่า มองไปทางไหนก็ดูสดชื่น ห้องที่ผมพักอยู่ด้านในสุดของส่วนที่เป็นพื้นที่ห้องพักครับ 



หลุดจากโซนห้องพัก จะมีอีกหนึ่งประตูที่เมื่อก้าวข้ามไป จะเป็นพื้นที่ของสปา ห้องอาหาร สระว่ายน้ำรวม และชายหาดครับ
โซนสปา นวดไป ฟังเสียงคลื่นทะเลไป คงจะฟินสุดๆ ครับ

ห้องอาหารริมทะเลครับ 

บาร์เล็กๆ ติดห้องอาหาร ริมชายหาด
สระว่ายน้ำรวม ว่ายน้ำไป ชมวิวทะเลแบบสุดสายตาเลยครับ
มีเก้าอี้ชายหาดให้นอนอาบแดดด้วย
หาดเฉวงในวันธงแดง คลื่นลมแรง น้องพนักงานบอกว่าในวันที่ฟ้าเปิด คลื่นลมสงบ ชายหาดจะสวยมากครับ
ช่วงที่ผมเดินสำรวจรอบๆ รีสอร์ท เป็นช่วงเวลาที่มี Cooking Class พอดี กลิ่นของแกงเขียวหวานลอยมาเตะจมูก เลยขออนุญาตแขกถ่ายรูปมาให้ชมกันครับ หลังจากจบ Class แล้ว มีการมอบใบประกาศนียบัตรให้กับผู้เรียนด้วยนะครับ



ในห้องพักตกแต่งด้วยโทนสีเหลืองและสีน้ำตาล เตียง King size พร้อมหมอนที่หนานุ่ม ด้านข้างเตียงมีมุมให้นั่งพักผ่อน โดยมีโซฟาและเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนครับ



ที่ปลายเตียงมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง ทั้ง TV ตู้เย็น เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล
ถัดจากพื้นที่เตียงนอนไปทางปลายเตียง จะเป็นโซนแต่งตัว ติดกับพื้นที่แต่งตัวด้านขวาจะเป็นโซนห้องน้ำครับ
ภายในห้องน้ำกว้างขวางเลยทีเดียว แยกส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจน ด้วยห้องกระจกครับ
ฝักบัวแบบ Rain Shower มียาสระผมพร้อมครีมอาบน้ำกลิ่นมะพร้าวหอมๆ ให้ความรู้สึกความเป็นสมุยได้ดีเลยทีเดียวครับ
บริเวณโถสุขภัณฑ์ มีสายฉีดชำระให้พร้อม พื้นที่ในส่วนของห้องน้ำ เชื่อมต่อกับพื้นที่ด้านนอกด้วยประตูบานเลื่อนกระจกครับ
สระว่ายน้ำส่วนตัวแบบระบบน้ำวน กับความลึก 1.20 เมตร ท่ามกลางสวนสวยครับ

เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูน พร้อมเครื่องพ่นน้ำหอมอโรม่า
นั่งอ่านหนังสือ พร้อมนั่งจิบกาแฟ ฟังเสียงนกเสียงไม้ ในบรรยากาศกลิ่นอโรมาอบอวล คือฟินมากๆ ครับ
ผมชอบไอเดียแพคเกจ Amenities ดูพิถีพิถัน ใส่ใจมากๆ ครับ
ผ้าเช็ดตัวสำหรับเช็ดตัวหลังว่ายน้ำครับ

ที่เพดานของห้องอาหาร มีโคมไฟรูปปลาที่สานขึ้นจากหวาย ยามที่โคมไฟต้องลม ให้อารมณ์เหมือนปลากำลังแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเลยครับ

ติดกับห้องอาหาร เป็นบาร์เล็กๆ ครับ
ค่ำนี้ ผมได้สลัดแซลมอนย่าง แซลมอนหนังกรอบกำลังดี เนื้อปลาไม่แห้งเกินไป อร่อยดีครับ
ต้มยำกุ้ง อัดแน่นด้วยเครื่องสมุนไพร ผมเป็นคนชอบอาหารรสจัด ถ้าได้รสจัดจ้านกว่านี้อีกสักนิด จะดีมากๆ เลย แต่ขนาดนี้ก็น่าจะโอเคสำหรับแขกคนอื่นๆ
หลังมื้อค่ำ กลับไปแช่น้ำในสระส่วนตัวกันต่อ แต่แช่ได้ไม่นาน เพราะเริ่มหนาวจนเนื้อเต้นเลยครับ 55
อาหารเช้าที่นี่ให้บริการแบบ buffet ครับ อาหารมีทั้งแบบไทยและแบบเทศ มีให้เลือกทานกันพอสมควร รสชาติโดยรวมถือว่าดีทีเดียว ขอติเรื่องข้าวต้ม ข้าวต้มที่นี่เป็นข้าวต้มขาว โดยจะแยกหมูสับก้อนและไก่สับก้อน ให้แขกได้เลือกใส่ลงในข้าวต้ม แต่รสชาติของหมูสับและไก่สับจืดมาก หากหมักด้วยน้ำปลา พริกไทยสักนิด น่าจะดีกว่านี้ รวมถึงน้ำข้าวต้ม หากปรุงรสเพิ่มสักนิด น่าจะอร่อยขึ้นเยอะครับ

สิ่งที่ผมชอบสิ่งหนึ่ง คือการนำเนื้อมะพร้าวขูดฝอย มากวนเป็นแยม ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นแยมมะพร้าวกันบ่อยนัก มะพร้าวถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเกาะสมุยเหมือนกันครับ


น้องๆ พนักงานในส่วนของห้องอาหาร บริการดีครับ เข้ามาคอยดูแลตลอดเวลา
คนขับเรือพาผมไปยังเกาะราบเป็นเกาะแรก ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 40 นาที เกาะราบอยู่ทางตอนใต้ของเกาะสมุย เมื่อมาถึง เราต้องเสียค่าขึ้นเกาะคนละ 50 บาท และจะได้รับน้ำดื่ม 1 ขวดครับ
มาชำระค่าขึ้นเกาะที่ซุ้มจำหน่ายเครื่องดื่มตรงนี้เลยครับ





เกาะมัดสุม หรือที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อ เกาะหมู อีกหนึ่งเกาะดังที่กำลังมาแรงแซงโค้งเกาะต่างๆในจังหวัดสุราษฎร์ฯ เมื่อนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่เกาะสมุยแล้ว ต้องจัดทริปเกาะมัดสุมลงในโปรแกรมการท่องเที่ยวด้วย แล้วเกาะมัดสุม มีดีอะไรเหรอครับ นักท่องเที่ยวถึงแห่แหนกันมา ขอเฉลยเลยแล้วกัน ที่เกาะแห่งนี้หาดทรายขาว น้ำทะเลใส เหมือนเกาะราบเลยครับ แต่ที่พิเศษกว่าเกาะไหนๆ ในสุราษฎร์ฯ ก็คือ เกาะแห่งนี้มีกิมมิคเป็นเจ้าหมู อู๊ด..อู๊ด..ตัวน้อยใหญ่เดินกันทั่วชายหาดนั่นเองครับ




เดิมทีเดียว มีชาวบ้านพาน้องหมูขึ้นเรือข้ามมายังเกาะแห่งนี้ พอนักท่องเที่ยวเห็น ก็คอยให้อาหาร จนน้องหมูอ้วนถ้วนสมบูรณ์ ออกลูกออกหลาน เดินกันทั่วทั้งชายหาด ใครที่อยากได้ภาพน้องหมูเดินริมชายหาด อาจจะต้องมาในช่วงแดดร่มลมตกนะครับ เพราะช่วงแดดแรงๆ คนยังต้องหลบแดด น้องหมูก็เช่นกัน นอนหลับอุตุอยู่ใต้ร่มไม้เย็นสบายกว่าเยอะ น้องหมูที่นี่คุ้นเคยกับคนเป็นอย่างดีครับ แต่มีคำเตือนว่าอย่าไปจับบริเวณหน้าของมัน เพราะมันอาจจะแว้งกัดเอาได้ กันไว้ดีกว่าแก้ครับ
และจุดแวะสุดท้าย อยู่ที่เกาะแตนครับ โดยคนเรือจะไปจอดเรือใกล้ๆ กับเกาะแตน แล้วปล่อยให้เราดำน้ำกันจนเป็นที่พอใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเวลาการเที่ยวทั้ง 3 เกาะต้องไม่เกิน 5 ชั่วโมงนะครับ เพื่อนผมลงไปดำน้ำ ณ จุดนี้ บอกว่าน้ำไม่ค่อยใส เลยทำให้มองไม่เห็นปะการังและปลาได้เท่าที่ควร สำหรับใครที่ไม่ดำน้ำ ก็ต้องนั่งรออยู่บนเรือ โดยที่เกาะแตนเราไม่ได้ขึ้นไปบนเกาะนะครับ
เมื่อกลับมาถึงท่าเรือ เห็นท้องฟ้าสวยๆ น้ำทะเลสีคราม ผืนทรายสีขาว มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพความสวยงามที่อยู่เบื้องหน้าครับ





เจ้าพ่อกวนอู โด่งดังมาจากพงศาวดารจีนสามก๊ก เป็นเทพเจ้าที่มีความซื่อสัตย์ ยุติธรรม กล้าหาญ จึงเชื่อกันว่า การได้มาบูชาเทพเจ้ากวนอูจะนำมาซึ่งโชคลาภและความร่ำรวย

ด้านข้างของศาลเจ้าพ่อกวนอู ยังมีรูปถ่ายหน้าตรงของผู้คนมากมาย ผมสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นผู้ที่ร่วมก่อสร้างศาลเจ้าหน้าค่ายครับ



พระธาตุศิลางู พระธาตุสีทองทั้งองค์ ตั้งอยู่บนลานกลางวัด ด้านในองค์พระธาตุประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุครับ


จุดชมวิวนี้ สามารถมองเห็นวิวของอ่าวละไมได้แบบพาโนรามาเลย สวยงามจับใจจริงๆ

นอกจากจะได้เห็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแล้ว วิวที่มองออกไปอีกด้านหนึ่งจะเห็นอ่าวละไม ก็ทำให้ผมประทับใจไม่น้อยกับสีเฉดสีของน้ำทะเลที่มีทั้งสีเขียวมรกตและสีฟ้าครามตัดกันอย่างงดงาม











รีบกิน รีบไป เพราะฝนไล่หลังมาแล้ว อีกอย่างต้องรีบกลับไปพักผ่อนด้วย เพราะเช้าวันใหม่ผมมีโปรแกรมลงเกาะอีกวันครับ



แนะนำเลยว่า ถ้ามาที่เกาะวัวตาหลับแล้ว ไม่ควรพลาดการขึ้นไปยังจุดชมวิวผาจันทร์จรัสนะครับ เพราะจุดชมวิวนี้เป็นจุดสูงสุดของเกาะ ซึ่งเราจะสามารถมองเห็นความงดงามของเกาะน้อยใหญ่ในหมู่เกาะอ่างทอง เช่น เกาะผี เกาะแม่เกาะ (ทะเลใน) เกาะสามเส้า เกาะวัวกันตัง เกาะหินดับและอีกหลายๆ เกาะ ที่ทอดตัวเรียงรายเป็นทางยาว บนผืนน้ำสีเขียวมรกตได้แบบเต็มๆ ตา รับรองว่าคุ้มค่าเหนื่อยแน่นอนครับ









จากน้ำตกหน้าเมือง 1 ผมมาต่อที่ชายหาดหน้าทอน ชายหาดอาจไม่ได้เหมาะกับการเล่นน้ำ แต่ก็เป็นชายหาดที่เงียบสงบ เหมาะกับการนั่งชมพระอาทิตย์ตก แต่วันนี้โชคไม่ดี ฟ้าปิด ผมเลยไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกบริเวณหน้าหาดหน้าทอน แต่ก็ยังได้เห็นชาวบ้านมาเก็บหอยเสียบอยู่ริมชายหาด แกบอกว่า เอาไปส่งที่ร้านอาหาร ได้กิโลกรัมละ 100 บาท โดยวันนี้เก็บหอยเสียบได้ไปเหนาะๆ ประมาณ 10 กิโลกรัม ในหนึ่งปีจะมีโอกาสได้รายได้จากการเก็บหอยเสียบได้ช่วงเดียวครับ

ผมมาต่อแถวๆ ท่าเรือหน้าทอน มองเห็นเรือประมงจอดอยู่มากมาย รวมถึงมีแม่ค้านำปลาที่หาได้มาขายกันแบบสดๆ ปลาที่นำมาขายก็มีหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นปลากุเลา ปลากระบอก ปลากระพงแดง ผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นปลากุเลาสดๆ ก็ครั้งนี้ สำหรับใครที่ต้องการปลาสดๆ ไปปรุงอาหาร สามารถมาหาซื้อได้ที่จุดจอดเรือประมงหน้าทอนนะครับ เรือจะขึ้นช่วงเช้าและช่วงเย็น มีทุกวัน (ในช่วงฤดูหาปลา) ยกเว้นวันศุกร์ เพราะเป็นวันหยุดของชาวมุสลิมครับ




และเย็นนี้ผมมาฝากท้องแถวๆ ท่าเรือหน้าทอนนี่แหล่ะครับ มีร้านอาหารมาออกร้านกันมากมาย บรรยากาศคล้ายๆ กับตลาดนัด มีลานพร้อมเก้าอี้สำหรับให้นั่งทานอาหาร พร้อมฟังเพลงร้องสดจากนักดนตรีที่มาเล่นเปิดหมวก ทานมื้อค่ำไปฟังเพลงเพลินๆ ไป ทำให้อาหารอร่อยขึ้นอีกเป็นกอง
อิ่มท้องแล้ว ตรงกลับไปพักผ่อนที่รีสอร์ทครับ
นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นพระสังกัจจายน์ โดยมีความหมายถึง ความสุข ความรัก ผู้ซึ่งให้ความรักและความสุขมาสู่ปวงชน เห็นว่าที่นี่มีคนนิยมมาขอบุตรจากพระสังกัจจายน์ด้วยครับ








จากท่าเรือบางรัก มองออกไปเห็นพระใหญ่ด้วย ต้องบอกเลยว่าจุดนี้วิวสวยงามเลยทีเดียว บางช่วงเวลาจะมองเห็นเครื่องบินกำลังบินลงสนามบินสมุยด้วย เสียดายที่ผมหยิบกล้องมาถ่ายไม่ทันครับ
ช่วงเวลาที่ผมไป มีเพียงผมกับเพื่อน 2 คนเท่านั้น ขอบอกว่า ถึงมีแขกเพียงคนเดียว เรือก็ยังคงให้บริการตามปกติครับ เมื่อขึ้นเรือมาแล้ว น้องกัปตันก็จะมากล่าวต้อนรับและจะให้คำแนะนำในระหว่างเดินทางโดยให้สวมเสื้อชูชีพ และถ้าไม่มีความจำเป็นก็ให้นั่งอยู่กับที่ นั่งเรือไปใจก็สั่นระรัวไป เพราะคลื่นลมค่อนข้างแรง แถมฝนก็ยังตกไปตลอดทาง แต่ถึงฝนจะตกขนาดไหน น้องๆ พนักงาน ก็ยังคอยยืนดูแลแขกอยู่ด้านท้ายเรือถึง 2 คนครับ
นั่งเรือมาประมาณ 20 นาที ก็มาถึงยังท่าเรือบ้านใต้ครับ ดีหน่อยที่ฝนซาเม็ดลงแล้ว
จากท่าเรือบ้านใต้ เรานั่งรถตู้ของทางรีสอร์ทอีกประมาณ 30 นาที ก็มาถึงยังบุรี รสา วิลเลจ พะงันครับ




ระหว่างเช็คอิน จะมี Welcome Drink เป็นน้ำมะตูม และมีของว่างเป็นคุกกี้ที่อบเสร็จใหม่ๆ จาก In The Mix ครับ
เช็คอินเสร็จแล้ว เราเข้าไปสำรวจด้านในของรีสอร์ทกันดีกว่าครับ



ห้องน้ำค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว แยกส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจน มีสายฉีดชำระให้พร้อม ฝักบัวแบบ Rain Shower มียาสระผมพร้อมครีมอาบน้ำกลิ่นมะพร้าวหอมๆ เหมือนที่เกาะสมุยครับ

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ มีครบตามมาตรฐานของรีสอร์ทครับ

ดูห้องพักกันแล้ว เราไปสำรวจรอบๆ รีสอร์ทกันบ้างดีกว่า เริ่มกันที่บริเวณด้านหน้ารีสอร์ทเลยครับ อย่างที่บอกไปในตอนแรก ปีกขวาจะเป็นลอบบี้ ส่วนปีกซ้ายจะเป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่ชื่อ In The Mix ตกแต่งคล้ายๆ กับร้านกาแฟสมัยโบราณเก๋ๆ ที่ให้บริการทั้งขนมอบ และพิซซ่าแบบ Homemade ครัวแบบเปิดโล่ง สามารถมองเห็นเชฟกำลังทำขนมได้ด้วยครับ


มีบาร์เล็กๆ ริมชายหาดด้วยครับ
ภายในรีสอร์ทร่มรื่นมาก มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวของพืชพรรณไม้ดอกไม้ประดับมากมาย เห็นแล้วก็สดชื่นจริงๆ



ใจกลางรีสอร์ทมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ เปิดให้บริการตั้งแต่ 07.00 – 19.00 น. ครับ


มี Spa ด้วย อยู่ติดกับสระว่ายน้ำเลยครับ
มีห้อง Fitness ที่มองเห็นวิวทะเลด้วย
ใครที่ต้องการมาพักผ่อนแบบจริงจัง อยากจะหนีความพลุกพล่าน ที่นี่ตอบโจทย์มากครับ อยู่แต่ในรีสอร์ทแบบไม่ต้องไปไหนยังได้เลยครับ ถ้าเบื่อก็มาเล่นน้ำหน้าชายหาดได้เลย แขกที่มาเข้าพักส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ เห็นว่าบางคนอยู่กันยาวเป็นอาทิตย์เลยครับ

มีบาร์เล็กๆ ให้ได้นั่งชิลริมทะเลด้วย บรรยากาศช่วงเย็นๆ ดีมากๆ เลยครับ

ไก่ทอด พร้อมน้ำจิ้ม 2 แบบ แต่ผมไม่ได้แตะน้ำจิ้มเลย เพราะไก่ทอดหมักมารสชาติดีอยู่แล้ว เมนูนี้ 180 บาทครับ
กุ้งซอสมะขาม มีกุ้ง 5 ตัว รสชาติครบรส เปรี้ยวหวานจัดจ้านดีทีเดียว เมนูนี้ 500 บาทครับ
ต้มข่าทะเล เสิร์ฟมาในลูกมะพร้าว อัดแน่นด้วยซีฟู้ด ได้ความมันของกะทิ เพิ่มความกลมกล่อมด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อน เมนูนี้ 220 บาทครับ
ปิดท้ายด้วยข้าวเหนียวมะม่วง ที่สั่งเมนูนี้เพราะช่วงที่ผมถ่ายรูปบริเวณห้องอาหาร เห็นชาวต่างชาติกำลังมาเรียนทำข้าวเหนียวมะม่วงกันอยู่ เห็นแล้วเลยทำให้อยากทานครับ ผมว่าตัวข้าวเหนียว ถูกเสิร์ฟมาแบบอัดแน่นมาเป็นก้อน ผมว่ามันเลยทำให้เนื้อข้าวเหนียวมันแข็งแบบแน่ๆ สำหรับมะม่วงก็พอเข้าใจว่าเป็นมะม่วงนอกฤดู เลยทำให้มะม่วงไม่มีความหวานเลย เมนูนี้ 180 บาทครับ
โดยรวมแล้ว รสชาติอาหารดีเลยทีเดียวครับ
สำหรับเช้าวันใหม่ ผมแทบจะหมดหวังเรื่องแสงแรก เพราะท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆฝน แต่ฟ้าก็ยังปราณีอยู่บ้าง ที่ยังให้ผมได้เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมๆ โผล่ขึ้นมาพ้นเส้นขอบฟ้าเพียงแค่ชั่วครู่ จากนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆไปในพริบตา อดเห็นแสงสีทองสวยๆ เลยครับ
ไหนๆ ก็ตื่นเช้าแล้ว เลยรีบมาจัดการเติมพลังกันแต่เช้า เพราะช่วงสายผมมีแผนที่จะขี่รถมอเตอร์ไซด์เที่ยวรอบเกาะพะงันครับ
อาหารเช้าให้บริการแบบ Buffet อาหารมีทั้งแบบไทยและแบบเทศ มีให้เลือกทานกันมากมายพอสมควร ผมเองไม่ได้ชิมทุกเมนูนะครับ เพราะชิมไม่ไหว แต่รสชาติของอาหารที่ทานไป ถือว่าอร่อยครับ ข้าวต้มผ่านทั้งรสชาติของน้ำซุปและหมูสับ อร่อยดีทีเดียว ติดที่ถ้วยเล็กไปหน่อย ต้องวนตักอยู่หลายรอบครับ 55














จากหาดมาลิบู ไปต่อที่หาดแม่หาด อีกหนึ่งชายหาดที่ขึ้นชื่อของเกาะพะงันครับ เราจะเห็นสันทรายทอดยาวเชื่อมระหว่างหาดแม่หาด กับ เกาะม้า กลายเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ ที่เรียกว่า ทะเลแหวกแห่งเกาะพะงัน ใครที่มาเที่ยวเกาะพะงันแล้ว หากจะแวะมาเที่ยวที่หาดแม่หาด แนะนำให้เช็คเวลาน้ำขึ้นน้ำลงให้ดีนะครับ จะได้เห็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติสวยๆ แบบนี้ครับ





จากหาดแม่หาด ไปต่อกันที่หาดสน ชายหาดเล็กๆ แต่ความสวยงามไม่ได้เล็กตามขนาด ผมว่าหาดสนน่าจะเป็นจุดดำน้ำ เพราะเห็นมีทัวร์มาปล่อยให้แขกดำน้ำบริเวณหน้าหาดสนด้วยครับ


เมื่อเดินเข้ามาจนสุดร้าน จะมีศาลาซึ่งอยู่ที่ปลายแหลม จุดนี้เป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก บ้างก็มานั่งกินลมชมวิว นอนเปลญวน บ้างก็กระโดดน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนาน ดีที่ผมมาถึงก่อนนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นจะมาถึง เลยได้ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศโดยรอบแบบปราศจากนักท่องเที่ยวมาให้ได้ชมกัน สำหรับผมไม่ได้มารอชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ เลยถือโอกาสมาสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ แก้ร้อน เรียกความสดชื่นได้ดีเลยทีเดียวครับ


จากเกาะราฮัม ไปต่อที่แหลมศรีธนู อีกหนึ่งชายหาดที่ผมว่าทั้งสวยและเงียบสงบมากๆ ที่แหลมศรีธนูนี้เป็นจุดจอดเรือด้วยครับ มองจากจุดจอดเรือออกไปจะเห็นถึงความแตกต่างของสีน้ำทะเล ตัดกับสีท้องฟ้า มันสวยงามเกินบรรยายจริงๆ ครับ

ใครมาเที่ยวที่แหลมศรีธนูแล้ว ผมแนะนำให้เดินเลาะท่าเรือไปทางขวามือ จะมาทะลุชายหาด บอกเลยว่าชายหาดตรงจุดนี้ทรายละเอียด ขาว สวยมากๆ นอกจากนี้ยังมีเศษซากของปะการังที่ถูกพัดขึ้นมาบนชายหาดเป็นจำนวนมากครับ




ติดกับเจดีย์ประธาน เป็นที่ตั้งของอุโบสถเก่า ซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ประทับนั่งบนฐานชุกชีปูนปั้นลายกลีบบัว และพระพุทธรูปจำหลักไม้อีก 3 องค์ครับ
ส่วนอีกมุมที่ติดกับเจดีย์ประธาน ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอุโบสถเก่า เป็นที่ตั้งของรูปเหมือนหลวงพ่อเพชร วชิโร ครับ



ภายในซอกเหลือบนี้ ไม่มีหาดทรายนะครับ แต่จะเป็นเศษซากปะการัง กองอยู่เต็มไปหมด
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง ทำให้แสงสีทองสาดส่องมายังผนังของซอกหลืบบริเวณนี้ ทำให้ผนังกลายเป็นสีทอง สวยงามเลยทีเดียวครับ


หากใครกำลังมองหาจุดชมพระอาทิตย์ตกบนเกาะพะงัน ผมว่าที่เกาะแตใน เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเลยครับ