วันธรรมดาที่ “อมารี หัวหิน” กับความฟินชนิดไม่ธรรมดา

จำได้ไหมครับว่าปีก่อนผมเคยเข้าพักที่ อมารี หัวหิน... แหม ถ้าจำได้ก็แปลกแล้วล่ะ และคงแปลกเช่นกันหากตัวผมเองจำไม่ได้ว่าเคยมีเวลาดีๆ ในโรงแรมสุดแสนโรแมนติกเช่นนั้นมาก่อน เพราะทริปที่ว่าผมพาคุณนายมาสวีทหวานแหววจนทะเลหัวหินแทบหายเค็มกันเลยทีเดียว (ฮา...)

ด้วยเพราะมีสัมพันธ์อันดีกับโรงแรมเครืออมารี รวมถึงมิตรสหายที่คบหากันมายาวนานตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยได้ดิบได้ดีอยู่ที่ อมารี หัวหิน ด้วยกระมัง ปีนี้ผมเลยจับพลัดจับผลูได้รับคำชวนให้กลับมาเที่ยวอีกครั้ง แต่มีข้อแม้นิดหน่อย... มิตรสหายว่าไว้

... ขอเป็นวันธรรมดานะ เพราะอยากให้มาสัมผัสว่าวันธรรมดาที่ อมารี หัวหิน บรรยากาศดี๊ดีขนาดไหน

นอกจากจะไม่เป็นปัญหายังถือว่าเข้าทางเลยล่ะ ผมขาเที่ยววันธรรมดาอยู่แล้ว เดินทางสะดวก นักท่องเที่ยวไม่หนาแน่น ไม่ต้องแย่งกันถ่ายรูป บรรยากาศปลอดโปร่ง พอกระซิบบอกคุณนายให้เตรียมตัวกลับไปสวีทกันอีกรอบที่ อมารี หัวหิน เธอแทบร้องกรี๊ดลั่นห้อง

มาดูกันสิว่า อมารี หัวหิน วันธรรมดา บรรยากาศจะดี๊ดีแบบที่มิตรสหายบอกไว้หรือเปล่า

 (1)

ปกติไปหัวหินจะให้คลาสสิคต้องนั่งรถไฟครับ ทว่าคราวนี้สารภาพตามตรงเลยคือนอนดึกตื่นสายไม่ทันรถไฟรอบเช้าซะงั้น เราสองต้องปรับแผนมานั่งรถตู้ ต้นทางจากขนส่งสายใต้ ขึ้นรถสายปราณบุรี วันกลางสัปดาห์แบบนี้ถนนโล่งไม่มีติดขัดให้หงุดหงิด เรามาลงบริเวณแยกเข้าเขาตะเกียบ เพราะอมารี หัวหิน ตั้งอยู่โซนเขาตะเกียบไม่ไกลจากซิเคด้า มาร์เก็ต ลงรถแล้วเดินเท้าต่อนิดเดียวก็มาอยู่หน้าโรงแรมแล้วล่ะ ด้านหน้าอาจดูธรรมดาแต่เข้าไปแล้วจะพบว่าไม่ธรรมดาเลย

ผ่านประตูเข้าสู่ล็อบบี้แล้วบรรยากาศเก่าๆ หวนมาในห้วงคำนึง อมารี หัวหิน มีเสน่ห์เฉพาะตัวต่างจาก อมารี ที่อื่นมากครับ ล็อบบี้ตกแต่งสไตล์วินเทจรับแรงบันดาลใจมาจากพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน แต่ปรับมาใช้โทนสีเป็นขาว-น้ำเงิน ให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสกลิ่นอายเมืองชายทะเล

หากสังเกตสักนิดบริเวณล็อบบี้และ คอรัล เลานจ์ ซึ่งอยู่ติดกันจะใช้รูปม้ามาประดับค่อนข้างเยอะโดยเฉพาะหัวม้าหมากรุก เพราะม้าถือเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของหัวหินก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังเป็นสัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะสำหรับราชวงศ์ตั้งแต่อดีต นักออกแบบจึงนำมาสื่อว่าหัวหินเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศแห่งแรกๆ ของพระมหากษัตริย์ไทย เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้สามารถเชื่อมถึงกันอย่างลงตัว... ช่างคิดจริงๆ ว่าไหมครับ

ผนังและส่วนต่างๆ ยังมีการตกแต่งด้วยภาพเก่าแก่ของหัวหินในอดีตเพิ่มอารมณ์วินเทจมากขึ้นด้วยนะ

ดื่มเวลคัมดริ๊งค์เย็นๆ ใช้เวลาแป๊บเดียวเราสองคนก็ลงทะเบียนเข้าพักเรียบร้อย สะดวกรวดเร็วทันใจเพราะนักท่องเที่ยวไม่เยอะมากเหมือนวันหยุด ขึ้นห้อง (ไปพักผ่อน) กันดีกว่า

อมารี หัวหิน มีมากกว่าสองร้อยห้องภายในสองอาคาร วางเป็นรูปตัว L ติดสระว่ายน้ำ ส่วนอาคารอื่นๆ โดยรอบเป็นส่วนของเรสซิเดนซ์ครับ ครั้งนี้เราได้พักห้องดีลักซ์ พูลวิว อาคารบี ชั้นเจ็ดสูงสุด แตะคีย์การ์ดขึ้นลิฟต์โลด

ในห้องพักครบครันทุกอย่างตามมาตรฐานอมารี ห้องดีลักซ์ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก กำลังดีสำหรับพักสองคน ผนังโทนสีครีมส่องสะท้อนดวงไฟเหลืองนวลให้ความรู้สึกอบอุ่น ติดกลิ่นอายวินเทจเล็กๆ เตียงนอนคิงไซส์นุ่มมาก บวกด้วยโต๊ะทำงาน ชุดโซฟากะทัดรัด ตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของ

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกไม่มีขาด ไดรฟ์เป่าผมที่นี่ก็มีนะครับไม่ต้องกลัวลงเล่นน้ำหัวเปียกแล้วแห้งยาก อ้อ... ใครไม่ได้พกชุดแปรงสีฟันมาสามารถเรียกขอจากแม่บ้านได้เลยครับ จากระเบียงมองเห็นสระว่ายน้ำสวย พร้อมวิวไกลๆ ถนัดตา ช่วงค่ำเหมาะมานั่งอาบลมห่มแสงจันทร์คลอเคลียกับหวานใจให้โรแมนติกยิ่งนัก แต่สิ่งที่ผมกับคุณนายรักที่สุดยังเหมือนเดิมครับ สบู่เหลวกับแชมพูในห้องน้ำใช้ผลิตภัณฑ์จากบรีซสปา กลิ่นตะไคร้หอมผ่อนคลายสุดๆ ว่าแล้วขอจัดเลยดีกว่า อาบน้ำแล้วสระผมถูสบู่มันอยู่นั่นแหละ อาบไม่เสร็จสักที (ฮา...)

พักผ่อนตากแอร์เย็นฉ่ำ กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงนุ่มๆ จนท้องเริ่มร้องบอกเวลาหิว อมารี หัวหิน มีจุดบริการอาหารทุกประเภททั้งหมดรวมกันห้าแห่งครับ เราสองคนมีโอกาสลิ้มลองทั้งหมด ซึ่งสำหรับมื้อแรกในครั้งนี้ขอเสนอไฮไลท์ใหม่ที่สุดคือที่ “ชอร์ไลน์ บีช คลับ” ริมทะเล

ปีก่อนผมเคยมาดินเนอร์กับคุณนายเธอที่นี่แล้ว แต่ปีนี้โรงแรมปรับสถานที่ใหม่ เด็ดกว่าเดิมเพิ่มเติมด้วยสระว่ายน้ำขนาดย่อม แช่น้ำชมทะเลสุดสบาย ทางเข้าปลูกดอกหญ้าดอกไม้สวยๆ ตลอดทาง

ชอร์ไลน์ บีช คลับ อยู่ริมชายหาด วันธรรมดาแบบนี้เราเรียกรถกอล์ฟหน้าโรงแรมให้มาส่งได้ตลอดเวลา หรือหากอยากออกกำลังกายเบาๆ เดินทะลุตัดด้านหลัง อมารี เรสซิเดนซ์ แค่สามร้อยเมตร เหงื่อยังไม่ทันออกก็ถึงแล้ว

ผมกับคุณนายเดินเกี่ยวก้อยไปถึงตอนเย็นฟ้าครึ้ม นั่งเล่นพักผ่อนรอก่อนครับ ค่ำๆ ฟ้าน้ำเงินแล้วถึงค่อยเหมาะกับการเก็บภาพบรรยากาศ บอกเลยว่างามและช่างโรแมนซ์มากมาย อ้อ... เขาเปิดบริการในส่วนห้องอาหารแก่แขกนอกที่ไม่ได้เข้าพักโรงแรมด้วยนะครับ อยู่ใกล้ๆ แวะมาชิลกันได้ อาหารที่ ชอร์ไลน์ บีช คลับ มิกซ์กันระหว่างเมนูเมดิเตอร์เรเนียนกับอาหารไทย มื้อดินเนอร์ของเราจัดเต็มจริงๆ ห่อหมกมะพร้าวอ่อนซีฟู้ด ชอร์ไลน์สลัด พิเศษด้วยน้ำสลัดเฉพาะของที่นี่ ทรอปิคอล พิซซ่า มาแบบบางกรอบ โปะหน้าจัดหนัก แป้งอบไหม้นิดหน่อยให้กลิ่นหอมๆ ส่วนบาร์บีคิวคือเมนูพลาดไม่ได้ ชุดนี้มี ปลากระพง ปลาหมึก กุ้ง อกไก่ ซี่โครงแกะ ต่อมาเป็นสปาเก็ตตี้วองโกเล (ผัดหอยลาย) และที่โรงแรมพราวด์ลี่ย์พรีเซนต์มากคือ Surf & Turf กุ้งตัวโตเสิร์ฟพร้อมข้าวรีซอตโต้ กับเนื้อเทนเดอร์ลอยน์ชิ้นหนานุ่มทานคู่ผักโขม และผักย่างนานาชนิด นับดูเมนู อุต๊ะ... ตั้งหกอย่าง แต่เราไม่ได้ทานกันเพียงสองคนหรอกนะ มีเพื่อนร่วมโต๊ะคือสต๊าฟฟ์ผู้ดูแลจากอมารี กับมิตรสหายของผมนั่นแหละ ละเมียดละไมอาหารอร่อยกันไป เม้าส์มอยอัพเดตเรื่องราวชีวิต นินทาเพื่อนคนอื่นเรียกเสียงหัวเราะตามประสามิตรสหายซึ่งนานๆ เจอกันที บรรยากาศสงบสบายเพราะวันธรรมดาแขกบางตา เป็นอีกมื้อที่มีความสุขจริงเชียว

 (2)

เช้าวันใหม่ตื่นนอนแบบหลับสบายเต็มอิ่ม มองนาฬิกาหกโมงนิดๆ รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปด้านล่างดีกว่า อยากแช้ะภาพห้องอาหารเช้าโมเสค กับไลน์อาหาร แบบยังสมบูรณ์สักหน่อย ขืนรีรอมีหวังกระจุยแน่นอน (ฮา...)

ห้องอาหารเช้าโมเสค (ข้างลิฟต์อาคารเอ) เป็นอีกจุดที่เปลี่ยนแปลงจากการเข้าพักคราวก่อนโดยขยายพื้นที่นั่งด้านนอกกว้างขึ้นเพื่อรองรับแขกช่วงวันหยุดพิเศษ ส่วนวันธรรมดาแบบนี้เรานั่งด้านในตากแอร์ดีกว่า ที่นั่งเหลือเฟือไม่ต้องแย่งกัน ผมว่าที่นี่หรูหราเกินกว่าเป็นห้องอาหารเช้าด้วยซ้ำ เพดานประดับโคมไฟสุ่มจับปลาเก๋ๆ ผนังด้านหนึ่งแต่งด้วยไม้สีสดใส เหลือง แดง เขียว ฉลุลายไทยสไตล์พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน

ไลน์อาหารคงไม่ต้องบรรยายให้มากความเพราะไม่มีทางร่ายหมด ขอใช้คำว่าเพียบพร้อมสมบูรณ์แล้วกัน ไทย จีน ฝรั่ง ครบเป๊ะ เบรกฟาสต์บุฟเฟ่ต์ของอมารีไม่ว่าจะที่ไหนล้วนขึ้นชื่ออยู่แล้ว และย้ำว่าไม่ว่าจะวันหยุดหรือธรรมดา ไลน์อาหารจัดเต็มเหมือนกันทุกวันนะครับ

มาทานเบรกฟาสต์โรงแรมใครชอบตักอะไรผมไม่รู้หรอก สำหรับผมขอแค่ข้าวต้มร้อนๆ กับยำผักกาดดอง กุนเชียงสักหน่อย หมดแล้วค่อยตามด้วยเบคอนของโปรดนิดนึง ไส้กรอกหรือแฮมสักสองชิ้น ปิดท้ายด้วยสลัดจานน้อยๆ กับกาแฟอีกแก้ว เป็นคนกินอยู่ง่าย แค่นี้ก็เลิศเลอแล้วล่ะ

วันนี้แดดดีฟ้าสวยใสต่างจากเมื่อวานเหมือนคนละฤดู ว่าแล้วต้องไม่พลาดเก็บภาพรอบสระว่ายน้ำ ช่วงเช้าคนยังน้อย พนักงานบอกว่าช่วงแดดดีๆ ฝรั่งชอบมาเล่นน้ำอาบแดด ส่วนคนไทยเราและชาวเอเชียมักมาเล่นน้ำตอนเย็นแดดร่ม

สระว่ายน้ำถือเป็นอีกทีเด็ดของอมารี หัวหิน เพราะตกแต่งพื้นที่คล้ายริมทะเล พื้นสระทำโทนสีไล่ระดับจากตื้นไปลึก ฟิลเหมือนมาเล่นน้ำอยู่บนชายหาดจำลองเชียวล่ะ

ถ่ายรูปเพลินๆ แล้วนึกได้ว่าแดดดีแบบนี้น่าจะไปชอร์ไลน์ บีช คลับ แต่ก่อนจะเดินไปต้องขอขึ้นห้องให้คุณนายเธอผลัดเสื้อผ้าใส่บิกินี่เตรียมตัวเล่นน้ำ มีสระว่ายน้ำริมทะเลแบบนี้จะพลาดได้อย่างไรกัน บอกเลยครับว่าแดดดีๆ ฟ้าเข้มๆ ที่นี่สวยอย่างแรง ยิ่งได้เครื่องดื่มเย็นเฉียบมานั่งจิบด้วยแล้ว ฟินเลยทีเดียว

มีแขกมาสลับกันมาเล่นน้ำบ้างแต่ไม่มากนัก คุณนายเธอสุขีอยู่แถวสระว่ายน้ำ ส่วนผมถ่ายรูปเล่นบ้างลงไปโต๋เต๋ริมชายหาดบ้างตามประสา จนพอใจจึงค่อยกลับไปล้างเนื้อล้างตัว ท้องเริ่มหิวอาหารกลางวันพอดี

ไม่ต้องไปไหนไกลหรอกครับ มาถึงห้องอาหารแห่งที่สามของอมารีที่ขอแนะนำ รีฟ เดลี่ แอนด์ ไวน์ เลานจ์ เป็นห้องอาหารหลักช่วงกลางวันและเย็นในบริเวณโรงแรม ขนาดกะทัดรัดแต่บรรยากาศหรูนิดๆ กำลังดี

มื้อเที่ยงวันนี้ แซลมอนย่างเสิร์ฟพร้อมหอยแมลงภู่ ซี่โครงเนื้อบาร์บีคิว อกไก่ย่าง และกุ้งกุลาดำย่าง เป็นเมนูสำหรับผมกับคุณนายเพียงสองคน... ทั้งอร่อยและอิ่มจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ถ้าใครอยากละเมียดละไมจิบไวน์ชั้นเลิศ เลือกตามใจชอบเลยครับเพราะเขาสรรหามาตระเตรียมไว้ไม่น้อย

กินเยอะแบบนี้ต้องเผาผลาญพลังงานกันหน่อย จะที่ไหนเสียอีกล่ะก็สระว่ายน้ำสุดเก๋นั่นไง เพราะหากมาอมารี หัวหิน แล้วไม่ได้สัมผัสสระว่ายน้ำสวยๆ คงเหมือนมาไม่ถึงนั่นแหละ

ริมสระว่ายน้ำมีจุดบริการอาหารอีกหนึ่งจุดคือ อะควา พูล บาร์ เสิร์ฟซอฟต์ดริงค์ ค็อกเทล อาหารว่าง มีเก้าอี้ให้เอนกายสบายๆ เล่นน้ำเสร็จขึ้นมานั่งพักอาบบรรยากาศ สั่งเครื่งดื่มสั่งอาหารทานกันได้

มื้อคั่นเวลาริมสระน้ำของเรามาเสิร์ฟชนิดเล่นเอาน้ำลายไหล มิตรสหายบอกว่าเป็นอาหารว่างเบาๆ แต่ดูปริมาณแล้วไม่เบานะ พิซซ่ากระเพราหมูสับรสชาติถึงเครื่องมาเสิร์ฟถึงโต๊ะพร้อมเช็ตสะเต๊ะ บาร์บีคิว กับน้ำปั่นเย็นฉ่ำอีกสองแก้ว คือเพิ่งเล่นน้ำย่อยมื้อกลางวันเสร็จหมาดๆ ต้องมาเอ็นจอยอีทติ้งริมสระกันอีกแล้ว (ฮา...)

ยอมรับเลยครับว่าฟิลพักผ่อนริมสระว่ายน้ำที่นี่เลิศมาก และแอบกระซิบนิดหน่อยว่าพิซซ่ากระเพราหมูสับที่นี่ถึงเครื่องเด็ดขาดถูกปากผมมาก

เย็นวันธรรมดาที่หัวหินอาจไม่มีตลาดนัดฮิปสเตอร์ขึ้นชื่ออย่าง ซิเคด้า มาร์เก็ต ที่อยู่ห่าง อมารี หัวหิน แค่สามร้อยเมตร แต่ตลาดโต้รุ่งหัวหิน และตลาดฉัตรชัย ยังคงคึกคักเหมือนเดิม แถมหาที่จอดรถค่อนข้างง่ายไม่เหมือนวันหยุด

ช่วงหัวค่ำนั่นแหละมิตรสหายค่อยพาเราสองคนออกไปเดินเล่น หาอะไรกิน (อีกแล้ว) แบบเพลินๆ จากทั้งหมดที่กินมาในวันนี้ เราแค่เติมท้องด้วยของกินจุกจิกเบาๆ นิดหน่อยก็พุงอ้วนพีแล้วล่ะ

ขอทิ้งท้ายวันด้วยภาพสระว่ายน้ำจากมุมมองชั้นเจ็ดช่วงหัวค่ำนะครับ

(3)

เช้าวันสุดท้ายที่ไม่อยากให้ท้ายสุด ทานอาหารเช้าเสร็จก็เดินเล่นพักผ่อนอ้อยอิ่งตามระเบียบ เป็นข้อดีมากๆ ของการเข้าพักวันธรรมดา เพราะโรงแรมไม่พลุกพล่าน แขกไม่เยอะมาก เราสองคนเดินไปชอร์ไลน์ บีช คลับ เอาเท้าจุ่มทะเลนิดหน่อย ว่าแต่วันนี้ฟ้าหม่นเหลือเกินไม่เหมือนเมื่อวานเลยแฮะ

จนกระทั่งสิบเอ็ดโมงค่อยเก็บของเช็คเอาท์ฝากไว้ที่ล็อบบี้ แล้วเวลาที่คุณนายเธอรอคอยมาตลอดตั้งแต่ก้าวเข้ามายังโรงแรมจึงมาถึง นั่นคือเวลา... บรีซ สปา

บรีซ สปา เป็นสปาของโรงแรมอมารี เรื่องความสบายรับประกันเลยว่าต้องติดใจเหมือนผมนี่ไง (ฮา...) มาพักคราวก่อนได้นวดคอร์ส หัวหิน ทรอปิคาน่า ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่มาแล้ว คราวนี้โรงแรมเลยเสนอคอร์สไม่ซ้ำเก่าชื่อนวดกายาไทย เป็นการนวดน้ำมันอโรม่าผสมนวดแผนไทย ใช้เทคนิคการนวดตะวันตกผสมกับตะวันออก เหมาะมากเลยครับเพราะทั้งสบาย ผ่อนคลาย บวกกับมีการลงความหนักแบบพอดีๆ ไม่เหมือนนวดอโรม่าเพียวๆ หรือนวดไทยเพียวๆ

เก็บภาพให้ชมสักนิดกับบรรยากาศของบรีซ สปา ก่อนที่ผมกับคุณนายจะปลีกตัวไปปลดเปลื้องอาภรณ์รับการนวดให้สบายอุรา

โอ... บรรยายไม่ถูกจริงๆ ว่าการนวดในสปาชั้นนำแบบนี้มันผ่อนคลายขนาดไหน ที่จริงควรเป็นอันเสร็จภารกิจในการเข้าพัก อมารี หัวหิน ทั้งหมดของเราแล้วล่ะ แต่ขณะที่คิดว่าจะนั่งรถกลับกรุงยังไง มิตรสหายก็ส่งข่าวมาบอกว่าให้รอประชุมเสร็จแป๊บเดียว นั่นแหละครับทำให้เราได้สัมผัสกับ คอรัล เลานจ์

คอรัล เลานจ์ อยู่บริเวณเดียวกับล็อบบี้ มีบริการเครื่องดื่ม ไวน์ ชา กาแฟ ขนมหวาน ของว่าง มีมุมให้อ่านหนังสือหรือเล่นเกมหมากต่างๆ เป็นพื้นที่ให้แขกพักผ่อนระหว่างรอเช็คอิน เช็คเอาต์ตามอัธยาศัย

ผมกับคุณนายมานั่งรอเวลาใน คอรัล เลานจ์ ก็มีเซ็ตอาฟเตอร์นูน ที มาเสิร์ฟ ชาร้อนๆ สองเหยือกให้เราเลือกกลิ่นตามชอบ

สำหรับชุดอาหารครบทั้งคาวหวาน บนสุดคือเบอร์เกอร์ลาบหมู แนะนำเลยครับรสชาติจัดจ้านโดนใจมาก แล้วยังมีตอร์ตีญ่าไก่ กับขนมถุงทอง ชั้นกลางคือขนมสโคนลูกเกด ชั้นล่างเป็นราสเบอร์รี่ชีสเค้ก กับเอแคลร์ช็อกโกแลต ทั้งหมดนี้ทำเอาอาหารว่างตอนบ่ายกลายเป็นมื้อหลักเลยทีเดียว

กว่ามิตรสหายจะเลิกประชุมมารับไปส่งคิวรถตู้แถวตลาดหัวหินก็อิ่มตื้อทั้งผมทั้งคุณนาย

บอกตามตรงครับว่าทริปอมารี หัวหิน งวดนี้ไม่รู้จะอิ่มไปถึงไหน กินอิ่มเต็มที่ นอนหลับเต็มตื่น เล่นสระว่ายน้ำสดชื่น นวดสปาแสนสุข บรรยากาศดี นักท่องเที่ยวและแขกไม่หนาตา วันธรรมดาที่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ หากเลือกได้โอกาสหน้าคงขอมาพักวันธรรมดาเหมือนครั้งนี้แหละ

ไม่ใช่เฉพาะ ททท. เท่านั้นหรอกครับที่พยายามประชาสัมพันธ์แคมเปญเที่ยววันธรรมดา เพราะตัวผมเองแนะนำเช่นกันว่าลองมาเที่ยวหัวหินวันธรรมดาดูบ้าง แล้วรับรองจะได้ความสุข ความสบาย และประสบการณ์ดีๆ แบบไม่ธรรมดากลับไปแน่นอน

----------------------------------------------------------------------------------

ใครอยากคุยกับผมเรื่อยเปื่อยเรื่องท่องเที่ยว สอบถามข้อมูล (ถ้าผมมีให้นะ) หรือชวนเที่ยว ยินดียิ่งนะครับ

www.facebook.com/alifeatraveller

----------------------------------------------------------------------------------