“กรุงเทพ” สวรรค์ของนักช้อปปิ้ง ที่มีทั้งตลาดนัดแบบติดดินอย่างตลาดนัดจตุจักร ตลาดนัดรถไฟ ตลาดนัดกลางคืน อัพระดับไปจนถึงห้างสรรพสินค้าหรูๆ มากมาย เป็นเมืองที่มีความหลากหลายของอาหารการกินที่สามารถหาทานกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งแบบ Street Food ข้างทาง หรือจะตามตลาดสด รวมถึงภัตตาคารหรูเลิศบนยอดตึกสูงระฟ้า ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต้องการมาเยือนและพักแรมมากที่สุด แซงหน้าเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่างภูเก็ตและพัทยาด้วย และที่สำคัญยังเป็นการครองแชมป์อันดับหนึ่งติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แล้ว (จากผลการสำรวจของ Mastercard Global Destination Cities Index, GDCI 2018)

แต่ในความคิดของผม กรุงเทพ คือเมืองที่มีการจราจรที่ติดขัดมากที่สุด เป็นเมืองที่ต้องเผื่อเวลาในการเดินทางมากที่สุด ผมจึงมักจะเลือกพักผ่อนหรือหาเรื่องท่องเที่ยวตามต่างจังหวัดมากกว่า แต่สำหรับครั้งนี้ คงไม่ผิดนะถ้าผมอยากทำความรู้จักกับกรุงเทพให้มากกว่านี้ จะทำแกล้งลืมไปว่ากรุงเทพคือ “เมืองหลวงของประเทศ” เพียงแค่อยากจะรู้ว่ากรุงเทพมีอะไรดี นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศถึงอยากจะมาสัมผัสกันนักหนา ทริปนี้เลยหาเวลา 2 วัน 1 คืน ตะเวนเที่ยวในเมืองกรุงแทนการท่องเที่ยวในต่างจังหวัดดูบ้างครับ

ขอเริ่มที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ วัดพระแก้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมมหาราชวัง ในเขตพระราชฐานชั้นนอกของพระบรมมหาราชวัง เป็นวัดที่รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ.2325 เพื่อใช้ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต พระคู่บ้านคู่เมือง และใช้เป็นสถานที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครับ

สิ่งที่น่าสนใจในวัดพระแก้วมีอะไรกันบ้าง ผมจะแนะนำไปเรื่อยๆ นะครับ โดยจุดแรกขอพาไปชมบนฐานไพทีก่อน ซึ่งจะมีอาคารหลักอยู่ 3 หลังคือ ปราสาทพระเทพบิดร พระมณฑป และพระศรีรัตนเจดีย์ ครับ

ปราสาทพระเทพบิดร เป็นปราสาทจัตุรมุข สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ตามประวัติบอกว่าเดิมทีเดียวจะใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต แต่เมื่อสร้างเสร็จเห็นว่าคับแคบไม่เหมาะแก่การประกอบพระราชพิธี จึงมิได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐาน ภายหลังมีการซ่อมแซมและได้อัญเชิญพระบรมรูปพระบูรพกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มาประดิษฐานที่ปราสาทพระเทพบิดรแทน และจะเปิดให้ประชาชนมีโอกาสได้เข้าชมปีละ 7 วันเท่านั้นครับ

บริเวณบันไดทางขึ้นปราสาทพระเทพบิดรมีพระสุวรรณเจดีย์ตั้งเคียงคู่อยู่ทั้งสองด้าน รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี ที่ฐานของพระสุวรรณเจดีย์ประดับด้วยยักษ์แบะและกระบี่แบก องค์ละ 20 ตนครับ

ด้านหลังของปราสาทพระเทพบิดรเป็นที่ตั้งของ พระมณฑปเจ็ดชั้น ภายในประดิษฐานตู้พระไตรปิฎกประดับมุกครับ

ติดกับมณฑปเป็นที่ตั้งของ พระศรีรัตนเจดีย์ รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดฯ ให้สร้างขึ้น โดยจำลองแบบมาจากเจดีย์ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ สมัยกรุงศรีอยุธยา ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุครับ

โดยรอบบนฐานไพที จะมีรูปหล่อโลหะเป็นรูปสัตว์หิมพานต์ ซึ่งหล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 สร้างเป็นคู่ ตัวผู้ตัวเมีย รวม 7 คู่ โดย 1 ใน 7 นั้นคือ สิงหพานร โดยมีท่อนบนเป็นพระยาวานร ท่อนล่างเป็นราชสีห์ สองมือถือกระบองครับ

อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นนั่นคือยักษ์ทวารบาล 12 ตน ยืนกุมกระบองอยู่ประจำประตูต่างๆ รอบพระอุโบสถ ดูไม่ต่างอะไรกับการยืนยามเฝ้ารอบพระอุโบสถครับ ยักษ์ทั้ง 12 ตนสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 พร้อมกับยักษ์วัดแจ้ง ยักษ์แต่ละตนก็จะมีชื่อประจำตัวด้วยครับ

ลวดลายบนพระเศวตกุฏาคารวิหารยอด ดูละเอียด สวยงามมากๆ ครับ

โดยรอบพระระเบียงมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ เริ่มตั้งแต่ภาพนารายณ์อวตารปางต่างๆ ก่อนที่จะอวตารเป็นพระราม ปรากฏอยู่ตามซุ้มประตูและมุขพระระเบียง จำนวน 178 ห้อง เรียงต่อกันยาวตลอดฝาผนังทั้ง 4 ทิศ ภาพที่เห็นเป็นภาพที่เขียนขึ้นใหม่แทนภาพเดิมที่เขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 และได้มีการซ่อมต่อๆ กันมาในหลายๆ รัชกาลครับ

พระอุโบสถ ตั้งอยู่ส่วนกลางของวัด มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีซุ้มประดิษฐานเสมารวม 8 ซุ้ม รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ตัวพระอุโบสถมีฐานปัทม์รับอีกชั้นหนึ่ง ประดับครุฑยุดนาคหล่อด้วยโลหะปิดทอง ผนังพระอุโบสถในรัชกาลที่ 1 เขียนลายรดน้ำบนพื้นชาดแดง รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้ปั้นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ปิดทองประดับกระจกเพื่อให้เข้ากับผนังมณฑป ปิดทองประดับกระจกบานพระทวารและพระบัญชรประดับมุกทั้งหมด ที่เชิงบันไดมีสิงห์หล่อด้วยสำริดบันไดละคู่ รวม 12 ตัว โดยได้แบบมาจากเขมรคู่หนึ่ง แล้วหล่อเพิ่มอีก 10 ตัวครับ

ด้านในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระแก้วมรกต พระประทับนั่งอย่างสมาธิราบในสกุลช่างล้านนา เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ซึ่งรัชกาลที่ 1 ได้ทรงอัญเชิญมาจากเมืองเวียงจันทน์ แกะสลักมาจากหยกสีเขียวเข้ม พระแก้วมรกตจะมีเครื่องทรงที่แตกต่างกันไปในแต่ละฤดู ซึ่งเครื่องทรงเหล่านี้ทำด้วยทองคำประดับเพชรและสิ่งมีค่าชนิดต่างๆ ถือเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญที่พระมหากษัตริย์จะต้องเสด็จฯ ไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงประจำฤดูด้วยพระองค์เองครับ ภายในพระอุโบสถไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพครับ

ที่หน้ากระดานฐานปัทม์ของพระอุโบสถประดับรูปครุฑจับนาคหล่อโลหะปิดทองอยู่โดยรอบ ผมว่าใครที่มาสักการะองค์พระแก้วมรกตคงไม่พลาดที่จะถ่ายภาพมุมนี้อย่างแน่นอนครับ

ด้านข้างของพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของหอระฆังครับ

ต้องบอกเลยว่าวัดพระแก้วเป็นสถานที่ที่รวมนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยว่าตลอดทั้งวันจะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว การบริหารจัดการภายในวัดพระแก้วจึงให้เข้าและออกคนละเส้นทาง สำหรับเส้นทางออกจะผ่านมาทางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทครับ  

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งที่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นท้องพระโรง ภายหลังเสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา ชั้นบนสุดของพระที่นั่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์และพระมเหสีตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา และเป็นที่เสด็จฯ ออกให้คณะทูตานุทูต ข้าราชการชั้นสูงเข้าเฝ้า หรือรับรองแขกผู้มีเกียรติ ภายในพระที่นั่งเป็นที่ประดิษฐานพระที่นั่งพุดตานถม ซึ่งเป็นพระราชอาสน์ราชบัลลังก์ประจำพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท องค์พระที่นั่งทำด้วยไม้หุ้มเงินถมลงยาทาทองซึ่งเรียกว่า ถมตะทอง นับเป็นเครื่องถมทองชิ้นใหญ่ที่สุดในประเทศไทยครับ

ฝั่งตรงข้ามของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นที่ตั้งของสำนักราชเลขาธิการครับ

สำหรับใครที่ต้องการจะเที่ยวชมวัดพระแก้วในแบบฉบับที่ไม่วุ่นวาย แนะนำให้มาถึงวัดพระแก้วกันตั้งแต่เช้าเลยครับ และสามารถเข้าทางประตูมณีนพรัตน์หรือประตูสวัสดิโสภา โดยประตูทั้งสองจะเปิดให้เฉพาะคนไทยเข้าไปสักการะพระแก้วมรกตได้ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ครับ (ทั้งสองประตูจะอยู่ใกล้ศาลหลักเมือง)

จากวัดพระแก้ว จุดหมายต่อไปอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม นักท่องเที่ยวทุกคนที่ออกจากวัดพระแก้วจะต้องใช้ประตูทางออกที่ประตูวิมานเทเวศร์ จากนั้นก็เดินเลาะมาตามถนนมหาราชครับ

จากประตูวิมานเทเวศร์เดินไปตามถนนมหาราช เลาะกำแพงพระบรมมหาราชวังไปเรื่อยๆ ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 10 นาที ก็มาถึงยังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามครับ

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือที่เรียกกันติดปากว่า วัดโพธิ์ วัดโบราณเก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งรัชกาลที่ 1 ได้เข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร 1 ใน 6 ของไทย (พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ประกอบด้วยวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร, วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร, วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร, วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ราชวรมาหาวิหาร, วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร และ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร) และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีครับ

จุดที่น่าสนใจในวัดโพธิ์มีหลายจุดเลย ขอพาชมทีละจุดครับ

จุดแรกขอเริ่มที่ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล เป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ 4 องค์ ตั้งอยู่ส่วนกลางของวัด ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว  ที่ซุ้มประตูจะมีตุ๊กตาหินจีนประดับอยู่ประตูละ 1 คู่ครับ องค์พระเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ ดูละเอียดอ่อนสวยงามมาก

ที่เห็นองค์เจดีย์ตั้งเรียง 3 องค์ในระนาบเดียวกัน ประกอบด้วย องค์กลางคือพระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ องค์เจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว เป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1 องค์ขวาสุดคือพระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิธา ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว เป็นเจดีย์ประจำรัชกาล 2 องค์ซ้ายสุดคือ พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง เป็นเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3 และองค์ที่อยู่ด้านหลังคือ พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาบหรือสีน้ำเงินเข้ม เป็นเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4 ครับ

องค์นี้คือพระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาบหรือสีน้ำเงินเข้ม เป็นเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4 ครับ

โดยรอบกำแพงแก้วประดิษฐานพระพุทธรูปมากมาย

มาดูในเขตพระอุโบสถกันบ้างครับ

วัดโพธิ์เป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีเจดีย์ประมาณ 99 องค์ สามารถแบ่งพระเจดีย์ต่างๆ ได้ 4 ประเภท คือ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล 4 องค์ ตามที่ผมพาชมไปแล้วด้านบน ส่วนที่ประดิษฐานในเขตพระอุโบสถประกอบด้วยพระเจดีย์ราย 71 องค์ พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียวรวม 20 องค์ และพระเจดีย์ทรงปรางค์อีก 4 องค์ครับ เพียงแค่ก้าวเข้ามาในเขตพระอุโบสถ ก็เห็นเจดีย์น้อยใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่ทั่วพื้นที่ครับ

เขตพระอุโบสถสร้างตามคติไตรภูมิ โดยให้พระอุโบสถเป็นเสมือนเขาพระสุเมรุ และมีวิหารทิศทั้งสี่เป็นเสมือนทวีปหลักทั้งสี่ครับ โดยรอบพระอุโบสถมีระเบียงแก้ว ประดิษฐานพระพุทธรูปมากมาย

ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธเทวปฏิมากร พระพุทธรูปปางสมาธิ รัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมาจากวัดศาลาสี่หน้าครับ องค์พระงดงามมาก ภายในอุโบสถยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามไม่แพ้กันครับ

สำหรับพระวิหารทั้งสี่ทิศ ได้มีการอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญจากหัวเมืองต่างๆ มาประดิษฐานไว้ โดยแบ่งออกเป็นมุขหน้าและมุขหลัง

พระวิหารทิศตะวันออก ที่มุขหน้าประดิษฐานพระพุทธมารวิชัย พระพุทธรูปปางมารวิชัย อัญเชิญมาจากวัดเขาอินทร์ เมืองสวรรคโลก ส่วนบริเวณมุขหลังประดิษฐานพระพุทธโลกนาถศาสดาจารย์ (ตามที่เห็นในรูป) ได้อัญเชิญมาจากวิหารพระโลกนาถ ภายในวัดพระศรีสรรเพชญครับ

พระวิหารทิศตะวันตก ที่มุขหน้าประดิษฐานพระพุทธชินศรีมุนานาถ พระพุทธรูปปางนาคปรก เดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองสุโขทัย โดยได้อัญเชิญมาพร้อมกับพระพุทธชินราชครับ

สำหรับอีก 2 ทิศ คือ พระวิหารทิศเหนือ ที่มุขหน้าประดิษฐานพระพุทธปาลิไลย พระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงสร้างขึ้นใหม่เมื่อครั้งทรงสถาปนาวัดพระเชตุพนฯ ส่วนพระวิหารทิศใต้ ที่มุขหน้าประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา อัญเชิญมาจากเมืองสุโขทัยครับ

วัดโพธิ์เป็นแหล่งรวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ ทางยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเมื่อมีนาคม 2551 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือตำราเวชเชตุพน และเมื่อ มิถุนายน 2554 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนจารึกวัดโพธิ์จำนวน 1,440 ชิ้นเป็นมรดกความทรงจำโลกในทะเบียนนานาชาติ ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหมละครับ

บริเวณจุดนี้คือศาลาจารึกตำรานวดแผนโบราณ  จะมีจิตรกรรมลายเส้นบอกตำแหน่งนวด นับเป็นบันทึกที่รวบรวมสรรพวิชาทางการแพทย์ครับ

บริเวณสวนจระเข้มีศาลาทรงจีนเล็กๆ ซึ่งมีการนำผลงานประติมากรรมของชาวจีนมาจัดแสดงด้วยครับ ในคอนเซปของวัวและมังกร

และสิ่งที่เป็นไฮไลต์ของวัดโพธิ์ ผมขอยกให้พระวิหารพระพุทธไสยาสน์ครับ

วิหารพระพุทธไสยาสน์สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 3 โดยได้สร้างพระพุทธไสยาสน์ขึ้นมาก่อน แล้วจึงสร้างพระวิหารในภายหลัง โดยมีขนาดเท่ากับพระอุโบสถ องค์พระพุทธไสยาสน์ก่อด้วยอิฐถือปูน ลงรักปิดทองทั่วทั้งองค์ ขนาดองค์พระยาว 46 เมตร ความสูงจากพื้นถึงยอดพระเกตุมาลา 15 เมตร มีพระบาทซ้ายและขวาซ้อนเสมอกัน ที่พระบาทประดับมุกภาพมงคล 108 ประการ ตรงกลางเป็นรูปจักรตามตำรามหาปุริสลักขณะ ลวดลายของมงคล 108 ประการเป็นการผสมผสานกันระหว่างคติความเชื่อที่รับมาจากชมพูทวีปและจีน พระพุทธไสยาสน์ที่วัดโพธิ์นับเป็นพระนอนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศเลยครับ

ออกจากวัดโพธิ์ เดินประมาณ 5 นาที มายังท่าเตียน เพื่อจะนั่งเรือข้ามฟากไปยังวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหารครับ

วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร เป็น 1 ใน 6 พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร เช่นเดียวกับวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นวัดที่สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมเรียกว่าวัดมะกอก ภายหลังเปลี่ยนเป็นวัดมะกอกนอก ต่อมาในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานีมาตั้ง ณ กรุงธนบุรี จึงเสด็จกรีฑาทัพล่องลงมาทางชลมารคถึงหน้าวัดมะกอกนอกในช่วงเวลารุ่งอรุณพอดี จึงทรงเปลี่ยนชื่อวัดมะกอกนอกเป็น “วัดแจ้ง” ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงได้ทำการปฏิสังขรณ์วัดขึ้นใหม่และได้พระราชทานพระนามวัดว่า “วัดอรุณราชธาราม” จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงปฏิสังขรณ์วัดอรุณฯ ใหม่หมดทั้งวัด พร้อมทั้งโปรดให้ลงมือก่อสร้างพระปรางค์ตามแบบที่ทรงคิดขึ้น จนสำเร็จเป็นพระเจดีย์สูง 1 เส้น 13 วา 1 ศอก 1 คืบ 1 นิ้ว ฐานกลมวัดโดยรอบได้ 5 เส้น 37 วา จากนั้นสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้สร้างและปฏิสังขรณ์สิ่งต่างๆ ในวัดอรุณฯ เพิ่มเติมอีกหลายอย่าง พร้อมได้อัญเชิญพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 2 มาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถ และได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม” ครับ ภายในวัดอรุณฯ มีจุดที่น่าสนใจหลักๆ 3 จุดครับ

จุดแรกคือพระอุโบสถ ที่ประตูซุ้มยอดมงกุฎทางเข้าพระอุโบสถจะมียักษ์ 2 ตน ยืนถือตะบองใหญ่เฝ้าอยู่ที่ประตู โดยยักษ์ที่มีกายสีขาวชื่อว่า “สหัสเดชะ” ยักษ์ที่มีกายสีเขียวชื่อว่า”ทศกัณฐ์” ยักษ์ทั้งสองมีศิลปะแบบจีน ปั้นด้วยปูนประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสี ยักษ์ทั้งสองตัวนี้แหล่ะครับที่เป็นที่มาของยักษ์วัดแจ้ง

เมื่อผ่านซุ้มยอดมงกุฎทางเข้า จะพบกับระเบียงคดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปมากมาย บนผนังเขียนรูปซุ้มเรือนแก้วลายดอกไม้ใบไม้ ดูงดงามมากๆ ครับ

พระอุโบสถเป็นแบบไทยประเพณี ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 เครื่องไม้เดิมถูกเพลิงไหม้ และได้มีการซ่อมแซมใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซุ้มเสมาทำด้วยหินอ่อนเป็นรูปบุษบกยอดเจดีย์  ใบเสมาเป็นเสมาคู่ทำด้วยหิน สลักลวดลายด้วยความประณีต ตลอดแนวของพระอุโบสถ มีตุ๊กตาจีนตั้งเรียงแถวอยู่โดยรอบ

ด้านหน้าระเบียงคดจะมีตุ๊กตาจีนตั้งประดับอยู่โดยรอบเช่นกัน

ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระประธานชื่อ พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ ประดิษฐานเหนือแท่นไพทีบนฐานชุกชี ว่ากันว่ารัชกาลที่ 2 ทรงปั้นวงพระพักตร์พระพุทธรูปองค์นี้ด้วยพระองค์เอง กึ่งกลางระหว่างพระอัครสาวกทั้งสองมีพัดยศของพระประธาน ภายในพระพุทธอาสน์ของพระประธานเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 2 ครับ

สำหรับจิตกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถเขียนเป็นภาพพุทธประวัติ สวยงามน่าชมมากครับ

จุดที่น่าสนใจจุดที่ 2 คือบริเวณพระปรางค์ครับ ที่ด้านหน้าพระปรางค์จะมีวิหารน้อยและโบสถ์น้อยขนาบอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของทางเข้าไปสู่องค์ปรางค์

พระวิหารน้อยมหาจุฬามณี เป็นวิหารเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระมหาจุฬามณีเจดีย์ ซึ่งเป็นพระสถูปขนาดใหญ่หล่อด้วยโลหะ มีรูปท้าวจตุโลกบาลยืนเฝ้าพระเจดีย์อยู่ทั้ง 4 มุม เดิมวิหารน้อยแห่งนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตเมื่อครั้งอัญเชิญมาจากนครเวียงจันทร์ในสมัยกรุงธนบุรี แต่พอเมื่อย้ายพระแก้วมรกตไปที่วัดพระแก้ว จึงได้มีการสร้างพระมหาจุฬามณีขึ้นตั้งบูชาแทนพระแก้วมรกตครับ ภายในพระมหาจุฬามณีได้บรรจุพระทันตธาตุ (ฟัน) และพระเกศาธาตุ (ผม) ของพระพุทธเจ้าเอาไว้ครับ

สำหรับโบสถ์น้อย เป็นที่ประดิษฐานพระปูนปั้นลงรักปิดทองปางมารวิชัยบนฐานชุกชี มีพระพุทธรูปขนาดน้อยใหญ่หลายองค์

ด้านหน้าฐานชุกชีเป็นลับแลก่ออิฐถือปูน มีพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงเครื่องพระมหากษัตริย์ประทับห้อยพระบาท ตามพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ว่า เมื่อจวนสิ้นรัชกาล พระองค์ทรงผนวชและมาประทับ ณ โบสถ์แห่งนี้ครับ

พระปรางค์วัดอรุณฯ ถือได้ว่าเป็นศิลปกรรมที่สง่าและโดดเด่นที่สุด ก่อสร้างโดยช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญ บนพระปรางค์ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบและเครื่องถ้วยชามเบญจรงค์ที่นำเข้ามาจากจีน มีลวดลายงดงาม เป็นของเก่าแก่ที่หายาก ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมา จนครั้งล่าสุดเมื่อช่วงปลายปี 2560 นี่เองครับ

เดินเที่ยวถึงตรงนี้ สารภาพเลยว่าหมดเรี่ยวหมดแรงครับ ด้วยความร้อน ความหิว ใจอยากจะเดินขึ้นไปด้านบนองค์พระปราง แต่สังขารมันไม่ไหวแล้วจริงๆ เพียงแค่จะยกแขนเพื่อจะประคองกล้องขึ้นมาถ่ายรูป ยังแทบจะยกไม่ไหวเลย

อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือวิหารหลวง ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระประธานมีนามว่า พระพุทธชัมภูนุทมหาบุรุษลักขณาอสิตยานุบพิตร พระปางมารวิชัย ที่หล่อด้วยทองแดงปิดทอง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ครับ ได้มานั่งพักสงบจิตสงบใจ รับอากาศเย็นๆ ภายในวิหาร ช่วยให้พลังกลับเข้าร่างมาได้เยอะเหมือนกันครับ

ด้านข้างของวิหารหลวงเป็นที่ตั้งของมณฑปพระพุทธบาทจำลองครับ

บริเวณท่าเรือด้านหน้าพระปรางค์วัดอรุณ จะมีบริการล่องเรือชม 3 วัด คือ วัดอรุณฯ วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร และวัดระฆัง มีค่าบริการ 30 บาทต่อคน โดยจะมีเรือรับส่งเป็นรอบๆ หากมีเวลามากพอแนะนำให้ลองใช้บริการดูนะครับ

เรือล่องมาเรื่อยๆ ผ่านมาแถวปากคลองตลาด มองเห็นสะพานพุทธ วิวด้านหลังสะพานพุทธเต็มไปด้วยป่าตึกสูงระฟ้า ดูสวยงามมากๆ ครับ

นั่งเรือไม่นาน เรือก็มาจอดส่งที่ท่าเรือวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารครับ

วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวง เป็นวัดที่เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศบ้านและซื้อที่ดินข้างเคียงเพื่อสร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2368 แล้วได้น้อมเกล้าฯ ถวาย รัชกาลที่ 3 ทรงพระราชทานนามว่าวัดกัลยาณมิตร ต่อมาพระองค์ทรงสร้างพระราชทานทั้งพระวิหารหลวงและพระประธานปางมารวิชัยสำหรับพระวิหารหลวง นั่นคือพระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต โดยทรงมีพระราชประสงค์ให้เป็นพระพุทธรูปใหญ่ริมแม่น้ำเช่นเดียวกับที่วัดพนัญเชิงครับ

ด้านข้างของวิหารหลวงเป็นหอระฆัง ที่เก็บระฆังยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย ติดกับหอระฆังเป็นพระอุโบสถ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ (ป่าเลไลย์) โดยรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระราชทานไว้ นับเป็นวัดเดียวในเมืองไทยที่มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือภาพจิตรกรรมฝาผนัง แสดงพุทธประวัติและวิถีชีวิตชาวบ้านในสมัยรัชกาลที่ 3 ครับ

จากท่าเรือหน้าวัด เดินต่อไปทางสะพานพุทธตามพนังกั้นน้ำจะพบกับ ศาลเจ้าเกียนอันเกง หรือ ศาลเจ้าแม่กวนอิม เป็นศาลเจ้าจีนเก่าแก่กว่าร้อยปีของชุมชนกุฎีจีน ว่ากันว่าชาวจีนฮกเกี้ยนที่ตามเสด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นผู้สร้างขึ้น เดิมมี 2 ศาลติดกัน แต่ภายหลังเกิดทรุดโทรมลงไปมาก จึงมีการรื้อศาลทั้ง 2 ลงแล้วสร้างศาลขึ้นใหม่เหลือเพียงหลังเดียว ซึ่งก็คือศาลเจ้าในปัจจุบัน ภายในศาลมีเจ้าแม่กวนอิมเป็นองค์ประธานหลักครับ

ภายในศาลเจ้ามีสิ่งของล้ำค่าที่ได้รับการอนุรักษ์ทั้งไม้เครื่องแกะสลักที่มีความประณีตเป็นอย่างมาก รวมถึงภาพจิตรกรรมฝาผนัง ส่วนภายนอกศาลเจ้ามุงด้วยกระเบื้องโค้งตามแบบจีนแท้ ภายในศาลไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพครับ

เดินต่อไปอีกสักนิด เป็นที่ตั้งของ โบสถ์ซางตาครูส หรือ วัดกุฎีจีน โบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกริมแม่น้ำเจ้าพระยา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้พระราชทานที่ดินให้ชาวโปรตุเกสที่อพยพหนีภัยมาจากกรุงศรีอยุธยาเข้ามาตั้งถิ่นฐานและสร้างโบสถ์ขึ้นเป็นศูนย์กลางของชุมชน โบสถ์หลังที่เห็นในปัจจุบันเป็นอาคารหลังที่สามซึ่งสร้างขึ้นเพื่อทดแทนอาคารหลังเดิมที่คับแคบและชำรุดทรุดโทรมมากๆ ปัจจุบันโบสถ์หลังนี้มีอายุรวมกว่า 100 ปี จุดเด่นของโบสถ์แห่งนี้คือยอดโดมแบบอิตาลี มีลักษณะคล้ายกับโดมแห่งมหาวิหารฟลอเรนซ์ หรือโดมของพระที่นั่งอนันตสมาคม เสียดายในวันที่ผมไปโบสถ์ปิด เลยไม่มีโอกาสได้เข้าไปชมด้านในครับ

จากโบสถ์คริสต์เดินย้อนกลับมาที่ท่าเรือวัดกัลยาณมิตรอีกครั้งเพื่อรอขึ้นเรือไปยังวัดต่อไป นั่นคือวัดระฆัง ตอนขึ้นเรือให้เตรียมตั๋วเรือที่ซื้อจากท่าเรือวัดอรุณไว้ด้วยนะครับ เพราะจะต้องแสดงตั๋วให้คนเรือดูก่อนขึ้นเรือครับ

นั่งเรือมาไม่นาน เรือก็มาจอดส่งที่ท่าเรือวัดระฆังครับ

วัดระฆังโฆสิตารามมหาวิหาร เป็นวัดโบราณที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา เดิมชื่อวัดบางหว้าใหญ่ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงและโปรดเกล้าฯ ให้สังคยนาพระไตรปิฎกที่นี่ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 มีการขุดพบระฆังโบราณในเขตวัด จึงได้เรียกว่าวัดระฆังกันตั้งแต่นั้นมาครับ

ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระประธานยิ้มรับฟ้า พระพุทธรูปเนื้อทองสำริดปางสมาธิ เบื้องพระพักตร์มีรูปพระสาวก 3 องค์นั่งประนมมือดุจรับพระพุทธโอวาท พระประธานองค์นี้ได้รับการยกย่องว่างดงามมาก จนปรากฏว่าครั้งหนึ่งเมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จมาถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดระฆังฯ ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ ว่าไปวัดไหนไม่เหมือนมาวัดระฆัง พอเข้าประตูโบสถ์พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที ด้วยเหตุนี้จึงทรงถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์และมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกแด่พระประธานองค์นี้เป็นพิเศษ เชื่อกันว่าหากมาไหว้พระที่วัดระฆังแล้ว จะมีคนนิยมชมชื่น มีชื่อเสียงโด่งดังตลอดปี เหมือนดั่งระฆังครับ

จากวัดระฆัง เดินเท้าต่อนิดหน่อยเพื่อไปยังท่าวังหลัง ซึ่งระหว่างทางมีร้านอาหารและร้านค้ามากมายให้เลือกช้อปเลือกชิม ผมเองก็มาฝากท้องไว้แถวท่าวังหลังเหมือนกัน  จากท่าวังหลังนั่งเรือข้ามฟากไปยังท่ามหาราช เมื่อขึ้นที่ท่ามหาราชแล้ว เดินมาทางขวาอีกนิดจะเจอที่จำหน่ายตั๋วเรือด่วนเจ้าพระยาเพื่อจะนั่งไปยัง ล้ง 1919 สำหรับค่าเรือ 50 บาท ครับ

ข้อแนะนำในการเที่ยววัดและเดินทาง

1. ถ้าหากใครต้องการเที่ยววัดตามโปรแกรมที่ผมพาเที่ยว ขอให้ทานอาหารเช้าไว้เยอะๆ รวมถึงถ้าตุนเสบียงติดไม้ติดมือไปด้วยก็จะดีครับ เพราะระหว่างที่เที่ยวชมวัดที่ 3 เป็นต้นไป (ซึ่งจะใกล้ๆ กับช่วงเวลาอาหารเที่ยง) อาจจะหาอาหารทานยากซะหน่อยครับ ผมเองได้อาหารเช้าตอน 07.30 น. มาทานมื้อเที่ยงอีกทีเกือบๆ 15.00 น.ครับ

2. ติดอุปกรณ์กันแดดไว้เยอะๆ จะเป็นหมวกหรือร่มก็ได้ เพราะแดดแรงมากๆ ครับ

3. ใช้เรือเป็นพาหนะในการเที่ยวจะสะดวกที่สุด เป็นการนั่งพักและชมวิวสองข้างทางไปในตัวครับ

4. บัตรโดยสารเรือด่วน (Chao Phraya Tourist Boat) หากซื้อแบบเที่ยวเดียว ราคา 50 บาท แต่ถ้าซื้อแบบบัตรโดยสารแบบ 1 วัน ราคา 180 บาท ซึ่งจะสามารถใช้เดินทางกี่รอบก็ได้ภายใน 1 วัน โดยเรือจะจอดเฉพาะท่าเรือที่ปรากฏตามภาพด้านล่างเท่านั้นครับ

จากท่ามหาราช ผมนั่งเรือตากลมชมวิว กำลังจะฟินกับบรรยากาศสองข้างทางอยู่แล้ว คนเรือก็ประกาศให้เตรียมตัวลงที่ท่าเรือล้ง 1919 แล้ว แหม เสียดายจริงๆ ถ้าได้นั่งต่อไปอีกสักท่าสองท่า คงจะได้หลับบนเรือแล้ว อิอิ

ล้ง 1919 ที่เที่ยวแนว Heritage สไตล์จีนโบราณ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยการปลุกกระแสให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมไทย-จีน โดยทำการปรับปรุงท่าเรือ ฮวย จุ๋ง ล้ง อดีตท่าเรือกลไฟริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เคยมีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นจุดเชื่อมความสัมพันธ์อันรุ่งเรืองในยุคทองของการค้าระหว่างไทย-จีน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป การค้าทางเรือถูกเข้ามาแทนที่ด้วยการคมนาคมอื่นๆ ที่ทันสมัยขึ้น ท่าเรือแห่งนี้จึงถูกลดบทบาทลง ปัจจุบันท่าเรือแห่งนี้ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และยังสามารถดำรงรักษามรดกเชิงศิลปวัฒนธรรมอันเป็นมรดกของชาติได้เป็นอย่างดี

ภายในล้ง 1919 ประกอบด้วยศาลเจ้าแม่หม่าโจ้ว คลองสาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวจีนในแผ่นดินไทย ที่มีอายุมากกว่า 167 ปี (ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของอาคาร) นอกจากนี้ยังมีอาคารจัดงานอีเว้นท์ต่างๆ ลานกิจกรรมกลางแจ้ง ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดีไซน์ งานฝีมือจากศิลปินร่วมสมัยรุ่นใหม่ ต้องบอกเลยว่าเพียงแค่ก้าวขึ้นมาจากท่าเรือ ได้เห็นโกดังเก่า ได้เห็นอาคารไม้สถาปัตยกรรมจีนโบราณ ภาพจิตกรรมฝาผนังจากปลายพู่กันจีน มันให้ความรู้สึกได้ย้อนกลับไปยังสมัยที่ท่าเรือ ฮวย จุ๋ง ล้ง รุ่งเรืองจริงๆ ครับ

วันนี้เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ดูเวลาสมควรที่จะเข้าที่พักได้แล้ว ทริปนี้ผมเข้าพักที่ Chatrium Hotel Riverside Bangkok ไว้ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากล้ง 1919 สักเท่าไร ผมเลือกเดินทางโดยเรือโดยสารฟรี ที่มีบริการจากท่าเรือล้ง 1919 ไปส่งยังท่าเรือสาทร และจากท่าเรือสาทรก็นั่ง Shuttle Boat ของโรงแรมเพื่อไปส่งยัง Chatrium Hotel Riverside Bangkok ครับ

Chatrium Hotel Riverside Bangkok โรงแรมระดับ 5 ดาว ที่ได้รับการการันตีความเป็นที่สุดจากเวปไซต์ต่างๆ มากมายอย่าง TripAdvisor, Hotel.com, HolidayCheck ฯลฯ เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีทิวทัศน์ที่งดงามไม่เหมือนใครครับ

จากบนเรือ เราจะมองเห็นตึกสูงตระหง่านตั้งเคียงกัน 3 ตึก ส่วนที่เป็นโรงแรมจะเป็นตึกที่อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยามากที่สุดครับ

บริเวณลอบบี้กว้างขวางเลยทีเดียว มีมุมให้แขกได้นั่งพักผ่อนระหว่างรอการ Check in/Check out ด้วย ระหว่างเช็คอิน พนักงานจะแนะนำรายละเอียดต่างๆ ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรม ตารางเวลา shuttle boat การใช้งาน Free wifi รวมถึงมอบ Welcome Drink Voucher ให้เราได้ดื่ม Welcome Drink เวลาไหนก็ได้ตลอดการเข้าพัก จากนั้นจะขอเรียกเก็บค่าประกันห้องพัก 2,000 บาท (จะคืนให้ในตอน Check out) ครับ

ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ตามมาตรฐานโรงแรมระดับ 5 ดาว คือต้องใช้ Key Card ในการขึ้น-ลงลิฟต์ เนื่องจากโรงแรมมีทั้งหมด 36 ชั้น เพื่อความสะดวกของแขกที่เข้าพัก ทางโรงแรมได้แบ่งลิฟต์ออกเป็น 2 ส่วน คือลิฟต์ที่ใช้สำหรับชั้น 1-16 และลิฟต์ที่เปิดรับส่งเฉพาะชั้น 1, 4, 6 และ 17-36 ซึ่งช่วยให้ผู้ที่พักอยู่บนชั้นสูงๆ ขึ้นลงได้เร็วขึ้น เพราะลิฟต์ตัวนี้ไม่จอดรับส่งแขกที่อยู่ในชั้นที่ 7-16 สำหรับการเข้าพักในครั้งนี้ ผมเข้าพักในห้องพักแบบ Grand Suite One-Bedroom River View ครับ

เปิดประตูห้องพักเข้ามาก็แอบร้องว้าวว...เลยครับ เพราะเบื้องหน้าของผมสามารถมองเห็นวิวคุ้งน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาแบบไม่มีอะไรบดบังเลย

ภายในห้องพักมีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว แถมยังแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจน มีพื้นที่ห้องนั่งเล่นพร้อมชุดโซฟาและทีวี LCD ขนาดใหญ่ ที่โดนใจคือ มีช่องรายการให้เลือกชมทั้งช่องต่างประเทศ รวมถึงช่องรายการท้องถิ่นของเมืองไทยอย่างช่อง one ช่อง Workpoint ซึ่งถูกใจคอละครอย่างผมมากๆ ครับ (ปกติไปพักโรงแรมขนาดนี้ ส่วนใหญ่จะเจอแต่ช่องต่างประเทศและช่องเมืองไทยหลักๆ อย่าง 3,5,7,9 เท่านั้น)

บริเวณประตูทางเข้าห้องเป็นพื้นที่สำหรับจัดเตรียมอาหาร ซึ่งมีอุปกรณ์ทำครัวที่เรียกได้ว่าครบครันเลยทีเดียว มีทั้งไมโครเวฟ เครื่องดูดควัน ตู้เย็นขนาดใหญ่ กาน้ำร้อนสำหรับชงกาแฟ อุปกรณ์จานชาม ซิ้งค์ล้างจาน นอกจากนี้ยังมีมุมสำหรับนั่งรับประทานอาหารอีกด้วยครับ

Welcome Fruit น้ำดื่ม รวมถึงชากาแฟ ที่อยู่ด้านนอกตู้เย็น เป็น Complimentary ส่วน Mini bar ในตู้เย็น รวมถึงขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่อยู่ในลิ้นชัก มีค่าบริการครับ

ห้องพักทุกห้องจะมีระเบียงส่วนตัวสำหรับให้ออกมาชมวิว พร้อมมีชุดโต๊ะเก้าอี้ให้ได้นั่งทอดอารมณ์ชมทิวทัศน์ด้วย สำหรับวิวนั้นอยู่ที่ว่าเราจองห้องแบบไหนไว้ ห้องพักที่นี่มี 2 วิว คือวิวเมืองและวิวแม่น้ำ และที่พิเศษสุดสำหรับห้องพักวิวแม่น้ำ นั่นคือสามารถชมพระอาทิตย์ตกที่ระเบียงห้องได้เลย เสียดายที่วันที่ผมเข้าพักฝนดันตกเสียนี่ นึกแล้วเศร้า...

ถัดจากห้องนั่งเล่น จะมีประตูบานเลื่อน เมื่อเปิดเข้าไปจะเป็นส่วนของห้องน้ำและห้องนอน ทางด้านซ้ายของประตูเลื่อนจะเป็นอ่างล้างหน้า ส่วนด้านขวาจะเป็นห้องน้ำ บริเวณอ่างล้างหน้ามีไดร์เป่าผมไว้ให้พร้อม

ห้องน้ำแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ อ่างอาบน้ำ โถสุขภัณฑ์ และตู้อาบน้ำแบบฝักบัว  ผนังด้านหนึ่งของห้องน้ำเป็นกระจก สามารถอาบน้ำไปชมวิวแม่น้ำไป หรือถ้าหากต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถปิดมู่ลี่ด้วยระบบไฟฟ้าได้ครับ เสียดายที่โถสุขภัณฑ์ไม่มีสายฉีดชำระครับ

พื้นที่ในส่วนห้องนอน มีมุมสำหรับให้นั่งทำงาน ผมว่าเป็นมุมทำงานที่สวยที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะมองเห็นคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเต็มๆ ตา เตียงขนาด King size พร้อมหมอนนุ่มๆ อีก 4 ใบ บอกเลยว่านอนสบายมากๆ ในห้องยังมีทีวี LCD ตู้เสื้อผ้า เสื้อคลุมอาบน้ำ ตู้นิรภัย รวมถึงเตารีดผ้าพร้อมที่รองรีดให้อีกด้วยครับ

มีบริการ in-room Dining ด้วยครับ

วิวที่มองจากระเบียงห้องพักผมครับ

โดยรวมแล้วห้องพักถือว่า OK เลย ห้องพักกว้างขวาง สะอาดสะอ้าน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้านตัวเองเลยครับ

ได้มาอาบน้ำพักผ่อนนอนตากแอร์ ทาน Welcome Fruit ไป ชมวิวสวยๆ ไป ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้งเลย ตอนนี้พลังกลับมาแล้ว ค่ำนี้ผมยังมีอีก 1 สถานที่ที่จะไปเดินเล่น นั่นคือ Asiatique The Riverfront ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้นเองครับ

การเดินทางไป Asiatique The Riverfront จากโรงแรมสามารถเดินทางได้ 3 วิธี คือ เดิน นั่งรถ และนั่งเรือ Shuttle Boat (ซึ่งจะต้องนั่งเรือของโรงแรมไปที่ท่าเรือสาทรก่อน จากนั้นรอเรือฟรีของ Asiatique ที่บริเวณท่าเรือสาทรเช่นกัน)

Asiatique The Riverfront เป็นศูนย์การค้าริมแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เดิมพื้นที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของท่าเรือและบริษัทอีสต์เอเชียติก สัญชาติเดนมาร์ก มาเปิดกิจการในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยสร้างเป็นโกดัง โรงเลื่อย และนำเครื่องจักรขนาดใหญ่หลายตัวมาติดตั้งไว้ ท่าเรือนี้คือสัญญาณการเริ่มต้นของการทำการค้าระหว่างประเทศ ระหว่างราชอาณาจักรไทยและประเทศในยุโรป และเป็นกุญแจสำคัญในการที่สยามยังคงรักษาอธิปไตยและความเป็นอิสระจวบจนทุกวันนี้

ภายในโครงการเอเชียทีค ได้สอดแทรกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเพื่อเป็นการให้ความรู้ในลักษณะจดหมายเหตุเกี่ยวกับความสำคัญในด้านต่างๆ พร้อมบอกเล่าถึงความเจริญของสถาปัตยกรรมในยุคนั้น ด้วยการปรับปรุงอาคารเก่าและรักษาโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมในสภาพเดิมไว้เกือบทั้งหมด อาทิ หลุมหลบภัยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 รางรถโบราณ โรงเลื่อยเก่า เครนโรงเลื่อย ซุ้มโกดังสินค้า ท่าเรือประวัติศาสตร์ และเครนยกของริมน้ำครับ

เอเชียทีคเป็นสถานที่ที่รวมแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร มุมถ่ายรูปสวยๆ มาไว้ภายในสถานที่เดียวกัน นอกจากนี้ยังมี “เอเชียทีค สกาย” ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อขึ้นไปแล้วจะเห็นทัศนียภาพโดยรอบของเมืองกรุงในแบบมุมสูงได้รอบตัวเลยครับ ผมใช้เวลาซึมซับกับบรรยากาศราวๆ 1 ชั่วโมง ก็เดินทางกลับไปพักผ่อนที่ห้องครับ

ก่อนเข้านอนคืนนี้ ขอออกมาซึมซับกับบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้เต็มอิ่มที่ระเบียงห้องอีกสักรอบ บรรยากาศยามที่มีแสงและยามค่ำ มันให้ความรู้สึกคนละอารมณ์กันเลย อยากให้เพื่อนๆ ได้มานอนชมดาวบนดินแบบผมบ้างจังเลยครับ

เมื่อวาน ไม่มีโอกาสได้เห็นแสงเย็นหลังพระอาทิตย์ตก เช้านี้เลยรีบตื่นขึ้นมา เผื่อจะได้เห็นแสงเช้าบ้าง แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ ท้องฟ้าเปิด พอที่จะมองเห็นแสงเช้าพาดผ่านมาทางระเบียงห้องที่ผมพักได้บ้าง

ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว เลยลงมาเก็บบรรยากาศภายในห้องอาหารเช้าให้ชมกันครับ อาหารเช้าให้บริการที่ห้องอาหาร River Barge ซึ่งอยู่บริเวณชั้นล่างสุด ชั้นเดียวกับ Lobby ครับ

ห้องอาหาร River Barge ให้บริการอาหารเช้าตั้งแต่ 06.00-10.30 น. สามารถให้บริการเมื่อแขกมาพร้อมๆ กันได้ประมาณ 150 คนครับ แต่ในวันที่ผมเข้าพัก แขกค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ทำให้ช่วงสายๆ มีแขกต้องมารอต่อคิวเพื่อรอใช้บริการอาหารเช้ากันเยอะพอสมควร

ไลน์บุฟเฟต์เป็นแบบ International Buffet ครับ

มี Egg Station และ Noodle Station ที่ปรุงกันสดใหม่เลยครับ

อาหารนับว่าหลากหลายและรสชาติดีเลยทีเดียว มีทั้งอาหารไทย อาหารญี่ปุ่น อาหารจีน อาหารอินเดีย อาหารฝรั่ง สลัดผัก ชีส เบเกอรี่ ผลไม้สด ผมเพลิดเพลินกับอาหารเช้าอยู่นานนับชั่วโมงครับ

สำหรับใครที่ชอบนั่งทานในบรรยากาศ outdoor นั่งทานอาหารไป ชมวิวสวนเขียวไป ก็มีที่นั่งให้พอสมควรครับ

ช่วงเช้าผมไม่ได้วางโปรแกรมออกไปเที่ยวที่ไหนแล้ว เพราะอยากจะตักตวงความสุขความสบาย ภายในโรงแรมให้มากที่สุด เลยมีเวลาออกสำรวจสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมให้กับแขกที่เข้าพักครับ

ขอเริ่มต้นที่บริเวณสวนหย่อมชั้นล่าง อยู่บริเวณด้านข้างห้องอาหารนั่นเอง สวนหย่อมร่มรื่นเลยทีเดียว สามารถมาเดินออกกำลังกายใต้สวนเขียวได้นะครับ

บริเวณรอยต่อของ Lobby และ ห้องอาหาร River Barge เป็นที่ตั้งของ Lobby Lounge ให้บริการเครื่องดื่มและอาหารว่างประเภทเบเกอรี่ครับ  

อ้อ... Welcome Drink Voucher ที่ได้มาช่วง Check in สามารถนำมาใช้บริการได้ 3 จุดนะครับ จุดแรกคือที่ Lobby Lounge นี่แหล่ะ สามารถนำมาใช้ได้ตั้งแต่เวลา 07.00-23.30 น. จุดที่สองคือที่ Pool Bar ซึ่งอยู่บนชั้น 6 สามารถนำมาใช้ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-19.30 น. และจุดที่สามคือที่ Silver Waves ซึ่งอยู่บนชั้นที่ 36 สามารถนำมาใช้ได้ตั้งแต่เวลา 17.00-20.00 น.

ถามว่าจุดไหนที่นั่ง Drink แล้วฟินที่สุด ตอบเลยว่า ที่ Silver Waves ฟินที่สุดครับ เพราะ Silver Waves อยู่บนชั้นที่ 36 สามารถชมวิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาได้แบบเต็มๆ ตาในวิว 180 องศา หากมาใช้บริการถูกช่วงถูกเวลา ก็จะได้เห็นพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าได้ด้วย ส่วนจุดที่สอง แนะนำที่ Lobby Lounge เพราะได้มองเห็นบรรยากาศสวนเขียว ส่วนที่ Pool bar ผมว่ามันอยู่ในมุมอับไปสักหน่อยครับ

Welcome Drink จะมีให้เราเลือก 3 ประเภทครับ คือ Soft Drink (โค้ก/สไปรต์), น้ำผลไม้ (น้ำส้ม/น้ำสับปะรด/น้ำมะนาว), Punch ซึ่งจะเป็น Mocktail ที่มีส่วนผสมของ น้ำฝรั่ง น้ำสับปะรด ครับ

Fitness Center อยู่บนชั้น 4 ภายใน Fitness นอกจากจะมีเครื่องออกกำลังกายที่หลากหลายแล้ว ยังมีบริการห้องซาวน่าที่แยกห้องชายหญิงอีกด้วยครับ

สระว่ายน้ำจะอยู่บนชั้น 6 เป็นสระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้ขนาด 35 เมตร ทอดตัวยาวสู่แม่น้ำเจ้าพระยา และที่พิเศษไปกว่านั้นคือมีอ่างจากุซชี่กลางแจ้งที่ตั้งอยู่ริมสระใหญ่ รวมถึงมีสระว่ายน้ำสำหรับเด็กด้วย นอกจากนี้ยังมีเก้าอี้ไว้ให้นอนอาบแดดอีกด้วย 

ด้านในสุดของสระว่ายน้ำเป็นที่ตั้งของ Pool Bar ซึ่งผมว่าตำแหน่งของ Pool Bar จะอยู่ในมุมอับไปสักหน่อยครับ

เดินสำรวจกันจนเหงื่อซึม ขอกลับขึ้นไปอาบน้ำ นอนเล่นชิวๆ รอให้อาหารเช้าย่อยกันสักนิด เพราะมื้อเที่ยงนี้ ผมจะไปใช้บริการที่ห้องอาหาร Silver Waves ครับ

ช่วงเวลา 11.30-14.30 น. ณ ห้องอาหาร Silver Waves ซึ่งอยู่บนชั้น 36 จะให้บริการ Dim Sum Buffet ครับ

ภายในห้องอาหาร Silver Waves แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนครับ ส่วนแรกคือบริเวณจุดนี้  สำหรับให้ลูกค้ามานั่งจิบเครื่องดื่มที่สามารถสั่งจากเมนูของห้องอาหาร หรือจะเป็นเครื่องดื่ม Welcome Drink ที่จะได้รับ Voucher ตอน Check in ครับ

พื้นที่ในส่วนที่ 2 สำหรับแขกที่มารับประทานอาหารครับ

ห้องอาหาร Silver Waves เป็นห้องอาหารจีน ที่ตกแต่งในแนว Modern Chinese โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบจากเฉดสีที่สวยงามของเครื่องลายครามจีน ที่ให้ความรู้สึกสงบและสง่างาม ดูหรูหรา ภายในห้องอาหารออกแบบให้มีเพดานสูง และใช้กระจกแทนผนังตึก จึงทำให้ห้องอาหารดูสูงโปร่ง มองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยาได้แบบเต็มตา ห้องอาหาร Silver Waves ได้รับรางวัลห้องอาหารจีนยอดเยี่ยมจาก TripAdvisor นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลอื่นๆ อีก อย่างเช่น 1 ใน 10 ห้องอาหารจีนที่ดีที่สุดในกรุงเทพ ที่เห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยา จาก 10best.com รางวัลห้องอาหารจีนยอดเยี่ยม “Bangkok Best Restaurant Award 2014” รางวัลห้องอาหารยอดเยี่ยมด้านอาหารและการบริการ (Thailand Tatler Best Restaurant Award 2015) ครับ

ต้องบอกเลยว่าค่าอาหารหลักร้อย แต่วิวหลักล้านจริงๆ ครับ

เมนูติ่มซำของที่นี่มีให้เลือกกว่า 50 ชนิด มีทั้งประเภทซุป ทอด อบ นึ่ง รวมถึงก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวผัด และปิดท้ายมื้อด้วยของหวานครับ

ผมขอเริ่มที่ประเภทซุปก่อนนะครับ เมนูนี้คือซุปเกี๊ยวแฮมยูนนาน

ซุปกระเพาะปลาเนื้อปูน้ำแดง

นอกจากนี้ยังมีซุปเนื้อปลาไข่เยี่ยวม้า, ซุปข้าวโพดเนื้อปู และซุปเสฉวนครับ

ต่อด้วยประเภททอดและอบ เริ่มด้วยฟองเต้าหู้ห่อกุ้งทอด

เผือกสอดไส้ซีฟู้ดทอด

พายหมูแดง

ขนมผักกาด

ทาร์ตไข่

นอกจากนี้ยังมีเมนูปอเปี๊ยะหมูแดงและเป็ดย่าง, ปอเปี๊ยะกุ้ยหลิน, ปอเปี๊ยะแซลมอน, เกี๊ยวกุ้งทอด, กรรเชียงปูทอด, ข้าวเหนียวทอดไส้หมูและกุ้งครับ

ประเภทผัก เริ่มด้วย บร๊อคโคลี่ราดกังป๋วย (หอยเชลล์แห้งปรุงรส) และยังมีผักรวมผัดกระเทียมด้วยครับ

Special Dish เริ่มด้วย กุ้งผัดซอสเสฉวน

หมูแดงอบน้ำผึ้ง

เป็ดย่างหนังกรอบ อีกหนึ่งเมนูคือ ไก่ผัดซอสปักกิ่งครับ

ประเภท Noodle Rolls เริ่มที่ก๋วยเตี๋ยวหลอดหมูแดง

ก๋วยเตี๋ยวหลอดหอยเชลล์ และยังมี ก๋วยเตี๋ยวหลอดไก่ เป็ด กุ้งและเห็ดครับ

ประเภทนึ่ง เริ่มที่ขนมจีบกุ้งมันปู

ฮะเก๋า

เนื้อปลาเก๋าสอดไส้กุ้งซอสเต้าซี่

ซี่โครงหมูนึ่งซอสเอ็กซ์โอ

กุ้งนึ่งซอสซีฟู้ด

ขาไก่พริกไทยดำ

กรรเชียงปูนึ่งซอสผงกะหรี่

นอกจากนี้ยังมีเนื้อปลานึ่งซอสพริกไทยดำ, เกี๊ยวกุ้ง กังป๋วย และปูอัดนึ่ง, ขนมจีบปู, ขนมจีบต้มยำกุ้ง, ขนมจีบแกงเขียวหวานกุ้ง, สาหร่ายพันปูอัดไส้กุ้งน้ำแดง, เห็ดหอมยัดไส้กุ้งน้ำแดง, ฮะเก๋าซีฟู้ดไข่เค็ม และฮะเก๋ากุ้งและหอยเชลล์ครับ

ประเภทซาลาเปา เริ่มที่ซาลาเปานมสด

ซาลาเปาไส้หมูแดง ซาลาเปาไส้ครีม และซาลาเปาเซี่ยงไฮ้

และขอแนะนำซาลาเปาส้มแมนดาริน ทานแล้วสัมผัสได้ถึงกลิ่นส้มแมนดาริน ไส้ออกเปรี้ยวเล็กน้อย ทานแล้วรู้สึกสดชื่นเลยครับ

ประเภทข้าวและก๋วยเตี๋ยว เมนูนี้คือ ข้าวผัดไก่และปลาเค็ม

นอกจากนี้ยังมีข้าวผัดหยางโจว, เส้นใหญ่ราดหน้าหมู, อีหมี่ผัดแห้งแฮมสไลด์และปลาป่นครับ

ปิดท้ายของหวานด้วยสาคูแคนตาลูป

นอกจากนี้ยังมีแปะก๊วยร้อน, แปะก๊วยเย็น, เต้าฮวยเย็นฟรุ๊ตสลัด และผลไม้รวมครับ

การันตีความอร่อยโดยเชฟวิราช ผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงอาหารจีนมานานกว่า 25 ปี คอยพัฒนารสชาติอาหารและดัดแปลงเมนูต่างๆ ให้ถูกปากลูกค้าอยู่ตลอดเวลา เชฟได้ออกมาพูดคุยทักทายและถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับอาหารจีนให้กับผมด้วยครับ

รสชาติอาหารโดยรวมของแต่ละเมนูนั้น อร่อยเลยทีเดียวครับ เชฟได้คัดสรรวัตถุดิบชั้นดี เห็นถึงความใส่ใจในกระบวนการผลิต หน้าตาอาหารของแต่ละเมนูดูน่าทานทุกจาน นอกจากอาหารจะอร่อยแล้ว วิวทิวทัศน์โดยรอบห้องอาหารก็ถือว่าเป็นสิ่งชูรสให้อาหารอร่อยเพิ่มขึ้นไปอีก เหมาะกับการพาคนรัก ครอบครัว และเพื่อนฝูงมาหาความสุขจากการรับประทานอาหารร่วมกัน สำหรับใครที่เป็นคอติ่มซำ ผมว่า Dim Sum Buffet ที่ห้องอาหาร Silver Waves เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีเลยครับ แนะนำว่าให้โทรมาสำรองโต๊ะกันก่อน เพื่อจะได้ที่นั่งมุมดีๆ ริมกระจกบานใหญ่นะครับ ที่ 02-3078888 ต่อ 1948-1949 ครับ สำหรับค่าบริการต่อท่าน ผู้ใหญ่ราคาสุทธิท่านละ 820 บาท เด็ก อายุ 6-11 ปี ราคาสุทธิท่านละ 410 บาท ราคานี้ยังไม่รวมเครื่องดื่มนะครับ สำหรับเครื่องดื่มมีให้บริการแบบ Refill เป็นชาจีนและน้ำเก๊กฮวย มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็น ค่าบริการท่านละ 95 บาทครับ

หลังจากอิ่มท้อง คงต้องอำลาเมืองกรุงกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ที่บริเวณท่าเรือของโรงแรม จะมีเต้นท์เล็กๆ สำหรับให้แขกได้มานั่งรอเวลาที่เรือจะออกไปรับและส่งครับ โดย Shuttle Boat จะให้บริการทุกๆ 15-30 นาที แล้วแต่ช่วงเวลาครับ (ช่วงที่ Check in พนักงานที่ Lobby จะมอบตารางเดินเรือให้ครับ)

จากการเข้าพักที่ Chatrium Hotel Riverside Bangkok ให้ความรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนในบ้านตัวเอง สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมากๆ ทำเลที่ตั้งถือว่าดีมากๆ เช่นกันเพราะอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ห้องพักแต่ละห้องมีวิวสวยๆ ให้ชม  การเดินทางมายังโรงแรมก็สะดวก สามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์ ทางรถไฟฟ้า (ลงสถานี bts สะพานตากสิน จากนั้นต่อ Shuttle Boat ของทางโรงแรม) แถมยังอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและแหล่งช้อปปิ้งที่สำคัญของกรุงเทพมากมาย

นับเป็น 2 วัน 1 คืนที่ทำให้ผมมีความสุขมาก ได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตาตัวเอง มองเห็นโลกกว้างขึ้นอีกเยอะ ทริปนี้เรียกได้ว่าอิ่มทั้งท้อง (จนแทบจะเดินไม่ไหว) อิ่มทั้งกาย ทั้งใจ (พักผ่อน นอนหรู ดูวิวสวยๆ)  และอิ่มเอิบหัวใจ (ตะเวนไหว้พระทำบุญ) ต้องบอกเลยว่าวัดที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสนั้น ทรงคุณค่ามากๆ แต่ละวัดมีความงดงามในแบบฉบับและมีเอกลักษณ์ของตัวเองเป็นอย่างมาก ผมเข้าใจแล้วว่า ทำไมนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกถึงต้องการมาเยือนและพักแรมในกรุงเทพมากที่สุด ผมเองก็คงต้องหาโอกาสกลับมาตะลุยกรุงเทพอีกสักหลายๆ ครั้ง เพราะยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกหลายแห่งที่วางแผนว่าจะไปในทริปนี้ แต่ไม่ได้ไป ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาที่มีเพียง 2 วัน 1 คืน ใครอยากจะอิ่มเอมใจเหมือนผม ลองตามโปรแกรมที่ผมพาเที่ยวได้นะครับ แล้วจะรู้ว่าความสุขอยู่รอบๆ ตัวเรานี่เองครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ