Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
เดอะแก๊งปากหมาฯ พาหลง ไปเดินเล่นเมืองลี้ หนีร้อนไปดอยช้าง สัมผัสหมู่บ้านกระเหรี่ยงป่าแป๋ จังหวัดลำพูน (Lamphun Province) จ.ลำพูน
    • Posts-1
    Taya@ •  March 06 , 2018

    คนโดนเท...เดินเซไปลำปูนนนนน

    อย่างที่บอก ปีนี้นโยบายการออกทริป คือ "สายบุญ...ขาเลาะ" ใจหนึ่งอยากเข้าป่า ยิ่งฟัง แมีกซ์ เจนมานะ ร้องเพลงวันหนึ่งฉันเดินเข้าป่ายิ่งอยากเดินตามไปเลย อิอิ

    เพื่อไม่ให้ผิดคอนเซ็ป เราเลยตั้งเป้าว่าอยากไปนอนนับดาวสัมผัสลมเย็น ดื่มด่ำวิถีชุมชนชาวกระเหรี่ยง และสโลว์ไลฟ์สไตล์เดอะแก๊งปากหมาฯ ที่ึี่ซึ่งเรื่อยๆ เอื่อยๆ เฉื่อยๆ เถลไถลไม่เคยเดือดร้อนว่าจะนอนยังไง กินยังไง ขอแค่มีที่พอให้กางเต้นท์และห้องน้ำก็พอแล้ว

    Go go go เราไปลำปูนกันเต๊อะ!!!! แต่>>>>ทำไม ต้องลำพูน????

    เพราะ>>>ลำพูนเป็นเมืองเล็กที่สุดในภาคเหนือ และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานน่าสนใจ เป็นเมืองที่มีความสวยงามทั้งประเพณี วัฒนธรรมและการอยู่ร่วมกันของชุมชน ผู้คนกระเหรี่ยงเผ่าต่างๆ เป็นเมืองที่มีความสโลว์ไลฟ์อย่างแท้จริง>> และอีกหลายเหตุผลที่จะมาเยือนรวมทั้งเป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวเยอะแยะมากมาย

    เราออกเดินทางกันคืนวันพุธก่อนวันหยุดในวันพระใหญ่ "มาฆบูชา" กว่าจะได้เจออย่างพร้อมเพรียงก็เล่นปาเข้าไป 4 ทุ่ม

    เราไม่เคยต้องให้เวลามาเป็นข้อจำกัด เพราะค่ำที่ไหน นอนมันตรงนั้น รอบนี้วางแผนคร่าวๆ เพียงว่าอยากไปให้ทันตักบาตรผักผลไม้ "สาวสวยซุ่มซ่าม" เลยต้องคำนวณระยะฝีเท้าที่เหยียบน้องมังคุด เวลาจำกัดของเราอยู่ที่เที่ยงคืน เดอะแก๊งฯ เป็นคนอนามัยต้องนอนให้พอจะได้มีแรงเที่ยวต่อ 5555 เวลา ตี 3.30 คือเวลาที่ต้องเดินทางต่อ  รอบนี้รถค่อนข้างน้อยเพราะผู้คนไม่ค่อยออกไปเที่ยวกัน เลยพอทำเวลาได้ แต่ยังไง๊ ยังไง แม้จะไปสายเหนืออยู่บ่อยครั้งก็ต้องหลงตามสไตล์เดอะแก๊งฯ จนเป็นอาการปกติที่ไม่มีใครตื่นเต้นกัน เพียงขอให้ได้หลงสักนิดไม่งั้นก็ไม่ใช่เดอะแก๊งฯ สิ 5555  

    เลือกใช้เส้นทางถนนหมายเลข 1 นครสวรรค์-ตาก-ลำพูน แต่เป็นการตัดสินใจของ "สาวสวยซุ่มฯ" คนเดียวเพราะคนอื่นๆ หลับกันยาวววววว ในความเป็นจริง ."สาวเท่ห์ฯ" ตั้งใจจะให้ไปเส้นนครสวรรค์-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์ เพราะในขณะที่หลับๆ อยู่ได้ยินเสียง "สาวสวยซุ่มฯ" กำลังถกเถียงกะ "สาวคิกขุ" ว่าถึงตากแล้ว สะดุ้งตื่น!!! ไปทำไม ตาก ??? อ้าว +++ ก็ดูจากแผนที่มันใกล้กว่าง่ะ.... เฮ้า เอาวะ ไปก็ไปเพราะจะให้วนรถกลับก็ไม่ทันแล้ว เพราะพวกเราถือว่า เดินหน้าแล้วไม่มีถอยหลัง 5555   เส้นทางที่เราไปแม้จะระยะทางสั้นกว่า แต่รู้แล้วว่าทำไม "สาวเท่ห์ฯ" ให้ไปอีกเส้น เพราะทางต้องขึ้นเขา - ลงเขา - โค้งหักศอก มันเลยออกจาเสียวๆ นิดส์หนึ่ง แต่มั่นใจได้ในการขับของ "สาวสวยซุ่มฯ" เพราะรถไม่มีเบรค แหกโค้งได้เหมือนลู่ลม แม้สองสาวจะแอบมีกรี๊ดไปตามจังหวะการโยก ทำให้คิดถึง "สาวห้าวฯ" ที่หากมาด้วยมีหวังต้องขอถุุงเพื่อกันอ้วกแน่นอน 55555  โยก โยก โยก โยกเข้าไปให้มันหลุดโลก 

    เราถึงบริเวณชุมชนและวัดพระบาทห้วยต้มตามที่กำหนดไว้ คือ 08.45 น.และรีบเข้าไปให้ทันชาวบ้านตักบาตรผักผลไม้กัน>>>

    จากถนนหลักสายลำพูน-ลี้ เข้าไปประมาณ 5 กิโลเมตรกว่า ถนนลาดยางใหม่ ทำให้ขับแบบสบายใจถึงแม้ 2 ข้างทางจะดูแห้งๆ แต่ก็ยังมีความสวยงามให้เห็น ^^ โล่งอก เห้อออ!!!! ชาวบ้านยังคงทยอยเอาผักและผลไม้ไปรวมกันเพื่อรอถวายพระ ในช่วงเวลานี้พระยังสวดมนต์อยู่ในโบสถ์ เดอะแก๊งฯ จึงมีเวลาไปหาซื้อผลไม้ ขอบอกที่นี้เป็นชุมชนเขตปลอดเนื้อสัตว์ มีข้อห้ามปักป้ายเด่นชัดไว้หน้าวัดเลยว่า ห้ามนำเนื้อสัตว์เข้ามาในบริเวณวัดโดยเด็ดขาด ชาวบ้านล้วนมีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาจึงทำให้ดูเป็นชุมชนที่สงบ เรียบร้อย สะอาดและผู้คนก็ดูยิ้มแย้มสวยงาม ไม่ได้ชมจนออกนอกหน้านะ แต่เมื่อเข้ามาในบริเวณหมู่บ้านได้สัมผัสถึงบรรยากาศนี้จริงๆ 
    ชาวบ้านจะเป็นชาวกระเหรี่ยงปกาเกอะญอ วันพระใหญ่ค่อนข้างมีความสำคัญต่อชาวบ้านในชุมชน ทุกคนจะแต่งกายสวยงามเพื่อมาวัด เดอะแก๊งฯ ตื่นตาตื่นใจทั้งเสื้อผ้าที่สวยงามของชาวบ้าน และราคาของผักผลไม้และอาหารของที่นี้ เพราะถือได้ว่าถูกมากมาย มีชาวบ้านกระซิบบอกคืนนี้ตอนเวียนเทียนชาวบ้านทั้งหนุ่มสาวลูกเด็กเล็กแดงและคนแก่จะแต่งกายสวยงามมาวัด 

    แค่นี้ก็สนุกแล้วสิ แต่ตอนนี้รีบไปร่วมถวายผลไม้ก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาเดินเล่นกัน

    เสร็จภารกิจในการถวายผักและผลไม้ เรายังมีเวลาในการเดินชมหมู่บ้าน ท้องหิวแล้วเพราะยังไม่ได้กินข้าว หันไปเห็นร้านข้าวมันไก่ติดกับวัดจึงขอเข้าไปชิมหน่อยนะ ไอ้เราก็เปิ่น ไปถึงก็สั่งเลย "เอาข้าวมันไก่ไม่เอาหนัง 1 คะ" น้องแม่ค้าหันมายิ้มบอกที่นี้ไม่มีหนังอยู่แล้วคะ มีแต่หนังเทียมและเอาออกยาก เราก็หือ !!!! ลืมไป ป้ายอันเบ่อเริ่ม ว่าเป็นร้านมังสวิรัติ หน้าแหกแตกเป็นเสี่ยงๆเลย 5555

    เพื่อไม่ให้หน้าแตกไปมากกว่านี้เลยถามเมนูว่ามีอะไรบ้าง สั่งมันทุกอย่าง 555 แต่ขอบอกว่า "อร่อยทุกอย่าง ยิ่งขนมจีนเจ กับส้มตำเจ กินจนยกจานซดน้ำกันเลยทีเดียว 555 แถมด้วยแคปหมูเจที่ทำจากฟองเต้าหู้ อือหือ มันแซ่บจริงไรจริง ^^

    หลังจากกินอิ่มแล้วเราจึงต้องเดินเล่นในวัดและชุมชนเพื่อย่อย บรรยากาศดีมาก ขอบอกในวัดตกแต่งสวยมากด้วยธรรมชาติและต้นไม้ อากาศสบายๆ เดินไปแล้วอยากนอนแถวนั้นซะเลยเพราะมีกุฏิพระที่เหมือนบ้านพักหรือรีสอร์ทบริเวณวัดมีอาคารที่มีภาพติดผนังที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ไว้สวยงามมาก ยิ่งในโบสถ์ยิ่งสวยงามเพราะมีพระพุทธบาทอยู่ด้วย แต่ข้อห้ามคือผู้หญิงเขาจะมีเขตกั้นไว้จึงไม่สามารถดูได้อย่างใกล้ชิด 

    เดินดูรอบๆ ยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย บริเวณวัดสงบเงียบและร่มรื่น ผู้คนที่นี้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จากที่สังเกตหลายคนจะถอดรองเท้าไว้ตั้งแต่ประตูเข้าวัดเพื่อไม่ให้เหยียบเม็ดทรายออกไปจากวัด และไม่ตะโกนโหวกแหวก 

    เราเดินเล่นกันจนจะสาย เห็นมีร้านขายเครื่องเงิน และเห็นป้ายมีศูนย์วิจัยงานหัตถกรรมบ้านห้วยต้ม อืมมม น่าจะมีของให้ชม ต้องไปพิสูจน์ ห่างจากวัดประมาณ 300 เมตร ย้อนกลับออกมา เลี้ยวเข้าไปตามป้ายบอกทางด้านขวามือ ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง เห็นผู้สาวเล็ก-ผู้สาวใหญ่กำลังรวมกลุ่มกันปักผ้า ทอผ้าและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน งานนี้อยากขอเข้าไปร่วมด้วยแต่ยืนมองแล้วคงยากอ่ะ ฝีมือไม่มี 5555 นอกจากจะเป็นศูนย์รวมให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันทำแล้วยังมีศูนย์จำหน่ายด้วย เห็นแล้วอยากขนกลับใส่ท้ายรถให้หมดเพื่อเอามาขายต่อ 5555 แต่ก็เกรงใจสาวเท่ห์ฯ กะสาวคิกขุฯ ที่อาจต้องตีรถทัวร์กลับกรุงเทพเองเพราะไม่มีที่นั่งสำหรับเธอสองคน ^^ ที่เห็นและชอบอีกอย่างคือป้ายและพระบรมฉายาลักษณ์คู่บารมี ทั้ง 4 พระองค์ 

    เวลาใกล้เที่ยง เราต้องไปหาข้าวกินกัน สาวเท่ห์ฯ เสนอเราไปหาร้านข้าวและกินบรรยากาศกันที่ "คิดถึงวิทยา" กันไหม??? อืมมมม อะไรคือ "คิดถึงวิทยา" อ๋อ+++ คือ เรือนแพที่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "คิดถึงวิทยา"  ไม่ใช่ชื่อสถานที่ท่องเที่ยวหรอก อิอิ เพราะจริงๆ แล้วมีชื่อเรียกว่า "แก่งก้อ"

    อุทยานแห่งชาติแม่ปิง เราเข้ามาตามเส้นทางตรงไปที่ "แก่งก้อ" คือจุดเช็คอินสถานีถัดไปของเรา ซึ่งอยู่ห่างจากชุมชนวัดพระบาทประมาณ 40 กิโลเมตร

    "แก่งก้อ" จะมีจุดกางเต้นท์ ทีแรกเดอะแก๊งฯ ตั้งใจจะนอนกางเต้นท์ที่นี้ แต่นึกขึ้นได้ต้องกลับไปเวียนเทียน กลัวจะเสียเวลาย้อนไปมา ค่อยไปหาที่พักในตัวเมืองลี้จะใกล้กว่า

    เสียดายที่มาในวันนั้น ที่ร้านอาหารในเรือนแพอาหารโน้น นี้ นั่น ที่เดอะแก๊งต้องการหมดไปหลายอย่าง มีเฉพาะอาหารที่มีข้อจำกัดของแต่ละคน จึงได้แต่สั่ง ข้าวผัดปู และต้มยำเท่านั้น TOT 

    ใกล้จะมืดค่ำหละ เดอะแก๊งฯ ยังไม่มีที่พัก เราจึงต้องออกไปหาที่พักกันในตัวเมืองลี้ ขับมันไปเรื่อยๆ ในตัวเมืองลี้มีที่พักให้เลือกหลายที่ แต่เราขอแบบติดถนนเดินทางสะดวกเพราะเดี๋ยวพวกเราจะต้องไปร่วมเวียนเทียนกับชาวบ้านที่พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงสาใกล้ๆ กับวัดพระบาทห้วยต้มอีก กลัวจะเสียเวลา เพราะขอบอก ตั้งแต่เช้าเรายังไม่ได้อาบน้ำกันเลย แต่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วนะคร้าาาา ^^

    เดอะแก๊งฯ ได้ที่พักคือ โชคไพบูลย์ รีสอร์ท อยู่ถนนสายลี้ - บ้านโฮ่ง เลยตัวเมืองลี้มาประมาณ 500 เมตร และเลยปั้ม ปตท.ประมาณ 100 เมตร ชอบที่มีห้องพัักหลากหลายให้เลือกที่สำคัญคือราคาไม่แพง ออกจะถูกแต่ไม่มีอาหารเช้า เราเลือกห้องแอร์ราคา 400 บาท เตียงใหญ่สามารถนอนได้ 3 คน ห้องกว้างเพราะรูปแบบบ้านเป็นหลัง

    เดอะแก๊งฯ ไม่เอาอะไรมาก แค่ขอที่พักสะอาด เตียงนุ่ม อากาศเย็นสบายมีตู้เย็น น้ำดื่ม เครื่องทำน้ำอุ่นก็แค่นั้น 55555 แหม!!!! นี้ก็ดีถมเถ เพราะจริงๆ เดอะแก๊งฯ นอนง่ายไม่เลือกมาก ปั้มน้ำมัน นอนบนดิน กินกันบนรถก็ทำกันมาหมด แค่นี้ก็สุดยอดแล้ว ใจจริงกะขอแค่บริเวณสนามหญ้าบ้านไว้กางเต้นท์หละ แต่เกรงใจ อิอิ ^^

    อาบน้ำแต่งตัวเสร็จหละ เริ่มออกเดินทางกันต่อเดี๋ยวเขาจะกลับกันหมด 

    เสร็จจากเวียนเทียน ดีใจที่วัยรุ่นผู้หนุ่ม-ผู้สาวมาวัดแต่งกายสวยงามกัน ยิ่งดึกผู้คนยิ่งหนาตา เดอะแก๊งฯ นั่งเล่นชื่นชมบรรยากาศ แต่ไม่วายท้องหิว เลยเดินไปหาขนมกินที่ร้านขายของชำข้างๆ รู้สึกมีความสุขมากมายเพราะขนมราคาถูกมาก ติดใจเห็ดลมทรงเครื่อง แม้จะแข็งไปนิดแต่รสชาติอร่อย เลยเหมาไปจนเกือบหมด ของในท้องถิ่นราคาถูกมากถุุงละ 5 บาท 10 บาท แต่ถ้าของที่เอามาจากในเมืองก็ราคาตามปกติแต่อาจจะถูกกว่าในกรุงเทพและใน 7-11 เพราะไม่ต้องจ่ายค่าแอร์ อิอิเสร็จจากเวียนเทียนเริ่มง่วงนอน อ๋อ เป็นเพราะเรายังไม่ค่อยได้นอนกันเลย ว่าแล้วทำไมยังไม่ 3 ทุ่มเลย ต่างคนต่างหาวแล้ว รีบกลับไปชาร์จพลังดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ต้องไปอีกหลายที่ กู้ดไนท์นะ ราตรีสวัสดิ์    
    • Posts-2
    Taya@ •  March 09 , 2018

    สัมผัสวิถีชุมชนป่าแป๋

    สถานีถัดไปเราเตรียมตัวเดินทางไปบ้านป่าแป๋ ศึกษามาเบื้องต้น ข้อมูลอาจคลาดเคลื่อนบ้างต้องขออภัย 

    หมู่บ้านกระเหรี่ยงป่าแป๋ เป็นชุมชนเล็กๆ อยู่ในอำเภอโฮ่ง จังหวัดลำพูน มีผู้คนชาวปกาเกอะญออาศัยอยู่ประมาณ 300 คน มีสถานทีี่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามคือ ดอยช้าง ที่ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของชาวบ้านและเป็นจุดสูงสุดจากระดับน้ำทะเลของจังหวัดลำพูน

    เดอะแก๊งฯ มีข้อมูลอยู่แค่ว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีวิถีชุมชนที่น่าสนใจและยังคงมีธรรมชาติที่บริสุทธิ์ จึงเป็นเป้าหมายที่เดอะแก๊งฯ อยากไปสัมผัส เราโชคดีที่ได้รู้จัก "พี่เล็ก" เจ้าของร้านกาแฟ Pa-ka Coffee หรือเรียกว่า "กาแฟปากา" ที่ย่อมาจาก "ปกาเกอะญอ" ด้วยความอยากกินโกโก้และชาเย็นเลยเข้าไปกวนใจและปล่อยหมาในปากใส่พี่เล็ก จนสอบถามรู้ว่ายังมีสถานที่ท่องเที่ยวตามสไตล์เดอะแก๊งปากหมา เราจึงไม่รีรอให้พี่เล็กติดต่อประสานเจ้าหน้าที่ที่จะพาขึ้นไปสัมผัสดอยช้าง และเรียนรู้วิถีของชุมชน

    ขอบอกว่าเดอะแก๊งฯ ไม่ได้เป็นคอกาแฟและปกติไม่กินกาแฟ ยกเว้น โอเลี้ยง 555 เจอพี่เล็กบอกว่ามาที่ร้านนี้แล้วต้องลองสัมผัสรสชาติกาแฟ พี่จะทำกาแฟให้พวกเรากินได้ หือออ+++ แหมม พี่เล็กน่ารักขนาดนี้ จัดมาเลยคร้า เตรียมรับมือหละ 555 พี่เล็กเลยจัดสูตรกาแฟดอกไม้ กาแฟผลไม้และกาแฟรสส้ม มาให้ชิม ขอบอกว่ากลิ่นของกาแฟหอมมากมาย กลิ่นดอกไม้ก็ละมุน พอถามว่ามันคือดอกอะไร ก็ได้รับคำตอบว่า "ดอกอะไรไม่รู้" อืมมมม จะไฝว้ใช่ม้าาาา 5555 แต่เราก็ยังไม่ทิ้ง โกโก้เย็น ก็มันอยากกินนี้ 5555

    พี่เล็กเล่าให้ฟังว่า กาแฟของที่ร้านจะเป็นกาแฟที่ปลูกบนดอยในหมู่บ้านป่าแป๋ และพี่เล็กจะเอามาตากและคั่วพร้อมทั้งบดเองในทุกขั้นตอนจะทำด้วยมือ เรียกให้เท่ห์คือ "กาแฟแฮนด์เมด" 5555

    เสร็จจากการกวนตรีนพี่เล็ก และวุ่นวายที่ร้านพักใหญ่ น้องๆ ชาวกระเหรี่ยงป่าแป๋ก็พร้อมในการมารับและเดินทางพาเดอะแก๊งฯ ขึ้นดอยช้าง โดยการนำของ "ปุ๊" หรือ "Deepunu" , "อุ๊" หรือเรียกสั้นๆว่า "ยุอุ๊" 555 คือ มันเรียกสั้นๆ ตรงไหน และ "ชาปวย" ที่เดอะแก๊งฯ เรียกเพี้ยนเป็น "ชาปุย" หรือ "ชักกุย" ตลอด 555 กว่าจะออกเสียงถูกเล่นเอาเหนื่อย

    เดอะแก๊งฯ ต้องเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางเป็นมอเตอร์ไซด์ เพราะรถยนต์ไม่สามารถขึ้นไปได้ เราเลยต้องจอดรถไว้ที่ร้านกาแฟ Pa-Ka สนุกสนานกะการนั่งรถมอ'ไซด์ น้องๆ บอกเพ่ๆ เอาเป้มาวางด้านหน้าเลยเพราะเดี๋ยวมันขึ้นแล้วมันจะเททั้งคนทั้งรถ แต่เดอะแก๊งฯ บอกไม่เป็นไร ไม่หนักขอแบกเองหละกัน เหอะเหอะ สารถีทั้ง 3 คนแอบหัวเราะในลำคอ แอบเห็นสายตาจิกๆ เหมือนจะบอกว่า ไม่เชื่อก็คอยดู  ฮ่าฮ่าฮ่า

    เริ่มเดินทางกัน สนุกสนานกับการนั่งเกร็งจับพนักรถแน่น แอบกรี๊ดในใจเพราะไม่กล้ากรี๊ดดังอาจทำให้สารถีต๊กใจ 555 ลุ้นตลอดทาง แอบจิกหัวแม่เท้าช่วยเหยียบเบรคและเผลอบิดมือเหมือนจะช่วยเร่งเครื่องยนต์เพราะกลัวเครื่องจะดับระหว่างทางที่กำลังจะเหินขึ้นเขาและเลี้ยวหักศอกทันที สนุกและลุ้นยิ่งกว่าขึ้นรถไฟเหาะ 5555

    ลุ้นกันตลอดทางกับระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ระหว่างทาง ชาปวยพยายามเป็นมัคคุเทศก์อธิบายชี้โน้นชี้นี้ให้ดู แต่อารมณ์นี้มีแต่อารมณ์ลุ้น ตื่นเต้นมือเกร็ง แต่ชื่นชมคะ ชื่มชมในใจ อิอิ ถ้าถ่ายหน้าตอนนั้นจะเห็นเลยว่า เดอะแก๊งฯนั่งหน้าเหวอ มือคอยจับเป้ อีกมือจับพนักหลังรถอย่างแน่น พักใหญ่จึงถึงที่หมาย เป็นบ้านของ "ปิ๊" น้องชาย ปุ๊ คืนนี้เราจะนอนกันที่นี้

    หลังจากเก็บกระเป๋าและสัมภาระเรียบร้อย ปุ๊จึงพาเดอะแก๊งฯ ไปเที่ยวชมในหมู่บ้าน แผนการณ์คร่าวๆ ของเราคือ เที่ยวชมวิถีชุมชนกันถึงเย็น ค่ำๆ ค่อยนั่งล้อมวงกินข้าว รู้ว่าปุ๊เป็นศิลปิน-นักร้อง งานนี้เดอะแก๊งฯจึงขอฟังสักหนึ่งเพลง 

    ชุมชนที่นี้มีทั้งศาสนาพุทธและคริสต์ พวกเราตั้งเป้าเริ่มต้นไปวัดเพื่อไหว้พระกันก่อน ปุ๊ เล่าให้ฟังถึงความเป็นมาเป็นไปของชุมชนแห่งนี้ มีทั้งเรื่องราวที่น่าทึ่ง ประหลาดใจบวกเศร้าใจที่คนนอกพื้นที่มาสร้างความแตกแยกให้กับผู้คนในท้องถิ่น

    เหมือนนั่งฟังเรื่องย่อของบทภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเรื่องจริง แต่การที่ "เรา" นักท่องเที่ยวมีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมวิถีชุมชนในแต่ละท้องที่ เราควรศึกษาวัฒนธรรม ประเพณีความเชื่อของท้องถิ่นเพื่อทำความเข้าใจ โดยไม่ต้องเข้าไปเพื่อให้ชุมชนเปลี่ยนแปลงวิถีให้กลายเป็นแค่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวในเมืองที่เข้ามาสัมผัสเพียงฉาบฉวย และกลายเป็นก่อปัญหาภายหลังให้กับชุมชน ทิ้งขยะ ทั้งขยะความคิดและขยะที่เป็นมลพิษให้กับชุมชนและให้ผู้คนในท้องถิ่นต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบจัดการเก็บขยะที่เกิดขึ้น อืมมมม พวกเราขึ้นชื่อว่าเป็นนักท่องเที่ยวต้องเที่ยวอย่าง "อารยชน" จึงจะเรียกว่าเท่ห์จริง

    เราผ่านโรงเรียน และบ้านของผู้คนในหมู่บ้าน ชาวบ้านเพิ่งกลับจากการหาของป่าและเพาะปลูก ทำให้เดอะแก๊งฯ มีโอกาสได้เข้าไปพูดคุย และได้เรียนรู้คำทักทายภาษากระเหรี่ยงที่ว่า "ชามิช๊อปเปอร์" หรือ "ชาโอช๊อปเปอร์" นี้แหละจำไม่ได้ แหะ แหะ ไม่รู้ออกเสียงถูกป่าว >>> กลัวพูดเพี้ยนแล้วมันจะแปลเป็นคำอื่นไป ฝึกพูดลิ้นพันกันบ้างออกเสียงผิดบ้างเรียกเสียงหัวเราะของชาวบ้านได้ ก่อนจะยื่นมือไปจับ แวะมันทุกบ้าน และสนุกสนานกับการร่วมลงมือทำกิจกรรมกับชาวบ้านที่เขากำลังทำกันจริงๆ เช่น ตำข้าว ทอผ้า หุงข้าว  การทอผ้าดูเหมือนจะง่าย แต่พอลองทำ อืมมม มัน งง ก็ตอนเอาด้ายสอดนี้แหละ เข้าผิดรู ออกอีกรู จนพี่ๆ คงระอาว่าทำไมสอนยากสอนเย็นยังงี้ แต่ขอสารภาพ งานการบ้านการเรือนนี้มันเป็นสิ่งของต้องห้ามไม่เข้ากันจริงๆ กะเดอะแก๊งฯ 5555

    หลังจากป่วนไปตามบ้านของแต่ละบ้านแล้ว เดอะแก๊งฯ เริ่มหิวแล้วสิ ชาปวยชี้และเก็บกาแฟสดๆ เม็ดสีแดงมาให้กิน เราก็ หืออออ มันกินได้ด้วยหรา อืมม เพิ่งรู้ว่ามันจะออกหวานๆ อาหร่อย 5555 ตอนนี้ท้องมันเริ่มร้อง อะไรกินได้ตอนนี้เอาโหม้ดดด ^^

    อากาศเริ่มเย็น ปุ๊ รีบพาสาวๆ เดอะแก๊งฯ กลับที่พักเพื่ออาบน้ำ เวลาประมาณ 17.30 น. อากาศเย็นประมาณ 24 องศา ที่นี้ใช้น้ำประปาหมู่บ้านที่เอามาจากเขา สาวเท่ห์ฯ ถึงขั้นบ่น คร๊าย ครายเอาน้ำแข็งมาแช่น้ำ เย็นโคตร 5555 เราใช้เวลาอย่างรวดเร็วในการอาบน้ำ ราดน้ำทีเหมือนร่างจะแตก 555 แต่พวกเราก็อาบน้ำนะ 

    ที่นี้ใช้ไฟที่มาจากการแปลงจากระบบโซล่าเซลล์ ทำให้เดอะแก๊งฯ เกรงใจหากต้องขอใช้ไฟกับเรื่องที่ไม่จำเป็น เช่นชาร์ทมือถือ หรือดูทีวี ขอบอกที่หมู่บ้านไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ทำให้เราหลุดออกจากโลกโซเซียสและหันมาพูดคุยกันมากขึ้น 

    มื้อนี้บรรดาเจ้าของบ้านซึ่งมี ปุ๊ ปิ๊ ต่าย และแคะน้องสาว ปุ๊ ดูแลอย่างดี พวกเราตื่นเต้นกับน้ำพริกปลากระป๋อง และผักลวกของท้องถิ่นที่อร่อยสุดๆ กินแบบไม่เกรงใจเจ้าของบ้านเพราะมารู้ตัวอีกทีก็เล่นกินน้ำพริกกันหมดถ้วย แหมม+++อายจัง 5555

    เวลา 2 ทุ่มกว่าๆ อากาศยิ่งเย็นกว่าเดิม พวกเรานั่งล้อมวงผิงไฟ ฟัง ปุ๊ เล่นดนตรีและร้องเพลง และฟังเรื่องราวของหมู่บ้านจาก "ตา" ผู้สูงอายุวัย 70 กว่าปีที่ยังดูแข็งแรง ปุ๊ เป็นล่ามในการแปลความหมายจาก "ตา" ผู้ที่ใช้ชีวิตแบบพอเพียง และมีความสุขอย่างแท้จริง "ตา" มีแนวคิดดีๆ ให้เดอะแก๊งฯ ได้ขบคิดถึงการใช้ชีวิตที่พอเพียง และการหาความสุขที่แท้จริงให้กับตัวเอง เคลิ้มๆ กันไปจนหลับ 5555

    พรุ่งนี้เราวางแผนไว้ว่าต้องตื่นตี 4.30 น. เพื่อจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ดอยช้าง คืนนี้เพลียและง่วงแล้ว และอากาศเริ่มหนาวมากขึ้น คิดถึงฟูก หมอนและผ้าห่มที่ต่ายเตรียมไว้ให้แล้ว ขอตัวไปซุกเพื่อเอาแรงก่อนดีกว่า คร๊อกกกฟี้ ^^

     

    • Posts-3
    Taya@ •  March 10 , 2018

    ตื่น ตื่น พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว

    เสียงนาฬิกาปลุกตั้งแต่ตี 4 อากาศหนาวมาก เดอะแก๊งฯ ตื่นกันแต่ไม่อยากลุกออกจากที่นอน แต่ก็พยายามดึงมือเพื่อนให้ลุกและบอกไปเข้าห้องน้ำก่อน ตอนนี้เริ่มเกี่ยงกันว่าใครจะไปก่อน สรุปไปมันพร้อมกันนี้แหละ 555 เหมือนจะเอาที่นอนห่อตัวไปห้องน้ำด้วย ไม่รู้หรอกว่ามันกี่องศา แค่แตะน้ำก็ยะเยือกไปทั่วร่างแล้ว 

    ตอนนี้เดอะแก๊งฯ พร้อมแล้วประมาณตี 5 กว่าๆ เส้นทางมืดมาก ชาปวย บอกว่าเส้นทางขับรถไปประมาณ 5 กิโลเมตรและมีเส้นทางเท้าอีก 1 กิโลเมตร เอ้า!!! ลุยยยยย

    ระหว่างที่ขับมามองไม่เห็นสองข้างทาง มองเห็นเฉพาะด้านหน้า ลุ้นกันอีกแล้วเพราะทางแคบกว่าที่ขึ้นมาในตอนกลางวัน นั่งเกร็งบนเบาะอีกรอบ ต้องเป็นผู้ชำนาญทางมากๆ จึงจะขับได้ เพราะบางช่วงมีโค้งหักศอกและตัดผ่านต้นไม้ หากเดอะแก๊งฯ ขับกันเองไม่หลงก็อาจเทกระจาดคว่ำทั้งคนและรถได้ 5555

    เจ้าหมาโบตั๋นที่อยู่บ้านปิ๊ วิ่งตามไปกับพวกเรา สงสัยมันคงจะชินเพราะบางช่วงวิ่งนำหน้าไปเลยทีเดียว สักพักก็ถึงจุดที่ต้องจอดรถและต่อด้วยเส้นทางเดินเท้า อากาศทั้งเย็นและหนาวเพราะลมแรง ตอนนั้นยังมืดมาก ทางขึ้นไปดอยช้างจะเป็นทางชันและขึ้นอย่างเดียว ไม่มีทางราบ พวกเราเดินๆ หยุดๆ เพราะแวะหอบเดินตามหลังปุ๊ไป 

    ปุ๊ บอกเล่าเรื่องราวของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บนดอยช้าง และกฎข้อห้ามต่างๆ ที่น่าเสียใจคือนักท่องเที่ยวหลายคนลบหลู่และเหยียบย่ำความเชื่อความศรัทธาของคนในท้องถิ่น ถึงแม้จะไม่เชื่อแต่ควรให้ความเคารพและให้เกียรติชาวบ้านในความเชื่อเหล่านั้น เพราะพวกเราที่ได้ชื่อว่า "ผู้มาเยือน" ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากออกมาและกลับบ้านไป มันเป็นความทุกข์ใจของชาวบ้านในท้องถิ่นที่พวกเราไม่อาจได้รับรู้ การท่องเที่ยวที่ไม่อยากให้เป็นเพียงการท่องเที่ยวตามกระแส ที่พอมีที่ไหนมีชื่อเสียงก็แห่กันไปสัมผัสและเปลี่ยนแปลงวิถีความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นผันเปลี่ยนให้เป็นตามแบบของคนเมือง

    ฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจ เห้อ!!! เอาเถอะ ก็แค่เสียดายความเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละชุมชนที่กลับกลายเป็นรูปแบบเหมือนๆ กันจนอัตลักษณ์ของตัวเองหายไป ก็แค่นั้น YOY

    เราหยุดพักเป็นระยะๆ จน ยุอุ๊ แซวบอกว่าสงสัยพระอาทิตย์ขึ้นรอเราแล้วมั้ง แหมมม ทีตอนแซวหละพูดชัดเจนเชียวนะ เดอะแก๊งฯ ไม่ยอมอยู่แล้ว อึบอึบ ไปต่อกัน 

    แล้วเราต้องมาหยุดกรี๊ด เพราะภาพเบื้องหน้าแสงสีส้มกำลังส่องบนท้องฟ้า รีบวิ่งลืมคิดชีวิตไปเลย ต้องรีบไปก่อนที่พระอาทิตย์ขึ้น แหะแหะ

    จุดชมพระอาทิตย์นี้สามารถมองได้ 360 องศา และเป็นจุดเดียวที่จะมาชมพระอาทิตย์ตก แต่เดอะแก๊งฯ ขอติดไว้ก่อนแล้วรอบหน้าจะกลับมาชมพระอาทิตย์ตกให้ได้ 

    พวกเราขึ้นไปถึงจุดหลังช้าง เพราะตามข้อห้ามที่ผู้หญิงสามารถอยู่ได้แค่จุดตรงนี้ แต่แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว เวลาตอนนั้นประมาณ 6 โมงเช้ากว่าๆ แต่หนาวมากเพราะมีลมแรง เพิ่งจะมารู้ทีหลังว่าอุณหภูมิ 7 องศา นั้นไง!!!  เสื้อหนาวที่เตรียมมาแบบบางเบาเพราะไม่คิดว่าจะมาเจออากาศหนาวถึงกับเอาไม่อยู่ นั่งสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ บริเวณจุดนี้เราทดสอบสัญญานโทรศัพท์กันแล้ว อืมมม สัญญานแรงชัดเจนมากทำให้สามารถไลฟ์สดให้เพื่อนๆ ได้ร่วมลุ้นกับการขึ้นของพระอาทิตย์ไปกับพวกเราด้วย ^^

    พวกเรายืนดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สวยงามพร้อมๆกับความหนาวเย็น ส่วนชาปวยและอุ๊ไปหาผลไม้ป่ามาให้ลองชิม เรียกว่า สึโดสะ ไม่รู้ว่าเรียกถูกป่าว เพราะออกเสียงยากมาก ถ้าผิดต้องขออภัยคะ 

    รสชาติของ "สึโดสะ" จะออกเปรี้ยวอมหวาน อร่อยทีเดียว 

    เราอยู่ที่นั่นพักใหญ่ แดดเริ่มร้อนจึงเดินกลับ ระหว่างทางเดินกลับ ชาปวยและอุ๊ ยังคงทำหน้าที่หาของป่ามาให้ลองชิม มีทั้งดอกไม้และยอดใบไม้ที่สามารถกินได้ทันทีและเอาไปเป็นผักเคียงกับน้ำพริก สนุกสนานกับการลองชิมโน้นนี้กันไปโดยไม่กลัวท้องเสีย 555

    พวกเราเริ่มเดินกลับ แต่ด้วยความที่เป็นทางชัน ไม่น่าเชื่อเมื่อเช้ามืดเราเดินขึ้นมาได้ยังไง ขาลงจึงต้องใช้แรงจิกหัวแม่เท้าเพื่อไม่ให้กลิ้งลงมา แต่เทคนิคการเดินลงเขาลาดชันคือเดินเอียงข้างเพราะจะมีแรงต้านไม่ให้หน้าคะมำลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่ สาวสวยซุ่มฯ กับสาวเท่ห์ฯ ใช้เทคนิควิ่งลงมาตามทางเพราะมันเบรคไม่อยู่ 555 จนพวกเราเริ่มรู้อีกเทคนิคหนึ่งคือ จับไหล่ของชาปวยแล้วเดินตามหลังรับรองไม่ล้มแน่ๆ 5555

    จนใกล้จะถึงจุดที่จอดรถมอ'ไซด์ ชาปวยบอก เอ้า+++ พ้นเขตอันตรายถึงจุดปลอดภัยแล้ว พวกเราโล่งอก แต่พักเดียว ครืนนนน เห้ยยย!! ภาพเบื้องหน้าคือ สาวคิกขุฯ ถลามาตามทางแล้วหยุดนั่งพับเพียบเรียบร้อยต่อหน้าชาปวย สาวสวยซุ่มฯ คว้ากล้องไปถ่ายเก็บภาพไม่ทัน ยังไม่ทันขาดคำของชาปวยเลย นางจึงต้องพิสูจน์ว่าสิ่งที่ชาปวยพูดคือ มันไม่จริ๊ง ไม่จริง สาวเท่ห์ฯ บอก มันไม่มีเขตปลอดภัยสำหรับพวกเรา 5555 

    กว่าเราจะเถลไถลเวลาก็ปาเข้าไป 9 โมงเช้ากว่าแล้ว ทีแรกบอกว่าจะลงจากดอยช้าง 9 โมง ก็เป็นไปตามสไตล์เดอะแก๊งฯ คือ เรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่เร่งรีบ เพราะวันนี้เราจะเปลี่ยนที่นอนไปนอนในตัวเมืองลำพูนกัน ไม่รีบร้อนอะไร 55555

    สรุปกว่าจะได้ลง ก็ปาเข้าไปจะ 11 โมง แหมมม ก็ใจมันไม่อยากกลับนี้ แต่ก็ต้องไปเที่ยวที่อื่นต่อไป งั้นเราไปต่อกัน

    หากใครสนใจจะตามรอยไปสัมผัสดอยช้าง จะติดต่อไปที่พี่เล็ก ร้านกาแฟ ปา-กา หรือจะสอบถามมาทางเดอะแก๊งฯ ได้ที่  https://www.facebook.com/gangpakmah          

     

     

       
    • Posts-4
    Taya@ •  March 10 , 2018

    แอ๋วเมืองลำปูนกั๋นเน้อเจ้า>>>ไปต่อไป

    เราลงมาจากดอยช้าง และมาหยุดพักที่ร้านกาแฟ ปา-กา เพื่อ่เดินทางกันต่อ แล้วเราจะไปไหนกันต่อดี เพราะยังมีเวลาเที่ยวอีก งั้นเราไปไหว้พระที่ดอยขะม้อกัน ไป ไป แต่จะไหวกันไหมอ่ะ เพราะต้องขึ้นบันไดไป 1,749 ขั้น เพิ่งลงจากดอยช้าง ขายังสั่นอยู่ แต่....ไหนๆ ก็ไหนๆ หละ ไปกัน

    ดอยขะม้ออยู่ใกล้กับตัวเมืองลำพูนห่างจากตัวเมืองประมาณ 20 กว่ากิโลเมตร ตั้งอยู่ตำบลมะเขือแจ้ จังหวัดลำพูน

    เราเริ่มต้นเดินประมาณบ่าย 4 โมง 15 นาที แดดร้อนทีเดียว แต่เราก็ไม่ย้อท้อในเมื่อตั้งใจมาแล้ว เหอะเหอะ!!! สู้ !! ต่อไปเถอะ ทาเคชิ 555 ใช้เวลาเดินขึ้นจริงๆ ชั่วโมงกว่าๆ แต่ขาลงทำเวลาดีมากแค่ครึ่งชั่วโมง สบายๆ ^^

    เห็นบันไดทางขึ้น แอบถอนหายใจ เห้อ!!! อึบ อึบ สู้สู้ สู้โว๊ย!!! เราเดินๆ หยุดๆ แวะพักเหนื่อย ระหว่างทางจะมีศาลาสำหรับพักและไหว้สักการะพระพุทธรูป เดอะแก๊งฯ จึงขอพักมันทุกศาลา ระหว่างทางได้ยินแต่เสียงหอบ การพูดคุยเริ่มเงียบ ต่างคนต่างมองหน้าแต่ไม่พูดอะไรเพราะเรารู้ใจกัน(หราาาา) 5555 เพราะเราเลือกมาในช่วงเข้าฤดูร้อนทำให้เห็นต้นไม้สองข้างทางใบร่วงโรย ทำให้นึกถึงบรรยากาศฤดูใบไม้ผลิ แหมม ยังมีอารมณ์ชื่นชมธรรมชาติ หนีหนาวมาเจอร้อนแท้ๆ  และแล้วก็สำเร็จจนได้ เย้ !!!! เราทำเวลา 1 ชั่วโมงกับอีก 10 นาที 

    พวกเราขึ้นมาเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสุดท้าย เพราะไม่มีกลุ่มไหนเลยที่เดินตามมา ยังหวั่นใจว่าจะสามารถเข้าไปดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้หรือเปล่า เพราะเขาห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าไปบริเวณบ่อน้ำ แต่มาแล้วก็ไปกันให้มันสุด 

    ไม่น่าเชื่อ พวกเราเดินขึ้นไป เจอนักท่องเที่ยวผู้ชายคนหนึ่งที่มาคนเดียว และอาสาจะเข้าไปตักน้ำในบ่อศักดิ์สิทธิ์ให้ ทีแรกเข้าใจว่าน้องเขาเป็นเจ้าหน้าที่ประจำอยู่แต่พอสอบถาม อ้าว!! นักท่องเที่ยวเหมือนกันหรือนี้ น้องเขาบอกกำลังจะเดินลงแต่เห็นกลุ่มพี่เดินขึ้นมาพอดี 

    ข้างบนจะมีรอยพระพุทธบาทจำลองอยู่ด้วย บรรยากาศก็จัดว่าสวยงาม เพราะสามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้ ถือได้ว่าเป็นอีกจุดเช็คอินของผู้แสวงบุญและฝึกความอดทนในการเดินขึ้นมาจริงๆ 

    คงต้องไปหาที่พักกันต่อ เพราะพรุ่งนี้เราวางแผนว่าจะไปวัดเพื่อสักการะก่อนกลับกรุงเทพ และเพื่อเป็นไปตามคอนเซ็ป สายบุญ-ขาเลาะ อิอิ

    เข้ามาในเมืองลำพูน ถือว่าเป็นเมืองที่สงบ เรียบง่าย เสียดายมาถึงก็มืดค่ำทำให้ไม่สามารถตะลอนเที่ยวได้

    เวียนไปมาในเมืองอยู่นิดหน่อยชั่งใจว่าจะกินไรกันดี สรุปตกลงกินอาหารอีสานในภาคเหนือกัน 555 เราจึงแวะร้านนี้ "ร้านตำอุดร" บรรยากาศค่อนข้างสวยงามและสบาย รสชาติก็ถือว่าใช้ได้ที่ถูกใจคือราคาที่ถือได้ว่าไม่แพง รวมๆ แล้ว สามผ่านคร้าาา

    กว่าเราจะเจอที่พักก็ 3 ทุ่มกว่า มาถึงอาบน้ำกันเสร็จก็หลับเอาแรง เพราะพรุ่งนี้กะว่าจะแวะไหว้พระก่อนกลับกรุงเทพ

    แผนของเรากะตื่นเช้าและออกเดินทางกลับไม่น่าจะเกิน 11 โมงเช้า แต่จนแล้วจนรอด เหอะเหอะ ปาเข้าไปเที่ยงกว่าจนได้ กว่าจะได้ออกจากลำพูน

    เราเริ่มต้นไปไหว้สักการะพระนางจามเทวี วีรสตรีปฐมกษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญไชย พระองค์เป็นธิดาของคหบดีชาว หริภุญชัย มีพระสิริโฉมงดงามและมีความสามารถในการศึกและการบริหารราชการแผ่นดิน พระองค์เป็นพระนางที่เป็นกษัตรีย์ปกครองเมือง ทรงเป็นผู้ทำนุบำรุงศาสนาจนรุ่งเรืองในเมืองหริภุญไชย พระราชประวัติของพระองค์ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่น่าสนใจ แต่ด้วยเวลาจำกัด เดอะแก๊งฯ จึงได้ชื่นชมพระบารมีเพียงเล็กน้อยต้องรีบไปต่อกัน

    เราไปกันต่อที่วัดพระยืน วัดพระยืนเป็นวัดประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่วัดหนึ่งในจังหวัดลำพูน เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองแห่งนครหริภุญชัย สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี แวะไหว้สักการะพระธาตุหริภุญชัย ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ผู้คนมาสักการะกันหนาแน่น พระบรมธาตุหริภุญชัย เป็นบราณสถานที่สำคัญของจังหวัดลำพูน ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้ว "ลำพูน" ไม่ใช่เป็นเมืองผ่านทางที่จะไปเชียงใหม่ แต่ลำพูนหรือ นครหริภุญชัย เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและประเพณีที่น่าสนใจ เดอะแก๊งฯ หลงรักเมืองนี้เข้าเสียแล้ว คงต้องหาเวลามาเยือนบ่อยๆ และคงไม่ใช่ครั้งเดียวอย่างแน่นอน ^^  ทริปนี้จบอย่างสวยงาม กิน เที่ยว ไหว้พระ ทำบุญ ทริปต่อไป สายบุญ-ขาเลาะจะไปที่ไหนกัน หาทำเลปักหมุดด่วน ^^