ถึงเวลากลับ...บ้าน
สงขลาฝั่งนที กลิ่นสารภียังตรึงเตือน แสงเดือนเตือนตรึงใจ สนแกว่งไกว ดูแสนงาม....
ได้ยินเพลงนี้ทีไรชวนให้นึกย้อนเมื่อวัยเด็กที่นั่งกินไอติมใต้ต้นสนทะเล
เมืองสิงขร.. น้อยคนจะรู้ว่าคือเมืองสงขลาจากข้อสันนิษฐานที่ว่า "สงขลา" เพี้ยนมาจากชื่อ "สิงหลา" (อ่าน สิง-หะ-ลา) หรือสิงขร
สิงหลา แปลว่าเมืองสิงห์ โดยได้ชื่อนี้มาจากพ่อค้าชาวเปอร์เซีย อินเดีย แล่นเรือมาค้าขาย ได้เห็นเกาะหนู เกาะแมว เมื่อมองแต่ไกล จะเห็นเป็นรูปสิงห์สองตัวหมอบเฝ้าปากทางเข้าเมืองสงขลา ชาวอินเดียจึงเรียกเมืองนี้ว่า สิงหลา ส่วนไทยเรียกว่า เมืองสทิง เมื่อมลายูเข้ามาติดต่อค้าขายกับเมืองสทิง ก็เรียกว่า เมืองสิงหลา แต่ออกเสียงเพี้ยนเป็นสำเนียงฝรั่งคือ เป็นซิงกอร่า (Singora) ไทยเรียกตามเสียงมลายูและฝรั่งเสียงเพี้ยนเป็นสงขลา อีกเหตุผลหนึ่งอ้างว่า สงขลาเพี้ยนมาจาก "สิงขร" แปลว่า ภูเขา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชวินิจฉัยไว้ว่า "สงขลา" เดิมชื่อสิงหนคร (อ่านว่า สิง-หะ-นะ-คะ-ระ) เสียงสระอะอยู่ท้าย มลายูไม่ชอบ จึงเปลี่ยนเป็นอา และชาวมลายูพูดลิ้นรัวเร็ว ตัดหะ และ นะ ออก คงเหลือ สิง-คะ-รา แต่ออกเสียงเป็น ซิงคะรา หรือ สิงโครา จนมีการเรียกเป็น ซิงกรา Cr. สำนักงานจังหวัดสงขลา

หลายปีดีดักหลังจากเดินออกจากซุ้มประตูเมืองสงขลา หรือที่เรียก "บ่อยาง" เข้าสู่เมืองกรุง ยังคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ สามแยกสำโรง หรือชื่อเรียกของคนพื้นที่ที่รวบคำ สามแยกสำโรง คือ สามแยกโหมง เป็นประตูด่านแรกเข้าตัวเมือง (ในขณะนั้น ทางเข้าเมืองมี 2 ทางคือ ทางแพขนานยนต์กับทางถนนกาญจนวนิช แต่ปัจจุบันมาได้ 4 เส้นทางค่อยมาเล่านะว่าเพิ่มทางได้อย่างไร) ใกล้กันคือโรงพยาบาลจิตเวชสงขลา (หรือโรงพยาบาลประสาท ชื่อเดิม) และสามแยกเก้าเส้งที่สามารถขับรถไปตามถนนเลียบชายทะเล ระหว่างทางกลับบ้าน ขอนั่งรถชื่นชมหาดชลาทัศน์ที่เป็นหาดเชื่อมต่อกับแหลมสมิหลา น้ำทะเลและท้องฟ้าสีครามท่ามกลางแดดช่วงบ่ายของวัน ยังคงเห็นผู้คนนั่งปูเสื่อล้อมวงกินส้มตำ ลูกชิ้น ไก่ย่างและอื่นๆ ตามชายหาด




แม้จะได้ยินข่าวคลื่นลมแรงซัดต้นสนถอนรากล้มไปหลายต้น น้ำทะเลและคลื่นเซาะชายหาดจนน้ำเกือบถึงฝั่งถนน แต่หลังพายุสงบความสวยงามของธรรมชาติก็ยังคงน่าหลงใหลอยู่เสมอ
ลิบๆ ยังคงเห็นทิวสนทะเลเรียงตัวอย่างสวยงาม แต่ที่แปลกตาคือกระสอบทรายที่วางเรียงตัวเหมือนหินก้อนใหญ่ คอยกันคลื่นและน้ำทะเลเซาะชายหาดเพิ่มเติม
ทรายยังคงละเอียดและนุ่มน่าสัมผัสเหมือนเดิม 
นึกเสียดายที่นักท่องเที่ยวบางคนไม่มีวัฒนธรรมยังคงทิ้งเศษขวดและเศษอาหารไว้เป็นร่องรอยการมาเยี่ยมเยือน ทำให้นึกย้อนสมัยเรียนมัธยมที่จังหวัดได้ปลูกฝั่งให้เยาวชนรักทะเลและชายหาด โดยมีกิจกรรมรวมตัวกันทั้งหน่วยงานราชการและสถานศึกษาทุกระดับเดินเก็บขยะบริเวณชายหาดและแหลมสมิหลาเป็นระยะทางเกือบ 10 กิโลเมตร 

หลังจากเพลียแดดและแรงลม น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มออกเสียงเตือน เพราะตั้งแต่เช้ามั่วแต่รีบ กลัวว่าจะขึ้นเครื่องไม่ทันเลยยังไม่มีอะไรตกท้อง ถัดจากชายหาด เลยแยกวชิราจนถึงแยกสนามกีฬาติณสูลานนท์ เลี้ยวซ้ายเข้าเมืองเพื่อจะไปตลาดเรือนจำ หรือตลาดใหม่ (ชื่อนี้ก็มีที่มา) หาอะไรอร่อยๆ กระแทกปากดีกว่า
ในตลาดมีขนมคุ้นตามากมาย ณ เวลานี้อยากกินไปซะทุกอย่าง ดูปริมาณกับราคามันช่างเชื้อชวนให้ลองลิ้มเสียจริง...
สุดท้ายมาสะดุดตรงข้าวยำ กลิ่นหอมของน้ำเคยแท้ชวนให้ลิ้มลอง บวกกับภาชนะที่ใส่คือใบตองตานีใบใหญ่ ปริมาณกับราคาพอเหมาะไม่แพงเกินไป เลยจัดการไปซะคนละ 2 ห่อ เอาให้หายอยาก 555 
กลับมาบ้านรอบนี้ ขอหยุดยาวหลายวันเพื่อเพิ่มพลังใจให้มีแรงกลับไปสู้ต่อ ได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ให้หายคิดถึง บวกกับได้ย้อนรอยความทรงจำดีดี
เช้าวันที่ 2 ตื่นเช้าสุดในรอบ 10 ปี เพื่อทักทายหาดสมิหลาขอสูดอากาศให้เต็มปอด บิดมอเตอร์ไซด์ฮ่างเลียบชายทะเลอีกครั้ง ยังคงเห็นบรรยากาศผู้คนในวัยเกษียณ เดิน-วิ่ง ออกกำลังกาย ช่างน่าอิจฉาเป็นที่สุด

ท้องฟ้าสว่างมากขึ้น หลังจากเหนื่อยจากการดำผุดดำว่าย ขอมานอนเกลือกกลิ้งชายหาด ดีใจได้เห็นปลาดาวนอนเรียงรายกลิ้งเกลือกกัน เลยต้องจัดท่าใหม่ให้สวยงามนิดส์นึงนะ ^^
จากหาดหลังสนามกีฬาติณสูลานนท์ ไปตามชายหาดจะสุดทางเชื่อมต่อแหลมสมิหลา จุด Check In ของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนสงขลาคือรูปปั้นนางเงือกทอง เขาว่ากันว่าใครอยากกลับมาสงขลาและต้องการเป็นเขยหรือสะใภ้ชาวสงขลาต้องอย่าลืมจับนมนางเงือกด้วยนะ 555 ตรงจุดนี้ขอไม่รับรองแต่ถ้าใครอยากพิสูจน์ก็ขอเชิญนะค่ะ^^ ระหว่างกำลังชื่นชมธรรมชาติ สะดุดตากับคู่นี้ คิดแล้วก็ไม่รู้ว่าเราจะมีอายุยืนยาวพอที่จะมีใครมานั่งคุยอย่างนี้หรือเปล่า ^^
ย้อนกลับมาผ่านสระบัวที่อยู่เชิงเขาตังกวน เห็นประติมากรรมที่ไม่คุ้นตาเลยขอแวะทักทาย

หน้าตา "เต้าคั่ว" อร่อยสมใจอยาก นอกจากเต้าคั่วแล้วยังมีก๋วยเตี๋ยวกระดูกหมูก็รสชาติอร่อยไม่แพ้กันนะ



สวนน้ำแม้อากาศจะร้อน แต่ด้วยวิวที่ยั่วยวนเห็นทะเลและตัวเมือง ทำให้กล้าลุยแดด ให้มันรู้ไปใครจะดำ 5555
หลังจากเพลียแดดกันไปแล้ว สถานีถัดไปเลือกที่จะไปวัดถ้ำเขารูปช้าง ตั้งอยู่ตำบลปาดังเบซาร์ ห่างจากตลาดปาดังเบซาร์ประมาณ 13 กิโลเมตร อยู่ในอำเภอสะเดา ถึงแม้ระยะทางจากตัวเมืองสงขลาจะค่อนข้างห่างไกลประมาณ 80 กิโลเมตร แต่ด้วยเสียงลือเสียงเล่าว่างามจึงต้องตามมาพิสูจน์

เมื่อท้องอิ่มเลยต้องไปยึดเส้นยึดสายสักหน่อย เดินย้อนรอยถนนสายวัฒนธรรมย่านเมืองเก่า คือ ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงาม ที่บรรดานักเซลฟี่จะแพ้ทางเพราะมีมุมถ่ายรูปเยอะมาก เอาเป็นว่าเดินไปตามถนนทั้ง 3 เส้นนี้ อย่างน้อยรูปที่ถ่ายไม่ต่ำกว่า 50 รูปละกัน 555 (ถูกใจนักเซลฟี่กันละงานนี้) 



เมืองสงขลามีถนนคนเดินหลายที่ เช่น สงขลาแต่แรก ตลาดสองเล(หลาดสองเล) เป็นต้น แต่วันนี้เป็นวันเสาร์จึงได้มาเดินถนนคนเดิน "สงขลาแต่แรก" อยู่บริเวณถนนด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์พธำมรงค์ (พะธำมะรง) อยู่ใกล้กับพิพิธภัณสถานแห่งชาติสงขลา มีอาหารเสื้อผ้าและของใช้ พ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าพลุกพล่าน เลยเดินไปชิมไปจนหนังตาหย่อนไปตามๆ กัน










และแล้วก็ถึงเวลากลับจริงๆ แล้วสินะ จดจำทุกความทรงจำที่ดี มิตรภาพของเพื่อนฝูงญาติพี่น้องยังติดตรึงใจ ตัวเราท่องเที่ยวมามากมายแต่บ้านของตัวเองเที่ยวมากี่ปีก็ยังรู้สึกเที่ยวยังไม่หมด มีเรื่องราวทั้งที่น่าชื่นใจและน่าวิตกกังวลเกิดขึ้น ภูมิใจทุกครั้งเมื่อใครถามเป็นคนที่ไหน ตอบได้เต็มปากเลยคร้าว่า คนสงขลา เมืองสิงขรยังมีสถานที่เที่ยวทั้งธรรมชาติ ภูเขา น้ำตก ทะเล แม้กระทั่งแหล่งท่องเที่ยวจากการสรรค์สร้างของคนเมือง เชื่อไหม?? กรุงเทพเมืองหลวงมีอะไร สงขลาน๊ะหรือจะไม่มี 555 