นี่เป็นรีวิว แรกของผมนะคับ ----> ติดขัดไรขออภัยนะ บัดนาววว


การเดินทาง คือการเรียนรู้โลกกว้าง ในมุมมองที่เราสัมผัสได้ตามความรู้สึก
         และในกระทู้นี้ ผมจะนำทุกท่านไปชมบรรยากาศ สัมผัสความสวยงามของเเหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย บางส่วนที่ได้ไปสัมผัสมานะคับ

          การเดินทางครั้งนี้ จะเริ่มจาก จ.ลำพูน และแวะรับเพื่อนร่วมทริปที่ จ.เชียงใหม่ อีกคน และมุ่งหน้า ไปยัง อ.พาน จ.เชียงราย เพื่อไปพักบ้านเพื่อนอีกคนหนึ่ง ในช่วง เค้าดาวน์ สิ้นปี พ.ศ.2558 ระหว่างทางเราแวะพักรถไปเรื่อยๆ และไปสะดุดตากับร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ชื่อว่า ร้าน "สถานีกาแฟ " ซึ่งมีจุดเด่น คือ หัวจำลอง รถไฟ  ส่วนพิกัดจะอยู่ในอำเภอ เวียงป่าเป้า  

ภายในร้านหนาเเน่ด้วยลูกค้าที่มาชื้อกาแฟ เครื่องดื่มต่างๆ ( ส่วนรสชาติมันไม่สามารถบอกได้ถึงรูปแบบที่เป็นสูตรสำเร็จ เชิญเองล่ะกันคับ ) บรรยากาศ ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ ที่จอดรถสามารถรับรองลูกค้าได้ถึงประมาณ 20 กว่าคัน สาธารณูปโภค เน้นห้องน้ำ เป็นจุดขายหลัก ก็ว่าได้เลย  ภายในรอบๆ บริเวณรั้ว เขตแดนร้าน ก็จะมีการปลูกต้นสตอเบอรี่ ไว้สำหรับขายพันธุ์โดยเฉพาะเลยและส่วนบริเวณข้าง จะมี " สถานีกาแฟ หมอหลี  " ไว้สำหรับลูกค้าที่ต้องการเยี่ยมชมบรรยากาศแบบ ฟาร์ม ( อาจจะมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย )ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการให้อาหารสัตว์เลี้ยง เพื่อการเกษตร ซะมากกว่า  หลังจากแวะผ่อนคลาย ทั้งคน ทั้งรถแล้วเราก้อขยับ ขับเคลื่อน ขุนพลกันต่อเพื่อเข้ายังที่พักใน อ.พาน จังหวัดเชียงราย วันนี้เป็นวันแรกของการเดินทางมาถึงที่เชียงราย และเป็นคืนแห่งการเริ่มต้นนับศักราชใหม่ เป็นค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง 
        การเก็บภาพบรรยากาศจึงไม่ครบถ้วนเท่าที่ควร เพราะเดียวจะเป็นการเสียเวลาในการเผาผลาน แอลกอฮ.

งั้นขอข้ามไปเริ่มต้น การท่องเที่ยวแบบจริงจังในวันฟ้าใส วันเริ่มปี 2559 เลยล่ะกัน 

       คือ การแวะพักไหว้สา พระเอาฤกษ์ เอาชัย ที่วัดร่องขุ่นก่อนเลย เราออกเดินทางเกือบ 8 โมงเช้า  ถือ​ว่าสายพอได้เลย กว่าจะถึงก็เกือบจะ 9 โมง ใช้ระะทางประมาณ 37- 40 กว่ากิโลจนถึง          วัดร่องขุ่น ถือเป็นศาสนสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงราย ถือเป็นผลงานการออกแบบและก่อสร้างโดย อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรเรืองนาม ที่อุทิศตนสร้างวัดอันยิ่งใหญ่นี้ขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์ให้วัดแห่งนี้ งดงามดังสวรรค์ที่มีอยู่จริง           พระอุโบสถ วัดร่องขุ่น มีความโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ทางศิลปะ และสถาปัตยกรรมที่แสนวิจิตรอลังการ ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงช่อฟ้า ใบระกา และรายละเอียดซึ่งแตกต่างไปจากวัดแห่งอื่น โดยตัวพระอุโบสถที่เน้นสีขาวบริสุทธิ์นั้น สื่อแทนพระบริสุทธิคุณ     ซึ่งทำให้มนุษย์สามารถสัมผัสได้บนพื้นพิภพ คล้ายเป็นสิ่งกระตุ้นเตือนให้คนเราใฝ่ปฏิบัติธรรม และประกอบแต่กรรมดีในการดำเนินชีวิต      ขณะที่กระจกขาววาววับจับประกายระยิบระยับ หมายถึงพระปัญญาธิคุณของพระพุทธองค์ที่โชติจรัสชัชวาลไปทั่วทั้งโลกมนุษย์และจักรวาลก่อนที่จะเดินทาง ออกจากวัด ร่องขุ่น เราก็ไม่ลืมที่จะ เซลฟี้กัน สักนิดดดด 

อื่มมมม เห้ย ๆ ๆ มองกล้อง ดิคับ  1 2  แชะ

หั่นแน่ ยัง ยัง ยัง ไม่จบโอเคๆๆ ทีนี้ ถ่ายดี ๆ ๆ ล่ะนะ  เดียว อย่าพึ่งไปนะ ช่างภาพ ขออีกรูป 

หลังจากนั้น ก็เดินทางต่ออีก 6-7 กิโล เพื่อไปยังเนินหญ้าเขียวชอุ่ม พร้อมกับ"สิงห์"ตัวใหญ่ สีทองเด่นเป็นสง่า 

ที่หน้า ไร่บุญรอด 

แต่เดียวก่อน พวกเราไม่ได้เข้าไปถึงในฟาร์มบุญรอดนะ ......

ไม่ไหวแล้วววว หิว ( เสียงของใครสักคนบ่น)   และตอนนั้นแดดร้อนก็มาก
เลยต้องโยกย้ายหาที่หลบแดด และรับประทานอาหารเที่ยงก่อนล่ะกัน

สิ่งที่ขาดไม่ได้ เหมือนเดิม ต้องเซลฟี่ ก่อนที่จะ Next station 

และก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือต่ออีก 12 กิโลแวะสักการะ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ผู้สถาปนาเมืองเชียงรายเป็นราชธานี " พ่อขุนเม็งรายมหาราช ( พญามังรายมหาราช ) " 

เดินทางต่อได้ 

    มุ่งหน้าขึ้นเหนือต่อไปอีก 10 กว่า กิโล เพื่อจะไปพบกับกลุ่มบ้าน ศิลปะแบบล้านนา ทุกหลังทาด้วยสีดำ นั่นคือ " บ้านดำ หรือ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ 

"ซึ่งในบ้านแต่ละหลังจะประดับด้วยไม้แกะสลักที่มีลวดลายงดงาม นอกจากไม้แกะสลักแล้วยังประดับด้วยเขาสัตว์ เช่น เขาควาย เขากวาง และยังมีกระดูกสัตว์ เช่น กระดูกช้าง เป็นต้น

บ้านดำ หรือ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ " ตั้งอยู่ที่ ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย สร้างขึ้นโดย อ.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ที่มีฝีมือทางด้าน จิตรกรรม ปฏิมากรรม 

 ต่อจากบ้านดำ เวลาประมาณ 16.00 น. เราออกเดินทางยาวเลย ต่อด้วยระยะทางอีกประมาณเกือบ 150 กิโลเมตร กว่าจะถึงจะหมายที่พักในคืนวันที่ 1 มกราคม 2559 

โดยเส้นทางที่ไป ตัดผ่านหมู่บ้าน สลับหุบเขาด้วยกันหลายลูก นับจนไม่ถ้วน 

นู้น ก็ดอย อดเอาอีกนิด

เอ๊า ๆ ๆ โค้งขวาอีกนิดเกือบถึงล่ะ

และกว่าจะมาถึงที่พักได้ ก้อทำเอาค่ำกันพอดี บรรยากาศ แทบไม่ต้องพูดถึง โครตเย็นเลยสิคับ พี่น้อง ลมโกรก ตลอด 
แน่นอนสิครบ คืนนี้เราต้อง ฝากท้อง ฝากร่างกาย ฝากจิตใจ ไว้ที่พักแห่งนี้ " เหม๋ยฮั้ว รีสอร์ท " ซึ่งเจ้าของบริการดีมาก และที่สำคัญเป็นทางผ่านที่จะขึ้นเขา รอชม พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า ณ ดอยผาตั้ง 

นั้นไง มันแมนออกมาแล้ว อุ้ย ! ! ! ( เมื้อง เมือง )  นั้นไงมันโผล่มาแล้ว พระอาทิตย์ ของเช้าวันใหม่             ดอยผาตั้งเป็นยอดดอยอยู่ในเทือกเขาหลวงพระบาง สันปันน้ำเป็นจุดแบ่งอาณาเขตระหว่างประเทศไทย-ลาว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกในตอนเช้าและชมพระอาทิตย์ตกในเวลาเย็น    มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,800 เมตร เส้นทางเดินขึ้นยอดดอยอยู่ติดกับสถานที่จอดรถและร้านค้าบริการความยาวประมาณ 700 เมตร จากยอดดอยสามารถมองเห็นแม่น้ำโขงฝั่งลาวและสามารมองเห็นยอดภูชี้ฟ้าที่อยู่ห่างออกไปกว่า 25 กิโลเมตรได้ชัดเจน จุดชมวิวช่องผาบ่อง สามารถมองเห็นแม่น้ำโขงทอดตัวคดเคี้ยวในฝั่งลาว หากเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จึงจะถึงจุดชมวิว 103  ซึ่งมีสภาพสูงชันในบางช่วง เป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทัพภาคที่ 3 บน ดอยผาตั้ง มีที่พัก สถานที่กางเต็นท์ และร้านอาหาร

เพื่อให้เช้าถึงบรรยากาศ สุดติ่ง เราก้อมีภาพบางส่วนมาให้ชมเหมือนเดิมคับ 

นี่คับ เพื่อนร่วมทริปของเรา แอ๊ะๆๆ เหมือนมันจะเยอะไปนะ 

เอ่อใช่ นี่ดิเพื่อนร่วมทริปของเรา ถึงว่า อันข้างบนมันเยอะไป และอีกเหตุการณ์ ที่ยังคงจำได้ เมื่อมีอะไรสักอย่าง จากอวกาศพุ่งผ่านน่านฟ้าประเทศไทย เบิ่งไปทางแดนลาว ในตอนเช้า       เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร การย้างก้าวลงมา สู่ลานจอดรถมันทำให้นึกรู้ถึงเวลาที่ผ่านมา....ว่าเราขึ้นมาได้ไงเพราะตอนขึ้นมามันมองไม่เห็นทาง แต่เมื่อเดินลง อื่มมมข้างๆอะ มันไม่ใช่ที่ราบเลยนะ แต่เอาเถอะไหนๆ ก็ไหนๆอีกนิดเดียวเองก้อถึงล่ะ ( เหรอ ๆๆๆ สาบานว่านิดเดียว  )

นะที่เห็นนะคับ ที่จอดรถของเราเอง นิดเดียวจริงๆ

     พอลงมาได้ เข้าที่พักจัดแจง แพ็คกระเป๋าเตรียมเดินทางต่อเลยคับ
หั่นแน่ คงคิดเหมือนกันสิคับว่าเราจะเดินทางด้วยเรือ ปล.รูปไม่เกี่ยวเราขับรถไปเองนะคับ 

คงพอจะรู้กันแล้วนะคับ ว่าเราจะไปไหนกัน พรมแดนสามประเทศมาบรรจบกัน  นั่นก้อคือ พม่า ลาว และไทย เรานี่เอง คงเป็นอะไร ไปมากกว่านี้ไม่ได้ล่ะสิคับ ที่นี่ก็คือ สามเหลี่ยมทองคำ แน่นอนคับ มาที่นี่ รับรองมีบรรยากาศของล่องเรือชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำโขง  นมัสการพระเชียงแสนสี่แผ่นดิน  ถ่ายรูปคู่กับซุ้มประตูสามเหลี่ยมทองคำ ช้อปปิ้งซื้อของที่ระลึก มากมายหลากหลายให้ทำกัน       และนี่คือ พระเชียงแสนสี่แผ่นดิน หรือ พระพุทธนวล้านตื้อ ประดิษฐานกลางแจ้ง ณ สามเหลี่ยมทองคำ พระพุทธนวล้านตื้นองค์นี้เป็น พระเชียงแสนสี่แผ่นดินเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งได้สร้างขึ้นแทนองค์เดิมที่จมลงแม่น้ำโขง และสร้างขึ้น ด้วยทองสัมฤทธิ์ ปิดทองด้วยบุศราคัม น้ำหนักถึง 69 ตัน หน้าตักกว้าง 9.99 ม.สูง 15.99 ม. ประทับนั่งบน "เรือแก้วกุศล ธรรม" ขนาดใหญ่ บ่องตรง มาถึงตรงนี้ เวลาก้อเกือบจะบ่ายสาม ข้าว ปลา อาหาร ก้อยังไม่ได้ทานกันเลย กลัวจะทำเวลาไม่ทัน ยังงัยก็ยังอุ่นใจที่นี่ยังมีศูนย์อาหารระดับประเทศไว้รองรับ นักท่องเที่ยวเหมือนเดิมคับ  นี่งัยคับ มีทั้งนม ทั้งขนม และอาหาร หลากหลาย 

  เมื่อกองทัพที่ต้องเดินด้วยท้อง สามารถจะเลื่อนทับต่อได้ บินตรงมุ่งหน้าสู่ไร่ชาฉุยฟง

    ซึ่งเป็นไร่ชามีพื้นที่กว้างและได้บรรยากาศ ของไร่ชาปลูกโค้งวนไปตามไหล่เขา ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถแวะถ่ายภาพและชมความงามได้หลายจุด นอกจากจะได้ชมทัศนียภาพที่สวยงาม ของไร่ชาแล้ว ยังมีร้านอาหาร และเครื่องดื่ม เบอเกอรี่ แสนอร่อยให้บริการ เมนูยอดนิยม เช่น ยำทูน่า สปาเก็ตตี้ยูนาน หมั่นโถวใบชานุ่ม ชาเขียว ชาเย็น เค้กชาเขียว และเค้กช๊อกโกเลตต่าง ๆจากนั้น เราก็ร่วมทางกันเดินทางอีก ร้อยกว่ากิโล เพื่อจะกลับมายังที่พักอย่างปลอดภัย 

ทริปนี้ ก็จบลง พร้อมกับความรู้สึก มิตรภาพ อีกมากมาย ดังตัวอย่างบางส่วนที่ได้เสนอต่อจากนี้

 

ป๊ า ด  ฟิลลิ่งนี้ ยังกะหนังคนล่ะม้วนหว้าวว ยิ้มหวานคนเดียวเลยนะ แบบแพค คู่ ดูโอ้ก้อมีเหรอ ฉายเดียวก็มากับเค้า ด้วยหั้น แน่ไอ่เราก้อขออีกหน่อยล่ะกันอุ๊ต๊ะ คิดซะว่าน้องสาวล่ะกันนะ
ตะวันคาบแก้ว แสงกำลังดี ได้สักกรึ๊บคงจะดีไม่น้อย ยอดเลยจอร์จ หน้าซัด หลังเบลอ คิดว่าอยู่ใกล้น้ำตาลป่าว เอาซะมดหลงทางเลยนะหั้นแน่ นางจะขอรูปโปรไฟล์ใช่ไหม

รูปหมู่เราก็มี ยิ้มหวานๆๆๆ 
  ไอยะวิว สวยจัง เห้ ย ย นาย ยิ้มหน่อยดิ เอ่อ ใช่ แบบนี้ดิ ครอบครัวสุขสันต์ไง แบบนี้สุขสันต์กว่า เห้ย ๆ ๆ ไม่ใช่ล่ะ เราโฟกัสผิดโทดที