สี่ชั่วโมงกับเงินร้อยเดียว เดินเที่ยวย่านกุฎีจีน

หลายครั้งที่เราอยากไปเที่ยว แต่ต้องมานั่งถามตัวเองว่าจะไปที่ไหน  ไปยังไง ไปกับใคร พักที่ไหน จะกินอะไรฯลฯ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด  ในการไปเที่ยวแต่ละครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ  งบ!!
เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเรา แต่.....มันสำคัญมาก และมาเป็นอันดับหนึ่ง 555555 อันนี้ใครๆก็คงต้องยอมรับ
วันนี้เลยลองตั้งงบ 100 บาท แล้วลองมานั่งคิดดูว่าเราไปไหนในกรุงเทพได้บ้าง  นอกจาก  ห้าง!!
ไปไหนก็ได้ที่ยังไม่เคยไป  แล้วลองหาข้อมูลดู  คิดเร็ว ไปเร็วอีกแล้ว  เปิดๆดู  เออ...ไปเลยดิ่  รออะไร  

ไปคนเดียว  เหมือนเดิม
และเราก็พุ่งความสนใจไปที่ "ชุมชนกุฎีจีน"

เนื่องจากเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์  หากข้อมูลผิดพลาดประการใด  ต้องขออภัยนะคะ   เราเริ่มเดินทางเวลาประมาณเกือบๆเที่ยงวัน  โดยรถเมล์  จะได้ศึกษาเส้นทางในที่ที่เรายังไม่เคยไป  ตัวช่วยที่ดีที่สุดของเราวันนี้คือ  1348 เบอร์โทรศัพท์ที่ใช้สอบถามสายรถเมล์  และ "ปาก" ของเราในการถามทางไปเรื่อยๆ   งบจำกัด(ช่วงสิ้นเดือน)  เวลาจำกัด เพราะตอนเย็นต้องมารับงานต่อ  ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์  เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำไมจะไปไม่ได้  

และรถเมล์ที่นั่งมาจากคลองเตยคือสาย 4 มาลงเยาวราช

ต่อสาย 73  มาปากคลองตลาด  ถึงแล้ว  สะพานพุทธ

เราเดินถามทางมาเรื่อยๆ ว่าถ้าจะไปชุมชนกุฎีจีน ไปยังไง  แต่ไม่มีใครให้คำตอบเราได้เลย  เราเลยถาม "แล้วโบสถ์ซางตาครู้สล่ะพี่"  อ๋อกันใหญ่เลย  บอกให้เดินตามทางไปเรื่อยๆ  แล้วไปขึ้นเรือข้ามฟาก  

เดินมาพอสมควร  ระหว่างนั้นก็ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ

เป็น KFC ที่ดูเลอค่ามาก

เดินตามทาง  ถามทางมาเรื่อยๆ

ถึงแล้ว!!

ข้ามน้ำไปเดินเล่นฝั่งนู้นกันเหอะ

ถึงแล้ว  ไหว้พระก่อน

ข้อมูลอาจจะก๊อบมาจากเว็บบ้าง  เนื่องจากความรู้ทางประวัติศาสตร์มีน้อยนิด  

เกรงว่าถ้ามโนอะไรไปข้อมูลจะคลาดเคลื่อน

"วัดกัลยาณมิตร" หรือ "วัดกัลยาณ์"  สร้างขึ้นมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร)  ภายในพระวิหารหลวง … สีทองอร่ามขององค์พระประธานขนาดใหญ่โตสะดุดตา สะดุดใจทุกคนที่เข้ามากราบไหว้กันมาก เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ สีทองสุกใสอร่ามตา   ลองเงยหน้าจนสุดเพื่อมองดูใบหน้าขององค์หลวงพ่อโตดู  จะเห็นว่า ใบหน้าขององค์หลวงพ่อโตที่วัดแห่งนี้จะมีลักษณะอมยิ้มนิดๆ ดูมีความสุขจนทำให้คนส่วนใหญ่ที่มาวัดไหว้พระทำบุญต้องยิ้มตอบท่าน

เพื่อให้จิตใจสุขสงบ

ไหว้พระเสร็จก็ออกมาเดินเล่นข้างนอกสักพัก  ภาพที่ไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่ ที่ไม่อยากถ่ายภาพมาคือ  

เด็กและคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งขอเงินอยู่เต็มทางเข้าไปหมด  รู้สึกว่าไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่  ชาวต่างชาติก็มาเยอะนะ  

อากาศร้อนไปหน่อย  แต่ได้มองน้ำ  รับลมในร่มเย็นๆ ก็ชื่นใจดี

 

ความร่มรื่นรอบๆวัดอาจจะน้อยจนทำให้ต้นไม้บางส่วน ไม่อยู่กับเราแล้ว

มีชาวต่างชาติมาพร้อมกับไกด์พาเที่ยว ทัวร์จักรยาน มาเป็นระยะๆ

เริ่มเดินเข้าไปในชุมชนบ้าง  แล้วก็เจอเจ้าถิ่นอีกแล้ว

ในฐานะทาสแมวอย่างเรา  ก็อดไปไม่ได้จริงๆที่จะพุ่งเข้าใส่  ใช้เสียงสองคุยกับนายของเรา  

(เสียงสอง = เสียงงุ้งงิ้งเวลาเล่นกับหมาแมว)

ป้าบอก....จะถ่ายรูปเหลอ  มานี่เลย มานี่  ดูตัวในกระป๋องนี่ (ป้าเรียกว่ากระป๋อง)  ไม่รู้เป็นอะไร  ชอบไปนอนในกระป๋อง  มีหมอนข้างด้วย  ตัวนี้จับได้  ไม่กัด เพิ่งไปเล่นถ่านมา  ดำเชียะ  ป้าก็จ้อๆๆๆ  ใหญ่เลย  

สงสัยคนรักแมวเหมือนกัน

เก็บตก และถามทางชาวบ้านไปเรื่อยๆ  ชาวบ้านที่นี่ให้ความร่วมมือ น่ารักมาก  บอกทางตลอด  คงชินที่จะบอกทางนักท่องเที่ยวแล้ว   เดินมาเรื่อยๆมาถึงศาลเจ้าเกียนอันเกง  องค์ประธานของศาลคือ "องค์เจ้าแม่กวนอิม"

เอ่อ...สาระที่เหลือมีในเน็ตเพียบ รบกวนตามอ่านกันอีกที อันนี้เรามาแบบไม่ค่อยรู้อะไร  

เข้าไปไหว้สักการะตามประสา

ข้างในถ่ายรูปไม่ได้!!!  คือทั้งเก่าทั้งขลัง แต่ห้ามถ่ายรูป  จนท.ทำตาเขียวมาก  โอเคค่ะ เชื่อฟัง

แอบหน้าบูด   เหมือนโดนดุด้วยสายตามา   คือไม่ได้เข้าไปถ่าย  เพราะอ่านมาแล้วว่าเค้าไม่ให้ถ่าย  

แค่ถามเฉยๆว่าถ่ายไม่ได้ชีวร์นะ ไม่ถ่ายก็ไม่ถ่าย  แต่สวยขลังนะ  อยากให้มาชมกันเอง

เดินมาไกล  หวังจะได้เจอความสงบ  แต่ก็ได้พบกับมนุษย์ชุดครุย  ที่พากันมาถ่ายรูปกับโบสถ์เต็มไปหมด  

ไอ้เรานี่เก็บขาตั้งกล้องกะโหลกกะลาของเราแทบไม่ทัน  เจอกล้องมือโปรเข้าไป  อายเลย

เด็กๆที่มาถ่ายชุดครุย  อยู่กันข้างนอก  เราเลยเดินมาถ่ายข้างใน  ก่อนเข้าไป  ตามมารยาท  ถามคนแถวนั้น  "เป็นพุทธเข้าได้มั้ย" "ถ่ายรูปได้มั้ย" คำตอบคือได้  และเห็นคนแถวนั้นก็ชักภาพภายในโบสถ์กันหลายรูป  

แสดงว่าถ่ายได้  โชคดีที่มาวันอาทิตย์  โบสถ์เปิด  เลยมีโอกาสได้เข้ามา

ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละคร หรือรายการต่างๆ  และที่สำคัญ  พิธีแต่งงาน  

บางทีอยากมีโมเม้นต์แต่งงานในโบสถ์เหมือนกันเนาะ

เข้าไปนั่งในโบสถ์เงียบๆก็รู้สึกดีเหมือนกันเนาะ  ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี และรักสงบ  แต่สักพักเริ่มไม่สงบ  เมื่อนักศึกษาที่มาถ่ายรูปชุดครุยเริ่มเสียงดัง  จนคนแถวนั้น(เหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้วย)  

เดินไปเดินมาทำหน้าบึ้ง   เราเดินออกมาช่วงนั้นพอดี  คาดว่าหลังจากนั้นน้องๆน่าจะถูกตักเตือน  

อันนี้เป็นข้อควรระวัง สถานที่สวยก็จริง  แต่วันนี้คนเข้าโบสถ์ต้องการความสงบ  คนที่เข้ามาเที่ยวที่นี่คงต้อง

ระวังเรื่องนี้กันด้วย   

หลังจากนั้นเราก็เดินลัดเลาะตามซอยไปเรื่อย คิดว่าเดี๋ยวค่อยกลับมาอีกที  ไปเดินดูเค้าทำขนมฝรั่งกุฎีจีนดีกว่า

อ้าว!  วันนี้เข้าโบสถ์  เค้าไม่ทำขนมกัน  อดไป!!  แต่ได้อย่างเสียอย่าง  อย่างน้อยโบสถ์ก็เปิดให้เราได้เข้าไปดู  

ถึงจะหยุด  ไม่ทำขนมวันนี้  แต่เราก็ยังเห็นหลายบ้านเอาขนมออกมาขาย  รวมถึงหน้าวัดด้วย  ถามคนแถวนั้นบอกว่าตอนนี้เหลือแค่ 3 บ้านเท่านั้นที่ทำขนม   “ขนมฝรั่งกุฎีจีน” เป็นขนมโบราณกว่า 200 ปี ที่มีต้นตำรับมาจากชาวโปรตุเกสที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในชุมชนกุฎีจีนเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา มีลักษณะเด่นตรงที่ใช้วัตถุดิบอย่างดีมาทำขนม คือมีแป้ง ไข่ และน้ำตาล เพียงแค่ 3 อย่างนี้ตีให้ส่วนผสมเข้ากันจนขึ้นฟู โรยด้วยลูกเกด ลูกพลับ ฟักเชื่อม และน้ำตาลทราย แล้วนำไปเทใส่แม่พิมพ์แล้วอบจนขนมสุก   สอยมา 1 อัน   ก็อร่อยดีนะ  ปกติเราชอบกินขนมโบราณอยู่แล้ว

หลังจากนั้นก็เดินลัดเลาะตามบ้านคนไปเรื่อยๆ  ชาวบ้านให้ความร่วมมือ ถามทางก็ตอบอย่างอัธยาศัยดี  

ซอยสามารถทะลุหากันได้หมด

หลังจากนั้นก็เดินลัดเลาะตามบ้านคนไปเรื่อยๆ  ชาวบ้านให้ความร่วมมือ ถามทางก็ตอบอย่างอัธยาศัยดี  

ซอยสามารถทะลุหากันได้หมด

เกร็ดแก้วเจ็ดสี มณีเจ็ดแสง (หมดไปกี่ลัง ตอบ!!)

พอบ่ายแก่ๆแล้วก็เริ่มเดินกลับไปที่โบสถ์กัน  นักศึกษาคงไปหมดแล้ว

ไปหมดแล้วจริงๆด้วย  ไม่รู้เจ้าหน้าที่เค้ามาเตือนรึเปล่า  เหมือนโบสถ์เป็นของเราเลยตอนนี้กำลังเงียบ

คำว่า “ซางตาครู้ส” เป็นภาษาโปรตุเกส แปลว่า กางเขนศักดิ์สิทธิ์  สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2313 (โหยยยยยย   200  กว่าปี)   แต่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่าวัดกุฎีจีนตามชื่อชุมชน  นับเป็นโบสถ์คริสต์เก่าแก่ที่สุดในย่านฝั่งธนบุรี  ถือเป็นวัดในคริสต์ศาสนา นิกายโรมันคาทอลิกแห่งแรกในฝั่งธนบุรี

ข้างๆเป็นโรงเรียนซางตาครู้สศึกษา

 

รูปปั้นงดงามมาก

 

 

เดินชมต้นไม้   ดอกไม้รอบโบสถ์เพลินเลย  

ฮร๊ายยยยยยย!!! มวลเถาวัลย์ป่าใบเขียว #ร้องเพลง

ก้มๆ เงยๆ มัวแต่ถ่ายดอกไม้  ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเล้ยยยยยยย   ถึงกับผงะ   เอ่อ.....เอเมน  สวัสดีค่ะ

อยู่ด้านหลัง  ถ้าจำไม่ผิดมี 10   ใกล้เย็นแล้วด้วย  เดินจ้ำอ้าว จ้ำอ้าว  ไปไม่คิดชีวิต   ไม่รู้เป็นอะไร  

ไปเที่ยวที่ไหนก็เดินหลงเข้าสุสานแบบระยะประชิดตลอด

ผมนี่ใจคอไม่ดีเลย......  เดินออกมานั่งพักข้างๆโบสถ์สักครู่  มีคุณป้าเสื้อเหลืองอ๋อยออกมาทิ้งขยะ

ตามประสาชาวบ้าน  เฮ้อ!  อย่างน้อยก็มีคนเดินไปเดินมาเนาะ

แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ!!!   เห้ย!!   ชวนคุยเฉย    ตอนแรกก็กะจะนั่งชิลล์  ป้าแกทั้งจ้อ  ทั้งถาม  ชวนคุยไม่หยุด  "ต้องมาอีกรอบนะ  5 โมงเย็น  เดี๋ยวจะทำพิธีอีกรอบ  โบสถ์จะเปิด  มาดู  มาดู"   เอ่อ....ป้าคะ  

หนูถ่ายตั้งแต่ตอนเช้าไปแล้วค่าๆๆๆๆๆๆ

 

อ่ะ....คุยก็คุย  ในใจคิด   นี่เราอยู่หมู่บ้านฮอบบิทป้ะเนี่ย??   ป้าตัวเล็ก  หรือหนูตัวใหญ่  (สงสัยอย่างหลัง)  55555  แซวเล่นน้าๆๆๆๆๆๆ  พอเราคุยปุ๊บ  ถามว่าสุสานข้างหลังนั่นของหลวงพ่อรึเปล่าคะไม่ทันสังเกตุ  ป้าแกนี่เลย  "อ้าว!!  ก็เข้าไปดูสิ  ไป ไป ไป พาไป  ไปอ่านดู  ไปกันเลยไป" (คือนางลุกแล้วด้วย)  อ่อม.....ไม่อ่ะค่ะ  หนูเพิ่งออกมา  (เหงื่อตก)   ป้าแกน่ารักนะ  ชวนคุยใหญ่  แนะนำนั่นนี่สารพัด  "บอกว่ามาอีกวันดิ่  จะมีพิธีแห่  โอ้ยยยยยย  แต่งตัวกันสวยๆทั้งนั้น"   พอถามว่าวันไหน  ป้าบอก  "หนูไม่รู้  หนูไม่แน่ใจ"  คือป้าแกจะเรียกแทนตัวเองว่า "หนู" ทุกคำ!!!  5555555   โอเค   จะยอมเป็นพี่ให้วันนึง

คิดว่า 4 โมงค่อยกลับ   ดูนาฬิกา 4 โมงพอดี  ต้องรีบไปทำธุระต่อ  เดี๋ยวไม่ทัน  

ขากลับก็เดินผ่านบ้านโบราณ   เห้ย!! มีคนอยู่นะ you

เก็บภาพเรื่อยเปื่อยก่อนกลับ

นี่ก็สบายไป๊!!  กุลสตรีมาก

เพลินดีนะ  มาตั้งแต่เที่ยง  กลับ 4 โมงเย็น  ใกล้ๆเอง  ไปได้ตั้งหลายที่  อาศัย 2 ขา  ความจริงมีสถานที่อีกที่ที่อยู่แถวนี้คือมัสยิดบางหลวง  หรือกุฎีขาว  มัสยิดทรงไทยแห่งเดียวในโลก (อ่านตามข้อมูลในเน็ตมาอ่ะนะ)  

แต่เวลาไม่พอ  ต้องรีบไปต่อ  หากใครมีโอกาสมา  อย่าลืมแวะให้ครบๆ  เดินเที่ยวให้เยอะๆนะคะ  

หรือปั่นจักรยานก็ได้  รับรอง  วันเดียว ได้เที่ยวหลายเชื้อชาติ ศาสนาเลย

เพียงไม่กี่ชั่วโมง  เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ  ได้เห็นอะไรอีกแบบที่เราไม่เคยเห็น  ได้ลองพูดคุยกับคนที่เราไม่รู้จัก  บางทีมันก็ทำให้รู้สึกดีตรงที่เราไม่ต้องมานั่งแคร์กันเหมือนคนรู้จัก  เรารู้จักกันแค่นี้  ตรงนี้  เวลานี้

และคุยเรื่องเดียวกัน  แค่นี้เราก็จดจำเค้าไปตลอดได้แล้วค่ะ

ค่าเสียหายวันนี้  นั่งรถเมล์สาย 4 จากคลองเตย ต่อสาย 73 ที่เยาวราช  9+11 บาท

ขากลับนั่งสาย 8 จากปากคลองตลาด  ไปคลองถม  ต่อสาย 4 ที่แยกเสือป่ากลับที่เดิม  9+9 บาท

(บอกเลย  กว่าจะหาทางต่อรถได้เล่นเอาเหนื่อยโทรป่วน 1348)  แต่ดีที่ได้รู้จักที่จะเดินทางเอง หลงเอง จะได้จำเนาะ  เพราะคิดว่าจะไม่นั่งแท็กซี่เด็ดขาด  ไม่ใช่เพราะแพง  แต่รถเมล์นี่แหละที่จะทำให้เราได้เลาะเลี้ยวเข้าถนน และสถานที่อีกหลายที่ๆไม่เคยไปเพื่อศึกษาเส้นทางไว้)

ค่าขนมฝรั่งกุฎีจีน 1 อัน  35 บาท   ค่าเรือข้ามฟาก ไป  3.50 บาท  กลับ 3.50 บาท   ค่าโกโก้ปั่น ร้านหลังวัดกัลย์  20 บาท (ราคาดีงามพระรามสี่มาก โกโก้เข้มข้น)  น้ำเปล่าฟรี  ติดมือมาจากออฟฟิศ

เห้ย!  มัน 100 บาทอ่ะพับผ่า

อย่าลืมมาเดินเล่นกันนะคะ     คือแต่ละรูปหน้าบึ้งไปหน่อย  ไม่มีอะไรเลยนอกจาก  ร้อน!!!  

(ก็เล่นมาเดินซะบ่าย)  เดินตอนเย็นจะชิลล์กว่านี้นะ

มาคนเดียวใครถ่ายรูปให้?  คำตอบอยู่ที่รีวิวเก่าๆนะคะ

http://pantip.com/topic/33908302   ไปคนเดียว รูปเดี่ยวเป็นร้อย >>นั่งรถไฟเที่ยว งบไม่ถึง 500 บาท

http://pantip.com/topic/34015333  แบกเป้ :)ไปหลงเสน่ห์เมืองเก่า ปั่นจักรยานคนเดียว เที่ยวอยุธยา

http://pantip.com/topic/34102646  ข้ามน้ำจากเมืองกรุง มาคุ้งบางกะเจ้าคนเดียว

ภาพที่ถ่ายตัวเองใช้กล้องจากมือถือ  ส่วนภาพวิวทั่วไปใช้กล้องดิจิตอลปกติ ความคมชัดต่างกัน เพราะไม่ใช่กล้องตัวเดียวกันค่ะ  ไม่กล้าบอกรุ่นเลย  มันเก่ามาก  เขิน......

 

หากใครชื่นชอบเรื่องการท่องเที่ยว หรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องการท่องเที่ยว   มาคุยกันได้ในเพจน้อยๆของเราที่เพจ "จะเที่ยวคนเดียว Lady Journey" นะคะ