เดินทางครั้งที่สอง เพื่อหลงรักผาตั้ง
เรื่องและภาพ : Cocorattankorn
Page : http://www.facebook.com/CocofolioPhotography
หลังจากออกจากเชียงของ เราก็มุ่งหน้าสู่ดอยผาตั้ง ด้วยรถสองแถวประจำทางจากตัวเมองเชียงของ ในช่วงบ่าย 3 โมง ความรู้สึกแรกคือตื่นเต้น หัวใจข้างในพองโต ความรู้สึกคือดีใจจะได้ขึ้นไปสัมผัสบรรยากาศข้างบนแบบเต็มๆ เพราะครั้งแรกคือผ่านไปเฉยๆ แต่วิวสวยมาก สองข้างทางทำให้ตื่นตาตื่นใจตลอด


ช่วงที่เริ่มออกเดินทางเป็นช่วงที่นักเรียนชาวเขากำลังเลิกเรียนกัน บรรยากาศเงียบๆภายในรถก็เริ่มมีสีสันขึ้นมาทันที เสียงหัวเราะ เสียงคุยน้องๆทำให้ภายในรถไม่เงียบเหงาเลย
เครื่องดนตรีที่น้องๆถือกันขึ้นรถมา คือ แคน (Qeej) ซึ่งน่าจะเพิ่งเลิกเรียนฝึกซ้อมกันมาแน่ๆ "แคน" เป็นภาษาม้ง อ่านว่า เฆ่ง หรือ qeng ซึ่งแปลว่า แคน คนม้งจะใช้แคน (เฆ่ง) ในพิธีงานศพเป็นหลัก โดยเป็นเครื่องนำทางดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่ปรโลก หรือแดนของบรรพบุรุษ ฉะนั้นในธรรมเนียมม้งจึงห้ามมิให้ฝึกเป่าแคนภายในบ้าน ส่วนใหญ่จะฝึกในที่ ๆ ห่างไกลจากหมู่บ้านซึ่งมักจะเป็นที่พักพิงตามไร่สวน
CR : http://www.openbase.in.th/node/979
ดอยผาตั้งจะมีหมอกปกคลุมอยู่ตลอดเวลา และอากาศเย็นทั้งปี แต่น่าเสียดายที่ธรรมชาติกำลังถูกรุกรานอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
หลังจากน้องๆชาวเขาแยกย้ายลงบ้านใครบ้านมัน ความเงียบก็กลับเข้ามาในรถอีกครั้ง มีแต่อารมณ์สุนทรีและตื่นตาตื่นใจไปทุกสภาพบรรยากาศที่ได้มองเห็น

จุดหมายเริ่มใกล้เข้ามาละ หลังจากนั่งรถขึ้นมาสองชั่วโมงกว่า เข้าเขตหมู่บ้านที่ดอยผาตั้ง ตลอดเส้นทางความหนาวเย็นๆก็เริ่มเพิ่มขึ้น อากาศข้างบนสดชื่นหายใจได้เต้มปอดจริงๆ

ใกล้มืด อากาศเย็นมาก กว่าจะถึงที่พักนั่งนานเลย พอถึงที่พักก็ติดต่อเช็คอินเข้าพัก พักที่ผาตั้ง 2 คืนเต็มๆ ใช้ชีวิตที่นี้ให้คุ้มค่ากับการตั้งใจมาถึง


วัดดอยผาตั้ง ตั้งอยู่ไกลลิบๆ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ๆเราจะไปกัน ตอนนี้นั่งดูพระอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้ากันก่อน หมอกสวยๆค่อยๆลอยผ่านไปช้าๆ

บรรยากาศที่หมู่บ้าน หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา เด็กๆน้องๆที่นี่น่ารักหน้าตา น่าเอ็นดูมากๆ แต่น่าเสียดายเรามาถึงใกล้ค่ำแล้ว จึงไม่ได้เดินดูบรรยากาศเย็นๆที่หมู่บ้านนี้ ไว้วันรุ่งขึ้นเราจะเดินเล่นกัน


ดอกบัวตองที่ขึ้นริมทาง ซึ่งจะขึ้นส่วนมากทางภาคเหนือ ในปลายปีถึงช่วงต้นปีจะบานสะพรั่งไปทั่ว ดอกบัวตอง ป็นพืชพื้นเมืองของประเทศเม็กซิโก เป็นไม้ดอกมีอายุยืนยาวหลายปี


ทะเลหมอกยามเย็น บริเวณร้านอาหารของที่พัก


มื้อค่ำที่นี่ เป็นมื้อแรกอร่อยมากๆ กินข้าวร้อนไปหลายจานเลย







ร้านบ้านกาแฟเป็นร้านของที่พัก ที่พักจะอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน อาหารที่ร้านอร่อยมาก ชอบขาหมูยูนานกับผัดเห็ดหอม ถึงกับต้องสั่งทุกมื้อเลยทีเดียว








อาหารเช้ามื้อแรกนี้คือข้าวต้มเห็ดหอมร้อนๆ แต่บอกเลยว่าอร่อยมากๆ กินข้าวต้มและมีบรรยากาศดีๆรอบตัว คลายหนาวลงได้บ้าง มาพร้อมกับขนมปังและกาแฟร้อนๆ ซึ่งสามารถชงทานเองได้ มีทั้งกาแฟ โอวัลตินและชา เพิ่มพลังในเช้าวันนี้


















การเดินเที่ยวนี่ก็มีข้อดีหลายอย่างเลยนะ ทั้งออกกำลังกาย ออกกำลังขาไปในตัวแถมวัดใจว่าจะไหวมั้ย ไม่ไหวจะโบกรถขึ้นไปดีกว่าหรือเปล่า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราได้มองเห็นธรรมชาติรอบตัว ความสวยงามระหว่างทางมากกว่าจะมุ่งไปยังจุดหมายอย่างเดียว อีกอย่างที่ชอบคือได้ชาวบ้านได้หยิบยื่นรอยยิ้มระหว่างทางให้เราตลอด การเดินทางจะมีความหมายเสมอ ต่อให้เราไปคนเดียวเราก็ไม่เคยเหงาเลยสักนิด



บรรยากาศและสภาพอากาศเหมือนไม่ใช่หน้าหนาวเล้ยย ถ้าใครดูแต่ภาพและไม่ได้อ่านเรื่องราวที่รีวิวคงคิดว่าเราแบ้คแพ็คมาเที่ยวหน้าฝน จริงๆแล้วอากาศข้างบนนี้แปรปรวนมีหลายๆฤดูใน 1 วันตลอดเกือบทั้งปีเลย







ในที่สุดวันนี้เราก็พิชิต 6 กิโลแม้ว แบบสบายชิวๆได้สำเร็จ ไม่เสียดายเวลาที่เดิน ไม่เสียดายเรี่ยวแรงสองขาที่เหนื่อยเมื่อยล้าเลยสักนิด เห็นเป้าหมายแล้วถอยหายใจแรงๆ นี่เราก็เดินมาถึงจนได้เนาะ ^^













































































ช่างคุ้มค่ากับการรอคอยเป็นยิ่งนัก ไม่ได้เดินกลับขึ้นมาที่เนิน 102 แต่มายังเนินอีกด้านที่อยู่ระหว่างทางออกใกล้ๆเขาช่องขาด นั่งอาบแสงสุดท้ายจนวินาทีสุดท้ายเลยดีกว่า

















