Doi Luang Chiang Dao l วันฟ้าขาว

 

• การเดินทางที่มีอุปสรรค มักทำให้เราจดจำเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้นได้ดีอยู่เสมอ •

สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เราได้ใช้บริการสายการบินหางแดงอีกครั้ง ด้วยความที่จองตั๋วโปรราคาแสนถูก จึงได้เวลาขาไปที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ บวกกับเช็คสภาพอากาศแล้วก็หวั่นๆว่าฝนจะตก เพราะใน app weather วันที่ 24,25 ฝนลง 80% จ้าาา แต่มันก็แค่ app เนอะ อย่าไปเชื่อมันเลย

เราได้เที่ยวบินที่ไปถึงเชียงใหม่ในเวลา 3 โมงเย็น กับการเดินทางขึ้นดอยหลวงเชียงดาวที่ต้องใช้เวลาภายใน 3 วัน จึงตัดสินใจติดต่อกับพี่ชัย ทัวร์ท้องถิ่น (เน็ตไอดอลจากเชียงดาว 555) ให้จัดการเดินเรื่องติดต่อกับทางอุทยานและพาขึ้นเลยละกัน จริงๆ ก็ไม่ได้รู้จักพี่ชัยมาก่อน แต่ลองอ่านรีวิวจาก Pantip ดู พบว่าพี่ชัยมาแรงม๊ากก และแรงมากจริงๆ เพราะตลอดทางมีแต่คนทักแก อ่อ ลืมบอกว่าทริปนี้รวมคนได้ 12 คน (เฉพาะกลุ่มเรา 10 คน + พี่ที่มาจากภูเก็ต 2 คน มาแจมด้วย) ค่าใช้จ่ายจึงไม่แพงเท่าไหร่

วันแรกที่ไปถึงพี่ชัยติดต่อรถตู้ให้มารับที่สนามบินและรีบไปซื้อของกินของใช้ที่โลตัส คำเที่ยง ของที่ซื้อส่วนใหญ่ก็ไม่พ้น มาม่า โจ๊กคัพ ขนมปัง ไข่ไก่ เบียร์ เหล้า ถุงขยะ กระดาษทิชชู่ เครื่องปรุงรสต่างๆ ลูกอม ขนม จานชามกระดาษ ช้อนส้อมพลาสติก แก๊สกระป๋อง น้ำขวด 1.25 ลิตร (พกระหว่างเดินคนละ 1 ขวด)

หลังจากซื้อของเสร็จก็ตรงดิ่งไปอำเภอเชียงดาวทันที เพราะต้องเดินทางอีกเป็นชั่วโมง...กว่าจะไปถึงก็มืดแล้วอากาศเริ่มเย็น รถตู้พาไปส่งตรงบ้านพี่ชัย ซึ่งอยู่ใกล้ทางขึ้นดอยฝั่งปางวัว มีน้องหมาที่ชื่อโชคออกมาต้อนรับเป็นอย่างดี เราตกลงกับพี่เค้าไว้ว่าจะขอเช่าห้องพัก ซึ่งนอนได้ประมาน 4-5 คน ต่อห้อง แต่ก็ไม่รู้มาก่อนว่าสภาพห้องเป็นไง เห็นว่านอนคืนเดียว ช่างมัน... แต่แล้วเมื่อพี่เจ้าของที่พักชี้ไปที่ฝั่งตรงข้ามว่า “ไปดูห้องเลยมั้ย อยู่ทางนู้นนน ฝั่งตรงข้ามน่ะ” ทุกสายตาหันมามองหน้ากันและอ่านป้ายว่า “เลิฟลี่ อินน์” 555 ซึ่งเป็นไปตามที่คิด มันคือม่านรูดนั่นเอง

 

IMG_4477.jpg

IMG_4478.jpg

IMG_4480.jpg

IMG_4481.jpg

 

ก็เป็นอันตกลงนอนที่นี่เนี่ยแหล่ะ ไม่เสียเวลาหาที่ใหม่ แต่จะว่าไปการเข้าม่านรูดครั้งแรก ก็ดีนะ....กระจกเยอะดี 555

เก็บข้าวของเสร็จก็ข้ามถนนกลับมาบ้านพี่ชัย (ถนนเส้นนี้ค่อนข้างอันตรายเพราะอยู่ตรงแอ่งพอดี) จะข้ามถนนต้องระมัดระวัง รถมาเร็วมาก ข้ามมาก็นั่งกินข้าว พี่ชัยเลยมานั่งคุยและตกลงกันว่าพรุ่งนี้เช้าจะพาไปตลาดซื้อของสดละกัน เจอกันตี 5 ก็เป็นอันโอเค ตกลง... พวกเรารีบกินข้าวและรีบนอนเก็บพลังงาน สภาพอากาศในคืนนี้เริ่มหนาวเย็น นี่ขนาดอยู่ตีนเขานะเนี่ย ขึ้นไปบนดอยจะขนาดไหน

 

นอนยังไม่ทันหลับดี นาฬิกาก็ปลุก

ตี 4 แล้ว รีบอาบน้ำข้ามถนนไปฝั่งบ้านพี่ชัย พี่ชัยก็ออกมาขับรถพาไปตลาดซื้อของ

 

 

อาหารเช้าของเราก่อนเดินทางคือ ข้าวเหนียวไก่ทอด และโรตี สำหรับจำนวน 10 คน (พี่อีก 2 คนไม่ได้ออกมา เลยไม่รู้ว่าพี่เค้าออกไปซื้อของกันเองเปล่า แต่ปรากฏว่าไม่ได้ออกไป ต้องขออภัยพี่ๆ ที่ไม่ได้ซื้ออาหารเช้ามาเผื่อด้วยค่ะ กราบบบ -/\- )

เมื่อกินเสร็จและพร้อมหน้าพร้อมตากันเราก็มาเตรียมออกเดินทาง ลูกหาบนำของทุกอย่างที่จะนำขึ้นมาชั่งนำ้หนัก เฉลี่ย 20 กิโลกรัม ต่อลูกหาบ 1 คน ติดต่อว่าจ้างไว้จำนวน 4 คน คนละ 500 บาท/วัน ซึ่งไม่พอด้วยซ้ำ น้ำหนักที่เกินมาก็เลยต้องคิดเพิ่ม (เรื่องนี้ต้องคำนวนกันเองนะจ้ะ) ส่วนคนนำ 1 คน 600บาท/วัน ถ้าใครเคยมาบ่อยแล้วก็ไม่ต้องจ้างคนนำเที่ยวก็ได้

 

IMG_4496.jpg

IMG_4498.jpg

 

ขนของขึ้นรถเสร็จก็ออกเดินทางไปทางขึ้นฝั่งปางวัวกันเลย (ต้องเสียค่ารถกระบะอีก ไป-กลับ 2400 บาท)

การเดินขึ้นครั้งนี้จริงๆแล้วเป็นครั้งที่ 2 ที่เคยมา แต่ว่าครั้งที่แล้วได้เดินขึ้นทางเด่นหญ้าขัด มีระยะทางไกลกว่าปางวัวไม่ชันมากเท่าไหร่ พอรู้ว่าต้องขึ้นทางปางวัวความรู้สึกท้อก็มาทันทีเพราะมันชันม๊ากกก แค่คิดก็ปวดหน้าขาแล้ว

 

เส้นทางจากปางวัวไปจนถึงจุดกลางเต๊นท์มีระยะทาง 6.5 กิโลเมตร แต่เป็นระยะทางที่วัดเป็นเส้นตรง พี่ชัยบอกว่าระยะทางที่วัดจากการเดินเท้ารวมถึงทางโค้ง ทางเลี้ยวแล้วคือ 11.5 กิโลเมตร โอ้โห้วว ววววว จริงๆ ข้างล่างก็สวยดีนะ

 

เส้นทางที่เราต้องเดินจะผ่าน ดงไผ่หก ดงกล้วยก่อนถึงสามแยก

ถึงเวลาออกเดินทางกันซะที ก้มลงมองดูนาฬิกา 8 โมงครึ่ง รีบเดินก่อนดีกว่า กลัวว่าแดดจะมา... ทางเดินในช่วงแรกจะค่อนข้างชันและแคบ หญ้าค่อนข้างสูง เดินไปได้นิดหน่อยก็หยุดชมวิวไปเรื่อย เห็นเมฆแล้วน่าจะไม่รอดแน่ๆ ต้องลุ้นให้ฝนไม่มาแล้วล่ะ

 

 

วิวตรงนี้เราจะมองเห็นบ้านระเบียงดาวอยู่ไกลริบๆโน้นนนนนน เห็นกันมั๊ย ?

จากอากาศอันแสนเหน็บหนาวในตอนเช้ามืด จนถึงตอนนี้ก็เริ่มร้อนแล้ว ต่างคนต่างเริ่มถอดเสื้อกันหนาวออก ตลอดข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ใบหญ้า ซึ่งมันคือป่าจริงๆ อากาศจึงบริสุทธิ์และปลอดโปร่งมาก (ในปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มเยอะขึ้น เลยหวังว่าป่าจะไม่เสื่อมโทรมนะ)

 

เดินไปเรื่อยๆ ก็จะมีจุดชมวิวชื่อว่าผาเงิบ (พี่ชัยบอกมา) เลยไปหยุดถ่ายรูปและรอเพื่อนที่ผาเงิบกัน

IMG_4511.jpg

IMG_4520.jpg

 

เพื่อนมากันแล้ว เดินต่อเลยละกันเนอะ

แล้วก็มาถึงสามแยกซะที อีกแค่ครึ่งทางเท่านั้น เรามานั่งพักกันที่ใต้ต้นท้อที่ดอกกำลังเริ่มจะร่วงหมดแล้ว กินอะไรกันนิดหน่อย แล้วออกเดินต่อจะได้ไม่เสียเวลา พี่ชัยบอกน่าจะถึงประมาณบ่ายถ้าเราเดินต่อเนื่องขนาดนี้

 

 

มันคือดอกท้อจริงๆนะ ไม่ใช่พญาเสือโคร่ง

เดินไป เดินไป เดินไป จนมาถึงจุดพักอีกหนึ่งที่ นั่งพักกัน 15 นาที แล้วเดินต่อ..

 

IMG_4529.jpg

IMG_4556.jpg

 

ใกล้ถึงแล้ววววว

แค่เดินอ้อมเขาลูกนี้ไปเท่านั้น แค่เดินอ้อมเขาาาา แค่เดินอ้อมเขาาาาาาาา เท่านั้นนนนนนนน !!!

 

 

แต่ !!! น้องเป็นตะคริวซะก่อน พี่บอยผู้ร่วมทริปของเราเลยต้องมาช่วยนวดให้เส้นคลายออก หันไปอีกที พี่ชัยหายไปซะแล้ว เลยเดินขึ้นไปอีกนิดนึงเลยพบว่า  อ่อออ นั่งเก๊กอยู่นี่นี่เองงงง งั้นถ่ายรูปด้วยกันซะหน่อย ไอ่เราเป็นผู้หญิง เลยเดินล่วงหน้าไปก่อนเลยละกัน แหะๆ (ไม่ได้ทิ้งเพื่อนนะะะ)

พี่ชัยให้คำแนะนำว่า ถ้าได้กินน้ำปลานิดนึง จะหายเป็นตะคริวทันที ...ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า เสียดายไม่มีพกไว้ จะได้กรอกปากน้องซะที 555

 

IMG_4575.jpg

IMG_4576.jpg

 

เดินไปอีกเกือบกิโลก็ถึงจุดกางเต๊นท์แล้ว แต่เป็นเกือบกิโลที่ทรมานอยู่นะ และในที่สุดก็มาถึง บ่ายโมงจริงๆด้วย ใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชม นิดๆ มาถึงพี่ชัยกับลูกหาบก็ช่วยกันกางเต็นท์ให้ ระหว่างนั้นเราก็เก็บของ ต้มน้ำ กินโอวันตินกันแล้วนอนพัก ส่วนพี่ชัยกับลูกหาบก็เตรียมกับข้าวเพื่อทำในคืนนี้

IMG_4583.jpg

IMG_4584.jpg

 

พอ 4 โมงเย็น ก็เดินไปยอดดอยหลวงกัน เพื่อดูพระอาทิตย์ตกระยะทางอีกประมาณ 500 เมตร

ระหว่างที่ออกเดินฝนก็เริ่มปรอยลงมา ...แย่ล่ะสิ กล้องฉัน...โชคดีที่พกเสื้อกันฝนมาด้วยไม่งั้นกล้องพังแน่ๆ เพราะฝนเริ่มเม็ดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่แดดก็ยังออกอยู่นะ เดินไปภาวนาให้หยุดไป จนขึ้นมาถึง รุ้งกินน้ำก็โผล่มาให้เห็นพอดี พอขึ้นมาก็ได้เห็นวิวสวยๆทำให้หายเหนื่อยไปในทันที

 

เราได้ขึ้นมาเป็นกรุ๊ปแรกและมีอีกหนึ่งกรุ๊ปตามมาติดๆ เลยรีบถ่ายรูปกันก่อนที่คนจะเยอะและมีความเสี่ยงที่ฝนจะลงอีกรอบ

 

จากจุดนี้มองไปจะเห็นดอยสามพี่น้อง ซึ่งพระอาทิตย์จะตกลับหลังเขาตรงนั้นพอดี และดอยพีระมิดจะอยู่ฝั่งขวานู้นนน

 

ยืนถ่ายรูปกันได้ 20 นาที แสงอาทิตย์เริ่มจางหายไป และแล้วความกลัวของทริปนี้ก็เกิดขึ้น มวลหมอกก้อนใหญ่ที่มองแล้วไม่มีวันหมดไปในวันสองวันนี้เคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็ว เป็นปรากฏการที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ลมแรง หมอกหนา แล้วฝนกำลังจะตามมาในไม่ช้า พวกเรารีบถ่ายรูปและรีบลงเพราะพี่ชัยบอกว่า 99% แล้วล่ะที่จะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ รีบลงก่อนที่ฝนจะตกหนักดีกว่า 

ผู้คนยังคงนั่งรอกันอย่างมีความหวังว่าฟ้าจะเปิดอีกครั้ง และมีบางส่วนที่ยังทยอยเดินขึ้นมาเพื่อชมวิวอันขาวโพลน แม้ระหว่างทางจะมีการถามไถ่ แต่ก็ยังยืนยันที่จะเดินขึ้น

 

 

เราจึงกลับที่พัก กินข้าว นั่งคุยกัน ระหว่างที่นั่งกินข้าวลมและฝนค่อนข้างแรง วัดอุณภูมิได้ 5-6 องศา พอมืดแล้วก็มืดสนิทขึ้นมาทันที ไฟฉายอยู่ไหนนน !!! อยู่ในเต๊นท์ -...-

นั่งคุยกันได้ซักพักอยู่ข้างนอกไม่ไหวแล้ว ได้หนาวตายแน่ๆ พี่ชัยบอกไว้ว่า พายุเข้าแบบนี้ ภาวนาให้ฟ้าเปิด ซึ่งมีโอกาสน้อยมาก เอาจริงๆก็ไม่หวังอะไรแล้วล่ะ แต่ก็ได้คำปลอบใจแค่ว่า พวกเราถือว่าโชคดี ที่ได้มีโอกาสเจอสภาพอากาศที่แย่ขนาดนี้ ไม่มีใครเค้าเจอกันหรอก นี่เราควรจะดีใจใช่มั้ยเนี่ย !! ตลอดคืนเสียงลมที่พัดดังมาก และมีฝนตกตลอดทั้งคืน นอนหลับๆตื่นๆ หนาวก็หนาวแถมกลัวเต๊นท์จะปลิวอีก

 

ตี 5 นาฬิกาปลุก เลยลองเอาไฟฉายส่องออกไปนอกเต๊นท์ดู โอ้ววววว สงบแล้ววว....อย่ามโนค่ะ เหมือนเดิ๊มมมม นอนต่อเลยละกัน

7 โมง พี่ชัยเดินมาเรียกให้ไปกินข้าวแล้วเก็บของลงเลย สภาพอากาศไม่ต่างจากตอนเย็นเมื่อวาน หมอกลงหนาจัด ฝนตกปรอยๆ เลยไม่สามารถไปกิ่วลมได้

 

เมื่อเตรียมตัวเสร็จ ก็ออกเดินทางกลับ คราวนี้ฝนตกหนักทางเริ่มเป็นดินโคลน เวลาเดินต้องระมัดระวังอย่างมากเพราะทางปางวัวค่อนข้างชันถ้าลื่นไปมีแหกโค้งแน่ๆ
การเดินทางกลับเลยค่อนข้างลำบากมาก ต้องคอยจับหญ้าข้างทางพยุงตัวไว้ตลอด เส้นทางบางช่วงต้องให้พี่คนนำทางของกรุ๊ปอื่นช่วยฝ่าดงหญ้าเพื่อเปิดเส้นทางใหม่ระหว่างกลับเลยไม่สามารถถ่ายรูปได้ ลำพังทรงตัวให้ไม่ล้มได้ก็บุญแล้วล่ะ แต่ละคนลื่นกันตลอดทาง ถือเป็นทริปที่โหด มันส์ ฮา มากๆเลยทีเดียว ระยะเวลาการเดินกลับใช้เวลาไป 4 ชม เต็ม ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เต็มใจอย่างแรง เรียกได้ว่าเจอทุกฤดูในทริปเดียว

 

หลังจากกลับมาถึงบ้านพี่ชัย ทางครอบครัวพี่ชัยทำการต้อนรับการกลับมาอย่างอบอุ่นด้วยการเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นให้พวกเราทยอยกันเข้าไปอาบน้ำ และพี่นุ่น พี่บอย (ผู้ร่วมทริป) ก็ได้สั่งอาหารไว้ให้พวกเราได้มานั่งกินกัน ขอบคุณอาหารมื้อนี้ด้วยค่ะพี่ๆ กราบบบบ อีกหนึ่งที

จัดการตัวเองกันเสร็จเรียบร้อย ต่างคนต้องต่างแยกย้ายกันแล้ว พี่ชัยก็ขับรถกระบะไปส่งพวกเรา 7 คน ที่ท่ารถกลับตัวเมืองเชียงใหม่ (ช้างเผือก) เพื่อนอีก 3 คนขับรถกระบะขนของมาส่งพวกเราแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อ ส่วนพี่นุ่น พี่บอย ก็ต้องโบกมือลากันตรงนี้เลย ไว้มีโอกาสไปเที่ยวไหนชวนกันด้วยนะคะพี่ๆ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนึง

ขอบคุณผู้ร่วมทริปทั้ง 12 คน (รวมตัวข้าพเจ้า) ที่ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมา ช่วยเหลือกัน สร้างความสนุกสนาน เฮฮากันตลอดทริปนี้ และขอบคุณพี่ชัยและลูกหาบ ที่บริการพวกเราเป็นอย่างดี ดูแลอย่างกะลูกกะหลาน 555 ใครสนใจบริการดีๆจากพี่ชัยติดต่อได้หลังไมค์นะฮะ

คำแนะนำสำหรับทริปนี้

1. อยู่บนดอย ยิ่งสูง ยิ่งหนาว โปรดเตรียมความพร้อมด้วย

2. สภาพอากาศที่ไม่แน่นอน ควรมีเสื้อกันฝนติดตัวไปด้วยทุกครั้ง

3. cocoon sleeping bag liner ช่วยได้เยอะมาก ซื้อไว้ไม่ผิดหวัง

4. ฟิตร่างกายก่อนมาก็ช่วยได้เยอะเช่นกัน

5. มาเป็นกรุ๊ปตัวหารเยอะกว่า

6. รองเท้าเป็นสิ่งสำคัญ คู่ละสามพันยังลื่นได้ เพราะฉะนั้นที่ตลาดมีรองเท้าลูกหาบขายคู่ละ 80 บาท

7. ไม่ควรส่งเสียงดัง โวยวาย ถ้าอยากส่องกวางผา 

8. บางที app weather ก็เชื่อถือได้

 

 

สรุปค่าใช้จ่าย

ค่ารถตู้จากสนามบิน - เชียงดาว 1,800 บาท

ซื้อของเครื่องใช้โลตัส 3,315 บาท

ค่าที่พักม่านรูด 1 คืน 1,200 บาท

จ่ายตลาดตอนเช้า 769 บาท

ค่าเช่าเต๊นท์ 1 หลัง 300 บาท

ค่าเช่าผ้าปูรองนอน 4 ผืน 200 บาท

ลูกหาบ 4 คน 2 วัน / 4,000 บาท

น้ำหนักของที่เกินมา 600 บาท (ไม่แน่ใจ น่าจะคิดเป็นกิโลละ 30 บาท)

คนนำ 1 คน 2 วัน / 1,200 บาท

รถกระบะรับ-ส่งทางขึ้น 2,400 บาท

ค่าน้ำดื่มบนเขา 1,000 บาท

ค่าลงทะเบียน 1,060 บาท

รวม 17,844 บาท / คนละประมาณ 1,700 บาท

 

ติดตามการเดินทางอันแสนไร้สาระไปกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/tackpacker