Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
พิชิตลานสนชมทุ่งดอกหงอนนาค ณ ภูสอยดาว (3 วัน 2 คืน) ลานสน อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว (Larn Son Phu Soi Dao National Park) จ.อุตรดิตถ์
    • Posts-1
    Namee •  September 01 , 2017

    พิชิตลานสนชมทุ่งดอกหงอนนาค ณ ภูสอยดาว (3 วัน 2 คืน)

              ทริปนี้เป้าหมายหลักคือการได้ไปทักทาย “ดอกหงอนนาค” บนลานสนภูสอยดาว ดังนั้นก็ต้องวางแผนไปให้ถูกช่วงถูกเวลากันนะจ๊ะ พวกเราเลือกไปกันในวันที่ 12 -14 สิงหาคม (3 วัน 2 คืน) ซึ่งยังเป็นช่วงฤดูฝนอยู่

    #ทริปนี้พิชิตได้แค่ลานสนเพราะอยู่ในช่วงหน้าฝนก็อดขึ้นยอด
    #ทริปหน้าเราจะกลับไปอีกครั้งเพื่อพิชิตยอดภูสอยดาวช่วงปลายฝนต้นหนาวนะจ๊ะ

    เป้าหมายที่ 6 ที่ตั้งเป้ากันไว้ว่าจะออกไปแตะขอบฟ้ากันให้ครบทุกสถานที่
    ทริปนี้ยังแตะไม่ถึง 2,102 เมตร (งานนี้มีไปซ่อมจ๊ะ)  

     

    อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว 

              มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำปาด ตำบลม่วงเจ็ดต้น ตำบลนาขุม ตำบลบ้านโคก อำเภอบ้านโคก อำเภอห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ตำบลบ่อภาค อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ปกคลุมไปด้วยป่าธรรมชาติที่สวยงาม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร มีจุดเด่นที่น่าสนใจและเป็นที่ดึงดูดใจของนักท่องเที่ยว ได้แก่ น้ำตกภูสอยดาว เป็นน้ำตก 5 ชั้น มีเนื้อที่กว้างประมาณ 1,000 ไร่ มีความสวยงามมาก มีถนนลาดยาง เข้าถึงพื้นที่ทำให้สะดวกสบายในการเดินทางพักผ่อนหย่อนใจ

     

    สถานที่ตั้ง : ต.ห้วยมุ่น อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ 53110
    โทรศัพท์ : 055 436793,  091 0247633, 095 6299528  (สำหรับติดต่อในเวลาราชการเท่านั้น)
     

    อัตราค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติ

    • ชาวไทย :  ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
    • ชาวต่างชาติ : ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท

     

              ส่วนการเดินทางนั้นขับรถไปกันเองค่ะ ออกจากกรุงฯ ตอน 19.00 น. ถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ตอนตี 4 มีเวลานอนพักกัน 2 ชั่วโมงได้ ก็ปูเสื่อนอนกันตรงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเลย แถม 6 โมงเช้าต้องรีบตื่น ไม่งันพวกเราจะโดนรุมล้อมด้วยกลุ่มนักท่องเที่ยวอื่นๆ ที่มารอต่อคิวลงทะเบียนนักท่องเที่ยว และรอชั่งสัมภาระเพื่อจ้างลูกหาบก่อนขึ้นภูกันจร้า ในส่วนนี้เมื่อชั่งเสร็จเจ้าหน้าที่จะมีใบน้ำหนักสัมภาระให้เรามาเพื่อไปเข้าแถวต่อคิวจ่ายเงินค่าอุปกรณ์ที่เช่า และค่าลูกหาบตามกิโล กิโลละ 30 บาท

    นอนรอเวลาที่จุดบริการท่องเที่ยว ณ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว

     

    มีลานจอดรถบริการสำหรับคนที่นำรถส่วนตัวมากันเอง

     

    ต่อคิวลงทะเบียนนักท่องเที่ยว

     

    รอต่อคิวชั่งน้ำหนักสัมภาระ (กรณีจ้างลูกหาบ)

     

    จุดบริการร้านอาหารสำหรับนักท่องเที่ยง มีแค่ 1 ร้าน สามารถสั่งข้าวเพื่อนำไปกินระหว่างทางได้  

     

              เมื่อทุกอย่างพร้อมพวกเรานั่งรถจากอุทยานมายังจุดทางขึ้น ระยะทางประมาณ 1 กิโล และเริ่มออกเดินกันตอน 9.30 น. ถึงจุดหมายปลายทางตอน 13.35 น.

    จัดการทุกอย่างพร้อมแล้วจะมีบริการรถรับส่งของทางอุทยานฯ ไปส่งเรา ณ จุดทางขึ้นนะจ๊ะ

     

    สิ่งที่ควรรู้และการเตรียมตัว

               - ค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท

               - ค่าลูกหาบกิโลกรัมละ 30 บาทต่อเที่ยว มัดจำขยะ 100 บาทต่อคณะ (ตอนลงนำขยะลงมารับเงินมัดจำคืน)

               - รองเท้าที่ใช้ควรเป็นรองเท้าผ้าใบที่ใส่สบายเท้าและเหมาะกับการใช้ในการเดินป่าโดยเน้นที่มีดอกยาง

               - มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือมีบางจุดระหว่างเดินเท้า แต่บนลานสนใครที่ใช้ AIS จะมีมากกว่าเครือข่ายอื่นๆ

               - มีเต็นท์ ถุงนอน แผ่นรองนอน ทางอุทยานมีให้เช่าโดยทำการติดต่อจากทางอุทยานได้โดยตรงก่อนขึ้น เช่าอุปกรณ์ด้านล่างที่จุดบริการนักท่องเที่ยว รับอุปกรณ์เช่าบนภู ส่วนพวกผ้าใบคลุมเต็นท์ ก็เตรียมติดมาด้วยเผื่อข้างบนฝนตกไม่มีให้บริการ ถ้าไม่ได้เช่าเต็นท์ของทางอุทยานไว้

               - บนภูมีเตาให้เช่า เตามี 2 แบบ เตาปิกนิก และเตาถ่าน มีถ่านและแก๊ซกระป๋องขาย แต่เตรียมไปเองก็ได้เอาที่สะดวก เผื่อของหมดจะได้ไม่อดตายกันด้วย

               - ยาป้องกันแมลงกัดต่อย หรือใส่ขายาวง่ายสุด สำหรับป้องกันแมลงคุ่น (โดนมาแล้ว 2 วันแรกไม่มีอาการ หลังจากนั้นคันทะยานเลย โดนกัดมาแล้วใช้เวลา 2 อาทิตย์ถึงจะหายคัน)

               - อาหารต้องเตรียมไปกันเองทั้งหมดนะจ๊ะ ไม่มีร้านค้าด้านบนและตามรายทาง แต่ด้านบนก็ยังพอมีบริการจิ้มจุ่ม ขายเป็นชุดสำหรับคนที่ไม่ได้นำอะไรขึ้นไป ไม่ได้ใช้บริการในส่วนนี้ไม่รู้ว่าขายกันชุดเท่าไร แต่เตรียมไปเองชัวร์สุดๆ)

               - มีน้ำให้ดื่มฟรีอยู่ด้านบนเป็นน้ำฝนที่เจ้าหน้าที่รองไว้ให้ใช้ดื่มกัน เตรียมแค่ขวดน้ำและน้ำดื่มไว้กินระหว่างเดินเท้าพอ (พวกเราแบกไปด้วยแพ็กหนึ่งไม่น่าเลย)

               - ไฟฉายหรือตะเกียงสำหรับใช้ในเวลากลางคืน เพราะที่นั้นไม่มีไฟฟ้านะจ๊ะ 

               - มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำให้บริการอยู่ด้านบน แต่ต้องไปตักน้ำใช้เอง ซึ่งจะมีถังและขันน้ำให้ยืมไป

    ตักน้ำ (ไม่ได้ให้ยืมฟรีต้องไปจ่ายเงินข้างล่างวันกลับ) จุ๊! ห้ามลงอาบน้ำล้างจานในลำธารนะจ๊ะเพราะเขาไม่ทำกัน

               - เตรียมเสื้อกันฝนไปด้วยเพราะถ้าไปช่วงฤดูฝนก็จะชุ่มช่ำกันน่าดู

               - เสื้อผ้าสัมภาระนำใส่ถุงพลาสติกและมัดปากให้เรียบร้อยก่อนนำใส่ลงในกระเป๋าเพื่อป้องการของเปียก

               - ที่สำคัญที่สุดควรฝึกเดินระยะทางไกลๆ หรือมีประสบการณ์การเดินมาก่อนจะดีมาก ไม่งั้นคุณจะต้อง

    ตกใจเมื่อเห็นยอดเนินมรณะ (มรณะสมชื่อจ๊ะ)

    • Posts-2
    Namee •  September 01 , 2017

    "ภูสอยดาว" ดาวบนดินที่ทุกคนก็สามารถเอื้อมถึง

              "ภูสอยดาว” ยอดเขาสูงอันดับ 4 ของประเทศไทย มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,633 เมตร ไฮไลท์ของที่นี่ คือการมาชมทุ่งดอกไม้สีม่วงแห่งกลางป่าเขา นั้นก็คือ "ดอกหงอนนาค" ซึ่งจะบานช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือน ส.ค. - ก.ย. ของทุกปี แต่ยอดสูงสุดของภูสอยดาวสูงจากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร

     

              การเดินเท้าขึ้นไปยัง "ลานสนภูสอยดาว" นั้นระยะทางอยู่ 6.5 กิโลเมตร ส่วนเวลาที่ใช้ในการเดินขึ้นอยู่กับฝีเท้าและความเร็วของแต่ละคนซึ่งจะใช้เวลาไม่เท่ากัน ก็จะอยู่ที่ประมาณ 4-6 ชั่วโมง แต่พวกเราใช้เวลาไป 5 ชั่วโมง เดินกันแบบชิลๆ

    นับถือลูกหาบที่นี่นะคะ แต่ละท่านแบกกันเยอะ และหนักมาก บางคนแบก 70 กิโล
    เพื่อปากเพื่อท้องจริงๆ ทำให้ทุกคนต้องต่อสู้กับความเหนื่อย สู้ๆ นะคะ

     

              ด้านแรกก่อนเดินขึ้นก็จะพบกับ "น้ำตกภูสอยดาว"  มีความสวยงามกระชากใจเราน่าดูเห็นน้ำตกแล้วบอกเลยว่าอยากลงเล่นน้ำให้สบายกาย สบายใจก่อนเดินเท้าขึ้นไปสู่ลานภูสอยดาวเสียเหลือเกิน ขนาดข้างล่างยังมีน้ำตกสวยงามให้ได้เห็นกันขนาดนี้ แล้วข้างบนละจะสวยงามขนาดไหนละเนี่ย ต้องขึ้นไปพิสูจน์...

     

              “น้ำตกภูสอยดาว” เป็นน้ำตกขนาดกลางในลำห้วยน้ำพายไหลลงสู่แม่น้ำปาดที่อำเภอน้ำปาด มีชั้นน้ำตกทั้งหมด 5 ชั้น แต่ละชั้นมีชื่ออย่างเช่น ภูสอยดาว สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ และสุภาภรณ์ มีน้ำไหลตลอดปี อยู่ริมเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1268  ใกล้กับที่ทำการอุทยานแห่งชาติ

    ขอความชุ่มช่ำจงบังเกิดแด่พวกข้าเทิด 555++

     

    เส้นทางเดินเท้า สู่ลานสนภูสอยดาว พร้อมไม่พร้อมก็ต้องพร้อม

     

     

              ระหว่างเดินเท้าขึ้นสู่ลานสนสามใบบนภูสอยดาว จะพบกับสภาพป่าที่สมบูรณ์และสวยงามมากๆ พร้อมกับเสียงน้ำตกที่ไหลดังให้เราได้ยินระหว่างเดินเท้าอยู่หลายกิโลเลยค่ะ

     

    การเดินขึ้นสู่ลานสนจะผ่านเนินต่างๆ ทั้งหมด 5 เนินด้วยกัน 
              - เนินส่งญาติ
              - เนินปราบเซียน
              - เนินป่าก่อ
              - เนินเสือโคร่ง
              - เนินมรณะ (เป็นเนินสุดท้ายที่โหดที่สุด ดอกไม้อะไรกันไปขึ้นอยู่ซะสูงเชียว ทุกคนยอมเหนื่อยเดินขึ้นมาเพื่อให้ได้เห็นสิ่งนี้กันละค่ะ)
     

     

              เมื่อเข้าสู่กิโลที่ 4 ผ่านไปแล้ว 4 เนิน เนินสุดท้าย เนินที่ใครๆ เห็นแล้วก็ต้องร้องโฮ้!...  นั้นก็คือ เนินมรณะ เนินนี้ไม่ใช่ยิ่งสูงยิ่งหนาวอย่างเดียวนะจ๊ะ แต่อยากจะบอกด้วยว่ายิ่งสูงยิ่งสวยด้วยจ๊ะ ไม่เชื่อไปดูกัน

    นั้นคือยอดเขา "เนินมรณะ" ดูผ่านรูปเหมือนไม่สูง ต้องไปลองขึ้นกันดูนะจ๊ะแล้วจะรู้

     

    ป้ายบอกเนินก่อนขึ้นสู่ยอดเขา

     

    ผู้พิชิต "ลานสนภูสอยดาว"

     

              แหละแล้วพวกเราก็มาถึง "ลานสนภูสอยดาว" โดยใช้เวลาในการเดินไป 5 ชั่วโมง ก่อนเข้าสู่ลานกางเต็นท์

     

              เมื่อขึ้นมาถึงภูก่อนอื่นต้องทำการติดเจ้าหน้าที่ที่จุดบริการนักท่องเที่ยวโดยนำบัตรรับของมาติดต่อ ซึ่งได้มาจากการติดต่อเช่าอุปกรณ์ต่างๆ กับเจ้าหน้าที่ที่อุทยานข้างล่างก่อนขึ้น เพื่อมารับสัมภาระและอุปกรณ์ต่างๆ บนภู ซึ่งบัตรที่นำมารับของจะหมายเลขลำดับกำกับไว้

              *ข้อเสียของการจ้างลูกหาบ คือ ของที่เราจ้างลูกหาบแบกมานั้นจะค่อนข้างได้ล่าช้าหน่อย เพราะของที่เราชั่งน้ำหนักจะมีคิวในการขนขึ้นซึ่งจะมีหมายเลขลำดับติดไว้ที่ของ และจะมีต้นขั้วอยู่ที่เราเพื่อรอรับของ ถ้าหากติดต่อทำเรื่องช้าก็จะได้คิวหลังๆ ก็รอกันไป

    ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ทำการติดต่อรับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ได้เช่าไว้ตอนยังอยู่ข้างล่าง

     

    มีบริการน้ำดื่นฟรีจ๊ะ ไม่ต้องพกน้ำขึ้นมากันก็ได้นะ เป็นน้ำฝน น้ำธรรมชาติ แค่มีขวดเปล่ามาลองน้ำกินพอ

     

    เลือกทำเลได้ตามใจชอบ ขึ้นมาเร็วมีโอกาสได้เลือกก่อนนะจ๊ะ

     

              ระหว่างนี้ไม่ได้ไปทำไรกันเลยนอกจากนอนอยู่เต็นท์รอของจากลูกหาบ กว่าลูกหาบจะมาถึง 4 โมงเย็นจร้า ได้เวลาทำกับข้าวกินกันพอดี ส่วนชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับการจัดหนักจัดเต็มเรื่องการทำอาหารกินในทุกๆ มื้อ

    นี้คืออะไร...

     

    ปฏิบัติการเริ่มได้.... ลงมือปรุงอาหารกันเมามัน

     

    อาหารมื้อแรกของพวกเรา

     

    ทำกับข้าวกันอยู่หมอกลงซะงั้นช่วง 4 โมงกว่า แล้วสักพักก็หายไป (มาไวไปไว สภาพอากาศแปรปรวน)

     

    มีห้องน้ำ และห้องอาบน้ำให้บริการอยู่บนภู

     

    ลำธารสำหรับตักน้ำไว้ใช้ในการทำภารกิจส่วนตัว (ไม่ควรลงไปนะจ๊ะ) ขันและถังน้ำมีให้เช่าค่ะ

     

    พรุ่งนี้จะพาไปเที่ยวกันนะ

       
    • Posts-3
    Namee •  September 01 , 2017

    ชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ณ "หลักเขตไทย - ลาว"

              เช้าๆ บรรยากาศดีๆ ก็ต้องออกไปดู "พระอาทิตย์ขึ้น" ตื่นกันตอนตี 5.30 น. เพื่อเดินเท้าออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ระยะทางในการเดินไปนั้นไม่ไกลมาก ใช้เวลาในเกินเดินไม่เกิน 30 นาที

    ป้ายบอกทาง

     

               "หลักเขตไทย - ลาว" เป็นหลักเขตที่ปักปันเขตแดนแบ่งระหว่างประเทศไทยและประเทศลาวมีขึ้นหลังสงครามบ้านร่มเกล้า และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า จะอยู่อีกด้านของลานสนอยู่ไม่ไกลจากลานกางเต็นท์เช่นกัน เส้นทางเดินอยู่ทางด้านข้างของจุดบริการนักท่องเที่ยว เดินไปประมาณ 1 กิโลกว่าๆ 

    ดอกหงอนนาค ช่วงเช้าๆ ดอกจะยังไม่บาน จะบานช่วงสายๆ

     

    เส้นทางเดินกลับสู่ที่พัก จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นจะเดินมาเส้นทางด้านหลังของศูนย์บริการฯ

     

               เพิ่มพลังด้วยอาหารมื้อเช้า กลายเป็นว่าสิ่งที่มีความสุขของพวกเราไม่ใช่แค่มาสัมผัสกับธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่การได้ทำอาหารทามกลางป่าเขา ก็ทำให้พวกเรามีความสุขด้วยเช่นกัน อยู่ที่ไหนก็ได้แต่พวกเราต้องไม่อดตาย

     

               สายๆ ก็ออกเดินเที่ยว ตามจุดเที่ยวต่างๆ ในบริเวณรอบๆ ลานสน โดยสถานที่ไม่ควรพลาดที่จะไปนั้นก็คือ “น้ำตกสายทิพย์”

    ลานสนสามใบ ทามกลางทุ่ง "ดอกหงอนนาค"

     

               “ลานสนสามใบภูสอยดาว” เป็นพื้นที่ป่าธรรมชาติ มีพื้นที่ประมาณ 1,000 กว่าไร่ เป็นที่ราบบนเทือกเขาภูสอยดาว ในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายนของทุกปี กลางทุ่งหญ้าจะมีดอกไม้ดินชูช่อแย่งกันออกดอกเป็นกลุ่มหนาแน่น เช่น ดอกหงอนนาคจะมีดอกสีม่วง ดอกสร้อยสุวรรณาจะมีดอกสีเหลือง และดอกหญ้ารากหอมจะมีดอกสีม่วงเข้มสวยงามมาก ฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิระหว่าง 1-5 องศาเซลเซียส มีดอกกระดุมเงิน, กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์, ใบเมเปิลซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสวยงามมาก

              สภาพพื้นที่ของลานสนจะเป็นเนินสูงต่ำสลับกันไป เป็นป่าสนสามใบ พืชชั้นล่างเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่และเต็มไปด้วยดอกหงอนนาคกำลังแข่งกันเบ่งบานในช่วงสายๆ ที่แดดกำลังดี ประมาณ 10 โมงเช้า แต่ต้องมาให้ถูกช่วง ถูกเวลาด้วยนะคะ ดอกหงอนนาคจะบานตอนแสงแดดออก ถ้าวันไหนหมอกลง ฝนลง แดดไม่ออก สายขนาดไหนดอกหงอนนาคก็จะไม่ยอมบานค่ะ

               ส่วนสภาพอากาศข้างบนนั้นในวันที่ไปอากาศค่อนข้างแปรปรวน หมอกลงตอนบ่าย 2 โมง พร้อมกับสายฝนปรอยๆ สักพักแดดออกหมอกหาย อากาศไม่ได้หนาวมากเย็นแบบสบายๆ อุณหภูมิอยู่ที่ 18 องศาได้ แต่โชคดีที่พวกเราไปไม่เจอฝนตกหนัก และที่โชคดีไปกว่านั้นคือ ดอกหงอนนาค ออกดอกเยอะกว่าทุกๆ ครั้ง ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โย่ว! มันยอดเยี่ยมมากๆ

    "ดอกหงอนนาค" นางพญาแห่งทุ่งลานสนสามใบ

     

    สถานีต่อไป...  "น้ำตกสายทิพย์" 

     

             "น้ำตกสายทิพย์" ซึ่งตั้งอยู่บนรอยต่อระหว่างป่าดิบชื้นกับป่าสนเขา เป็นน้ำตกขนาดเล็ก มีสายน้ำไหลลดหลั่นลงมาตามชั้นเตี้ยๆ รวม 7 ชั้น ความสูงแต่ละชั้นประมาณ 5-10 เมตร ฤดูฝนน้ำจะไหลแรงมองดูสวยงามมากและมีน้ำไหลตลอด และจะมีมอสสีเขียวขึ้นปกคลุมทั่วไปตามก้อนหินริมน้ำ เมื่อขึ้นเที่ยวบนลานสนสามใบภูสอยดาวสามารถเที่ยวน้ำตกแห่งนี้ได้ด้วย ซึ่งจะอยู่ไม่ไกลจากลานกางเต็นท์ ใช้เวลาเดินประมาณ 10-20 นาที

     

             ยามเย็นก็ต้องออกเดินมายังจุดชมวิว "พระอาทิตย์ตก" กันนะจ๊ะ อยู่ใกล้กับลานกางเต็นท์เลย ส่วนจะเห็นพระอาทิตย์หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับบรรยากาศในแต่ละวันค่ะ

    วันนี้ถือว่าโชคดีมากค่ะ ฟ้าเปิดสิ่งที่จะได้เห็นก็คือแสงยามเย็นเช่นนี้ค่ะ มาไวไปไวมากค่ะ

     

    ภารกิจชมพระอาทิตย์ตกเสร็จแล้ว ภารกิจที่บกพ่องไม่ได้เลยกับอาหารมื้อเย็น

    ก่อไฟไว้สร้างภาพ แต่จริงๆ  แล้วใช่เตาแก๊ซ 555++    

     

    ทำกันเยอะ ทำแจกจ่ายเต็นท์เพื่อนบ้านไปทั่ว    

     

    อาหารคาวก็มี ของหวานก็ต้องมาเช่นกัน    

     

             ปิดท้ายวันนี้ด้วยการพาไปดูช้าง เวลายามค่ำคืนก็จะได้เห็นช้างออกมาหากินกัน โชคไม่ดีเจอแต่ลูกช้าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่เจอช้างเลย 555++

    • Posts-4
    Namee •  September 01 , 2017

    ลุยหมอก ชมดอกหงอนนาค ก่อนจากลา...

               เช้าๆ อากาศดีๆ พวกเราออกไปลุยหมอก สูดอากาศบริสุทธิ์ สัมผัสกับธรรมชาติให้สุขใจกันอย่างเต็มที่ก่อนกลับ คงไม่มีงานเลี้ยงไหนที่ไม่มีวันเลิกรา การเดินทางทำให้เรารู้คุณค่าของชีวิตจริงๆ  ขอบคุณธรรมชาติที่สวยงามเหล่านี้ค่ะ ที่ทำให้เราพบกับความสุข ความสงบที่แท้จริง #ธรรมชาติยังคงสวยงามเสมอแต่เราตะหากที่เปลี่ยนไป

     

             พวกเราเตรียมเก็บสัมภาระและติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อชั่งสัมภาระส่วนกลางที่จะจ้างลูกหาบขนลง ส่วนใหญ่แล้ววันที่ขนขึ้นมาลูกหาบจะถามเราอยู่ว่าวันกลับจะจ้างขนของลงด้วยรีเปล่า ถ้าจ้างคือเราก็จะใช้ลูกหาบคนเดิม แต่ขาขนลงสัมภาระจะไม่มีหมายเลขลำดับติดกำกับไว้ แต่ลูกหาบจะรู้ว่าขนของของหมายเลขใด เราก็แค่จำหน้าลูกหาบไว้ให้ได้ เพื่อไปรอรับสัมภาระที่จุดรับของที่อุทยานฯ พร้อมชำระค่าอุปกรณ์ต่างๆ เช่าไว้ใช้บนภู

               *ข้อเสีย เนื่องจากสัมภาระไม่มีหมายติดกำกับ ความเสี่ยงที่ของจะหายหรือสลับกันสูง เพราะฉะนั้นเมื่อได้ของแล้วควรเช็คของให้เรียบร้อยว่าใช่ของเรารึเปล่า ถ้าไม่ใช่อย่าไปเอาของคนอื่นเขาเลย

     

               เมื่อทุกอย่างพร้อม การเดินก็เริ่มขึ้น ออกเดินกันตอน 8.40 น. ลงมาถึงจุดหมายปลายทางตอน 11.00 น. ใช้เวลาในการเดินประมาณ 3 ชั่วโมงได้

    อย่าลืมนะจ๊ะ นำขยะลงมาทิ้งด้านล่างกันด้วย เพื่อธรรมชาติจะได้ยังคงอยู่ต่อไป

     

     

               ปิดทริปด้วยการนอนแช่น้ำตกภูสอยดาวกันค่ะ แต่กว่าจะได้ออกจากอุทยานฯ ได้ล่อไปเกือบ 3 โมงเย็น เนื่องจากเสียเวลารอของส่วนกลางจะลูกหาบ

    จุดติดต่อจ่ายเงินค่าเช่าอุปกรณ์ต่างๆ บนภู และจุดรอรับสัมภาระจากลูกหาบ

     

    ส่งมอบขยะที่นำลงมากันค่ะ พร้อมกับได้เงินมัดจำคืน 100 บาท

     

    การเดินทาง

    รถยนต์

    • จากจังหวัดพิษณุโลก ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 แล้วแยกเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1246 ถึงบ้านแพะแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 1143 ผ่านอำเภอชาติตระการ แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 1237 ผ่านบ้านบ่อภาคไปบรรจบกับเส้นทางแผ่นดินหมายเลข 1268 ถึงน้ำตกภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว รวมระยะทางประมาณ 188 กิโลเมตร

    • จากจังหวัดอุตรดิตถ์ใช้ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1047 (อุตรดิตถ์-น้ำปาด) จนถึงอำเภอน้ำปาดแล้วเข้าสู่ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1239 ไปอีก 47 กิโลเมตร จึงเข้าสู่ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1268 ไปอีก 18 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ รวมระยะทางประมาณ 133 กิโลเมตร

     

    รถโดยสารประจำทาง

    การเดินทางด้วยรถโดยสารวิธีที่ 1

    • ช่วงที่ 1 จากกรุงเทพฯ ขึ้นรถโดยสารที่สถานีขนส่งหมอชิต สายกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ไปลงที่จังหวัดพิษณุโลก
    • ช่วงที่ 2 จากจังหวัดพิษณุโลก เดินทางด้วยรถโดยสารระหว่างอำเภอ ไปอำเภอชาติตระการ ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร
    • ช่วงที่ 3 จากอำเภอชาติตระการ เดินทางด้วยรถสองแถว ซึ่งมีวันละ 1 เที่ยว รถออกเดินทางไม่เกิน 09.00 น. ไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร

     

    การเดินทางด้วยรถโดยสารวิธีที่ 2

    • ช่วงที่ 1 จากกรุงเทพฯ ขึ้นรถโดยสารที่สถานีขนส่งหมอชิต สายกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ไปลงที่จังหวัดพิษณุโลก
    • ช่วงที่ 2 จากจังหวัดพิษณุโลก เดินทางด้วยรถรับจ้างเหมาไป-กลับ ราคาประมาณ 2,600 บาท ไปอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ระยะทางประมาณ 170 กิโลเมตร

     

    หมายเหตุ : หากนักท่องเที่ยวเดินทางไปถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวแล้ว ไม่สามารถขึ้นยอดภูสอยดาวได้ทัน (อุทยานแห่งชาติเปิดให้ขึ้นลานสนภูสอยดาวตั้งแต่เวลา 8.00 - 14.00 น.) ทางอุทยานแห่งชาติได้จัดเตรียมสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการ บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติที่อยู่ด้านล่างไว้แล้ว มีสถานที่สำหรับจอดรถ มีสุขาชาย-หญิง ห้องอาบน้ำบริการ และมีร้านอาหารไว้บริการนักท่องเที่ยว

     

    สรุปค่าใช้จ่าย (รวม 4 คน/คนละ 3,000 บาท) ใช้เงินเป็นค่ะหมดทุกบาท

    ค่ารถน้ำมันรถ                                                    2,500 บาท
    ค่าเช่าเต็นท์และอุปกรณ์ต่างๆ 2 คืน 3 วัน                 3,500 บาท
    ค่าอาหารรวมทุกมื้อ (จัดเต็มเตรียมไปเอง)                2,700 บาท
    ค่าใช้จ่ายอื่นๆ                                                    3,300 บาท/ตลอด 3 วัน

     

    By : Namee Be Bear
    #เที่ยวให้มีความสุขและสุขกับสิ่งที่ทำ

     

    ขออภัยหากมีข้อมูลส่วนใดผิดพลาดไป และก็ขอโทษด้วยหากทำให้เมื่อยนิ้วในการเลื่อนดู
    ขอฝากเพจน้องใหม่ของเจ้าของรีวิวด้วยนะจ๊ะ ถ้าชอบให้กดไลน์ ถ้าถูกใจช่วยกดแชร์

     

    Fanpage : https://www.facebook.com/KanXengStudio/
    แหล่งที่มาของข้อมูล : http://park.dnp.go.th/visitor/nationparkshow.php?PTA_CODE=9114 

    • Posts-5
    Namee •  September 13, 2017