เที่ยวสบายๆ 2 วัน 1 คืน กับความประทับใจไม่รู้ลืม ที่กาญจนบุรี

หากจะบอกว่าทริปนี้ไปแต่ตัว ทัวร์ยกแก๊งค์ก็คงไม่ผิดนัก เพราะเป็นทริปที่ผมไม่ต้องวางแผนโปรแกรมการท่องเที่ยวใดๆ เลย เรียกว่าจ่ายเงินค่าทริปอย่างเดียวเป็นอันจบ ทริปนี้มีจุดหมายปลายทางที่จังหวัดกาญจนบุรี มีสมาชิกร่วมเดินทางทั้งสิ้น 35 คน

จุดหมายแรกอยู่ที่วัดทิพย์สุคนธาราม ในเขตอำเภอห้วยกระเจา ครับ

จุดเด่นของวัดทิพย์สุคนธาราม อยู่ที่พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ พระมหาปฏิมาแห่งประจิมทิศพระสำริดปางขอฝนที่สูงที่สุดในเมืองไทย ที่สูงถึง 32 เมตร น้ำหนักสำริดรวมกันประมาณ 65 ตัน ผิวสำริดหนาเพียง  5 มิลลิเมตร มีจำนวนเม็ดพระศก 350 เม็ด ด้วยพุทธานุภาพจะช่วยดลบันดาลให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล โดยพระนามของพระพุทธรูปนั้นมีความหมาย 3 ประการ คือ เป็นพระพุทธรูปซึ่งเป็นที่พึ่งของประชาชนชาวไทยและชาวโลก เป็นพระพุทธรูปซึ่งเป็นที่พึ่งของสามโลก ได้แก่ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และยมโลก และเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพระพุทธรูปแห่งบามียัน ประเทศอัฟกานิสถานครับ

บรรยากาศภายในวัดทิพย์สุคนธารามออกแบบให้เป็นสวนป่าพุทธอุทยาน มีทั้งอาคารนิทรรศการ “อนุสรณ์แห่งการเรียนรู้”  และนิทรรศการกลางแจ้งที่แสดงสัญลักษณ์และเหตุการณ์สำคัญในพระพุทธประวัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้เป็นสวนป่าที่รวบรวมพรรณไม้ในพระพุทธศาสนาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งเลยครับ

ช่วงเวลาที่เหมาะกับการมาเที่ยวชมที่นี่ ผมแนะนำให้มาช่วงเช้าๆ หรือจะเป็นช่วงแดดร่มลมตกจะดีที่สุดครับ เพราะช่วงสายๆ จนถึงบ่ายแก่ๆ แดดแรงมาก อาจจะทำให้เที่ยวชมได้ไม่ทั่วทั้งบริเวณ ด้านในมีลานจอดรถค่อนข้างกว้าง แต่อาจจะไกลจากองค์พระไปสักนิด แต่ไม่ต้องกังวล เพราะทางวัดมีบริการรถรางพาไปยังจุดสำคัญๆ (มีค่าบริการ) และอีกหนึ่งสิ่งที่ผมประทับใจที่นี่มากๆ คือ การต้อนรับของเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถราง หรือเจ้าหน้าที่ที่คอยจัดระเบียบการจอดรถ พูดจาดีมากๆ ถึงแม้ว่าแดดจะร้อนสักแค่ไหน แต่เจ้าหน้าที่ก็พร้อมจะให้บริการเป็นอย่างมากครับ

โปรแกรมต่อไป เราจะไปนั่งรถไฟกันครับ ออกจากวัดทิพย์สุคนธาราม ผมมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรี เพื่อไปยังสะพานข้ามแม่น้ำแคว สะพานประวัติศาสตร์แห่งนี้นับเป็นพระเอกของจังหวัดกาญจนบุรีครับ

สะพานข้ามแม่น้ำแควถือเป็นสะพานที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟสายมรณะ สร้างขึ้นโดยกองทัพญี่ปุ่น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยทหารญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดา และนิวซีแลนด์ กว่า 61,700 คน รวมถึงกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู ไทย พม่า อินเดีย จำนวนมากมาก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ที่เป็นเส้นทางผ่านไปยังพม่า ซึ่งทางรถไฟช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างทางรถไฟและสะพานแห่งนี้เต็มไปด้วยความยากลำบากหลายอย่าง ทั้งความทารุณของสงคราม โรคภัยไข้เจ็บ การขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกหลายหมื่นคนต้องมาเสียชีวิตลง

มากาญจนบุรีแล้วไม่มาเที่ยวที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว ถือว่ามาไม่ถึงเมืองกาญจนบุรีนะครับ

ทางจังหวัดกาญจนบุรีได้อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว โดยจัดเตรียมลานจอดรถขนาดใหญ่ไว้ให้ จากลานจอดรถเดินไปสะพานข้ามแม่น้ำแควไม่ไกลเลยครับ ประมาณ 2-3 นาทีเท่านั้นเอง และโดยรอบของลานจอดรถมีร้านค้าที่ขายของดีของเด่นของเมืองกาญจนบุรีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพลอยสีต่างๆ เสื้อ รวมถึงของฝากอย่างวุ้นเส้น และอื่นๆ อีกมากมายครับ

ทริปนี้ผมมีโปรแกรมได้นั่งรถไฟ เพื่อไปสัมผัสกับเส้นทางรถไฟสายมรณะด้วย จากสะพานข้ามแม่น้ำแควผมมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟกาญจนบุรี เพราะผู้จัดได้จองตั๋วรถไฟตู้พิเศษ (เนื่องจากต้องการให้ทั้งคณะได้นั่งตู้เดียวกัน) เนื่องจากความพิเศษ ค่าโดยสารเลยแพงเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน (ค่าโดยสารราคา 100 บาท) โดยตู้พิเศษนี้จะรอต่อขบวนกับรถไฟธรรมดา ที่มาจากสถานีธนบุรี รถไฟจะออกจากสถานีกาญจนบุรีเวลาประมาณ 10.35 น. (หากไม่มีการ delay)  จากนั้นจะจอดรับผู้โดยสารที่สถานีสะพานแควใหญ่ (จุดชมสะพานข้ามแม่น้ำแคว) และแล่นผ่านสะพานประวัติศาสตร์ โดยคณะของผมจะไปลงที่สถานีสะพานถ้ำกระแซ รวมเวลานั่งรถไฟทั้งหมดประมาณหนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาที (แต่ถ้าหากใครไม่ได้มาเป็นหมู่คณะ สามารถตีตั๋วขึ้นรถไฟตู้ธรรมดาได้นะครับ โดยจะเสียค่าโดยสาร 12 บาท) อ้อ.. แนะนำว่าตอนที่ขึ้นรถไฟให้เลือกที่นั่งฝั่งที่มองเห็นตัวสถานีรถไฟกาญจนบุรีนะครับ เพราะฝั่งนี้ เวลาที่ถึงช่วงโค้งมรณะ จะมองเห็นแม่น้ำแควน้อย อีกฝั่งจะเห็นแต่หน้าผาครับ

จุดไฮไลท์ของรถไฟขบวนนี้ เห็นจะมี 2 จุด คือช่วงสะพานข้ามแม่น้ำแคว และอีกจุดคือช่วงโค้งมรณะ (ก่อนที่จะถึงสถานีสะพานถ้ำกระแซ) ช่วงที่เป็นโค้งมรณะจะเป็นสะพานที่สร้างลัดเลาะไปตามเชิงผาที่สูงชัน เลียบแม่น้ำแควน้อย ความยาวประมาณ 400 เมตร รถไฟจะค่อยๆ แล่นให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับบรรยากาศให้นานที่สุดครับ ว่ากันว่าทางรถไฟช่วงนี้เป็นช่วงที่สร้างยากที่สุดช่วงหนึ่ง เป็นสะพานที่ข้ามเหวลึกที่ยาวที่สุดของเส้นทางรถไฟสายนี้ และเชลยศึกต้องมาเสียชีวิตที่จุดนี้มากที่สุด คือประมาณ 1,000 กว่าคนเลยทีเดียว นับว่าสะพานจุดนี้สร้างเสร็จในเวลาอันรวดเร็วมาก นักโทษ เชลยศึกได้ทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำจากคำสั่งของผู้คุมนักโทษชาวญี่ปุ่นครับ

ช่วงที่ผมโดยสารไปกับขบวนรถไฟขบวนนี้ ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่พลัดตกจากรถไฟ แต่โชคยังดีที่รถไฟกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่โค้งมรณะ ทำให้นักท่องเที่ยวท่านนี้ตกจากรถไฟลงสู่พื้นด้วยความสูงประมาณ 10 เมตร ดีที่ไม่พลัดตกตอนที่รถไฟอยู่ท่ามกลางเหวลึก ไม่อย่างนั้นนักท่องเที่ยวท่านนี้คงถึงแก่ชีวิตเป็นแน่ๆ ยังไงก็ฝากเตือนผู้ที่ชอบเซลฟี่ ถ่ายรูปบนรถไฟด้วยนะครับว่าอย่าประมาท อย่าอยากได้ภาพสวยจนลืมความปลอดภัยของตัวเองไป พ่อค้าบนรถไฟบอกว่า บริเวณนี้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ ครับ

จากสถานีสะพานถ้ำกระแซ เราออกเดินทางกันต่อสู่ อ.ไทรโยค ระหว่างทางแวะทานอาหารที่ร้านเรณู ร้านจะอยู่ก่อนถึงน้ำตกไทรโยคน้อยประมาณ 100 เมตรครับ

เมื่อไปถึงร้าน อาหารได้ถูกจัดเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร้านเรณูเป็นร้านอาหารตามสั่ง ถึงแม้กับข้าวจะดูหน้าตาบ้านๆ แต่เรื่องรสชาติ ขอบอกเลยว่าอร่อยดีทีเดียว ขนาดอาหารบางเมนูได้ทำเตรียมไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่รสชาติอาหารไม่ได้จืดชืดตามไปเลย ที่เด็ดเห็นจะเป็นไก่ผัดพริก ที่รวมความจัดจ้านในเรื่องความเผ็ดและความกลมกล่อมของรสชาติได้ดีทีเดียว ตามมาด้วยปลาทับทิมทอดน้ำปลา ต้มยำปลาคัง ซดน้ำแล้วรู้สึกว่าโล่งคอเลย ตามมาด้วยซี่โครงหมูอบสับปะรด รสชาติจะออกหวานแต่มีการตัดเปรี้ยวเล็กน้อยด้วยสับปะรด อีกเมนูที่อยากแนะนำนั่นคือ ผัดผักปลังที่ทานคู่กับน้ำพริกกะปิ อร่อยมากๆ ปิดท้ายด้วยไข่เจียวครับ

หลังอิ่มท้อง แวะเดินเล่นที่น้ำตกไทรโยคน้อยกันสักพักครับ

จากน้ำตกไทรโยคน้อย นั่งรถต่อไปอีกประมาณ 38 กม. ก็มาถึงที่พักของผมแล้ว คืนนี้ผมเข้าพักที่วังนกแก้ว พาร์ค วิว ครับ  

วังนกแก้ว พาร์ค วิว เปิดให้บริการมากว่า 10 ปีแล้วครับ รีสอร์ทตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและสายน้ำ แควน้อย บริเวณ Lobby จะแยกออกจากส่วนของที่พักอย่างชัดเจน พื้นที่ Lobby ออกแบบอย่างเรียบง่าย สูงโปร่ง และมีจุดให้แขกได้นั่งพักผ่อนระหว่างรอการ Check in/Check out ครับ

ห้องที่ผมเข้าพักเป็นแบบ Standard Raft บรรยากาศดีทีเดียวครับ

ห้อง Standard Raft มีทั้งแบบ Double bed และ Twin bed พื้นที่ภายในห้องพักกำลังพอดี ดูไม่อึดอัด ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว ในส่วนของห้องน้ำแยกส่วนอาบน้ำ (แบบฝักบัว) และห้องสุขาออกจากกันอย่างชัดเจน โดยมีอ่างล้างหน้าอยู่บริเวณกึ่งกลาง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกประกอบด้วย เครื่องปรับอากาศ ไดร์เป่าผม เครื่องทำน้ำอุ่น ร่ม น้ำดื่ม 2 ขวด Free wifi (สัญญาณแรงมาก) ปลั๊กไฟมีให้ 2 จุดคือบริเวณหัวนอน และอ่างล้างหน้า ในห้องพักไม่มีตู้เย็นและโทรทัศน์นะครับ

ไปดูห้องแบบ Twin bed กันบ้าง การออกแบบในห้องเหมือน Double bed ทั้งหมด แตกต่างที่เตียงแยกเท่านั้น ทุกห้องมีเปลญวนผูกไว้ที่หน้าห้อง รวมถึงเสื้อชูชีพจะแขวนไว้ที่หน้าห้องพักเลยครับ และที่พิเศษไปกว่านั้น แต่ละห้องจะมีเตียงไม้ให้แขกได้นอนเอนหลังบริเวณหน้าห้องพักด้วย เรียกว่าได้สัมผัสกับสายน้ำแบบใกล้ชิดมากๆ ครับ

บริเวณนี้คือ River Bar ซึ่งเป็นจุดรวมพลของผู้ที่ต้องการทำกิจกรรมที่ทางรีสอร์ทได้จัดเตรียมไว้ให้ฟรี นั่นคือการล่องแพกระโดดน้ำลอยคอ โดยจะมีทั้งหมด 3 รอบ คือรอบ 09.00 น., 16.00 น. และ 17.00 น ใช้เวลารอบละ 1 ชั่วโมงครับ

แพจะเป็นแพโล่งๆ มีโครงหลังคาไว้คอยบังแดดบังฝน บนแพจะมีเก้าอี้พลาสติกให้แขกได้นั่ง  มีห้องน้ำ มีเสื้อชูชีพเตรียมไว้ให้พร้อม มาตรฐานแพปลอดภัยเลยทีเดียว แพจะมาจอดรับส่งแขกที่ River Bar ครับ  

หลังจากเก็บข้าวของเข้าห้องเรียบร้อย มีเวลาพักผ่อนยืดเส้นยืดสาย เปลี่ยนเสื้อผ้ากันสักนิด ก็ถึงเวลาได้ออกไปทำกิจกรรมร่วมกันแล้ว คณะของผมได้ร่วมกิจกรรมในรอบ 17.00 น. เรือจะลากแพทวนกระแสน้ำขึ้นไป เมื่อถึงจุดหนึ่งจะกลับลำ และจะปล่อยให้แขกได้กระโดดน้ำลอยคอตามกระแสน้ำมาเรื่อยๆ ผ่านหน้าที่พัก และแพจะไปจอดรอรับอยู่ที่ด้านท้ายน้ำ ห่างจากที่พักสักประมาณ 4-500 เมตรได้ครับ

หากใครไม่อยากลอยคอ ผมแนะนำว่าให้ขึ้นไปนั่งกินลมชมวิวบนแพก็ได้ครับ ช่วงเวลา 17.00 น. เป็นช่วงที่แดดร่มลมตกพอดี บรรยากาศสองข้างลำน้ำก็สดชื่นดีจริงๆ นับว่าเป็นกิจกรรมที่เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับทุกคนได้เป็นอย่างดีครับ

ผมไม่ได้ลอยคอ แต่รอคอยมื้อค่ำ ช่วงระหว่างที่รอสมาชิกอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็เลยขอเดินสำรวจรอบๆ บริเวณที่พักกันสักหน่อยครับ

ที่ River Bar มีเปลตาข่ายแบบนี้ด้วยน๊า..

ช่วงพลบค่ำ บรรยากาศของ River Bar สุดๆ ไปเลย เหมาะกับการมานั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ฟังดนตรีเบาๆ เคล้าไปกับเสียงสายน้ำมากๆ ครับ

บริเวณ Lobby ครับ

สระว่ายน้ำส่วนกลางครับ

บรรยากาศภายในห้องอาหารครับ มื้อค่ำให้บริการตั้งแต่เวลา 19.00 – 21.30 น. เป็น Buffet มีอาหารให้เลือกประมาณ 7-8 อย่าง อาหารจะมาเติมอยู่เรื่อยๆ วันที่ผมเข้าพักมีแขกมาใช้บริการเยอะมาก ผมมาถึงห้องอาหารช้าไปหน่อย ปรากฏว่ามีแขกมาใช้บริการกันค่อนข้างเยอะแล้ว เลยไม่ทันได้ถ่ายอาหารตอนที่ยังเต็มๆ อยู่ เพราะแขกทยอยมาตักอาหารกันแบบไม่ขาดสาย รสชาติอาหารจัดว่าดีเลยทีเดียว ถูกปากคนไทยแน่นอนครับ

คืนนี้ได้นอนฟังเสียงสายน้ำทั้งคืน ดังจนนึกว่าฝนตก!!! หากใครกังวลว่ามานอนแพแล้วจะนอนไม่หลับ เพราะแพอาจจะโยกไปตามกระแสน้ำ ขอบอกเลยว่าแพที่นี่นิ่งมากๆ ครับ คือถ้าไม่ได้ยินเสียงสายน้ำ จะไม่รู้สึกว่านอนอยู่บนแพเลย

ช่วงพลบค่ำว่าบรรยากาศดีแล้ว ช่วงเช้าตรู่ดีกว่าเป็นไหนๆ เปิดประตูห้องพักออกมา สายหมอกก็เข้ามาทักทายทันที

อากาศเย็นสบาย ดูชุ่มฉ่ำมากๆ

กำไรของคนตื่นเช้า ได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ชุ่มปอดก่อนใครๆ

แทบทุกส่วนในรีสอร์ท ถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกบางๆ ผมเลยขอเดินสำรวจที่พัก พร้อมสัมผัสหมอกไปพลางๆ ห้องพักที่เห็นคือ Bungalow Garden View ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนเขียวครับ

Deluxe Pool Access หันหน้าเข้าสู่แม่น้ำแควน้อย สระว่ายน้ำส่วนนี้จะใหญ่กว่าสระว่ายน้ำส่วนกลางครับ

Villa Raft จะอยู่ติดกับโซน Standard Raft ครับ มีเรือคายัคให้ห้องละ 1 ลำด้วย

สระว่ายน้ำส่วนกลาง (ที่ผมถ่ายให้ดูเมื่อช่วงค่ำ) จะอยู่ใกล้ห้องอาหารครับ

ด้านข้าง Lobby จะเป็น Wangnokkaew Café ให้บริการทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็นครับ

มีบริการรถจักรยานด้านหน้า Lobby ด้วยครับ

อาหารเช้าให้บริการตั้งแต่เวลา 06.30 – 10.00 น. เช้านี้ผมเลยแวะมาถ่ายภาพห้องอาหารซะก่อน ก่อนที่แขกจะเริ่มทยอยมาใช้บริการ

อาหารเช้ามีทั้งข้าวต้ม แฮม ไส้กรอก ไข่ดาว ผัดซีอิ้ว สลัด ขนมปัง ผลไม้ และกาแฟครับ

โดยรวมแล้วที่พักที่วังนกแก้ว พาร์ค วิว ถือว่าโอเคมากๆ เลย บรรยากาศดี มีกิจกรรมให้ทำร่วมกัน ราคาห้องพักจะรวมเป็น Package ซึ่งประกอบด้วย ห้องพัก 1 คืน (เข้าพักได้ 2 คน) รวมอาหารเช้าและเย็นแบบ Buffet และกิจกรรมล่องแพครับ อย่างห้อง Standard Raft แบบที่ผมเข้าพัก ถ้าหากเข้าพักวันเสาร์ ราคาคืนละ 3,000 บาท แต่ถ้าเข้าพักวันอื่นๆ ที่ไม่ใช่วันเสาร์ ราคาก็จะถูกลงมาอีก ต้องบอกเลยว่าที่นี่เหมาะกับการเข้าพักแบบหมู่คณะ/กลุ่มเพื่อนฝูง หรือจะมาเป็นครอบครัวก็ดี จะมาเป็นคู่ก็ไม่ผิดกติกาครับ ทริปนี้ เพื่อนร่วมทริปประทับใจกันมากๆ ต่างบอกว่าถ้ามีโอกาสคงจะได้กลับมาพักผ่อนที่นี่อีกแน่นอน

จากอำเภอไทรโยค มุ่งหน้าสู่อำเภอเมืองกาญจนบุรีอีกครั้ง มื้อเที่ยงนี้คณะมาฝากท้องที่คีรีมันตรา ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าและขุนเขา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “คีรีมันตรา” ที่แปลว่า เสน่ห์แห่งขุนเขา แอบกระซิบหน่อยว่า ลูกค้าเยอะมากครับ

ภายในร้านจะแบ่งเป็น 3 อาคาร โดยอาคารหลังที่ 1 และ 2 จะเป็นที่นั่งในร่มและมีลานระเบียงใต้ร่มไม้ใหญ่ ส่วนอาคารที่ 3 จะเป็นห้องจัดเลี้ยง และอีกจุดหนึ่งที่จะลืมพูดถึงไม่ได้นั่นคือห้องน้ำ (ติดแอร์) ที่ได้ยกน้ำตกจำลองขนาดใหญ่พร้อมไม้น้ำมาไว้ในห้องน้ำ คือเข้าห้องน้ำไปแล้ว ไม่อยากจะออกมาด้านนอกเลยครับ เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องน้ำจะเย็นสดชื่นกว่าบรรยากาศด้านนอกเสียอีก 555

มื้อนี้ทางผู้จัดได้เตรียมยำคะน้าทะเล ลาบทอด ผัดผักรวมมิตร ปลานิลสามรส น้ำพริกธารา (น้ำพริกปลาแห้ง) ต้มโคล้งกระดูกอ่อน และแกงอะไรอีกสักอย่างนี่แหล่ะครับ หน้าตาอาหารดูดี รสชาติใช้ได้ แต่ละเมนูเสิร์ฟมาในจานค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียวครับ

บรรยากาศโดยรอบ มองเห็นสนามหญ้าสีเขียวในอ้อมกอดของขุนเขา มาช่วงกลางวันแดดเปรี้ยงๆ แบบนี้ บอกเลยว่าแสบตัวมากๆ ผมว่าที่นี่เหมาะกับมานั่งชิลล์กินบรรยากาศช่วงเย็นๆ คงจะโรแมนติกน่าดู

ติดกับคีรีมันตรา เป็นที่ตั้งของ The Village Farm to Café ร้านกาแฟที่มาใน Concept โรงนา การตกแต่งของร้านเป็นการจำลองโรงนาในฟาร์ม 5 หลังสร้างติดกันครับ ผมเองไม่ได้เข้าไปสำรวจด้านใน เพราะลูกค้าแน่นมากครับ

ไม่ได้จิบเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ The Village Farm to Café ก็ไม่เป็นไร เพราะผมจะไปจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ที่มีนาคาเฟ่ อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่เมื่อมาเมืองกาญจนบุรีแล้วต้องห้ามพลาดครับ

ผมมาที่มีนาคาเฟ่เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกมาไม่ถูกช่วงเวลา นาข้าวได้ถูกเกี่ยวไปหมดแล้ว บรรยากาศในวันนั้นดูแห้งแล้ง ผมแอบเปลี่ยนชื่อ “มีนา” เป็น “มีตอ” แทน มาหนนี้เลยขอเปลี่ยนชื่อจาก มีตอที่เคยแอบตั้งชื่อให้ใหม่ เป็น มีนา ตามชื่อร้านเดิม เพราะบรรยากาศโดยรอบ ณ วันที่ผมไปมันดูเขียวขจี มีนาคาเฟ่ ดูเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างเยอะเหมือนกัน มีการตกแต่งส่วนต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือ จำนวนของลูกค้าที่ยังคงแน่นร้านอยู่เหมือนเดิม แถมรอบนี้มีชาวพม่าในชุดพื้นเมืองกว่า 50 คน มาสร้างสีสันบนสะพานไม้กันอย่างคึกคักด้วยครับ

ถึงแม้ว่าผมจะมาเที่ยวกาญจนบุรีมากกว่าสิบครั้งแล้วก็ตาม แต่การมากาญจนบุรีครั้งนี้กลับสร้างความสุข ความสนุกให้กับผมเป็นอย่างมาก การได้มาทำกิจกรรมร่วมกันเป็นหมู่คณะ ได้มาทานอาหารอร่อยๆ ร่วมกัน ได้มาซึมซับกับบรรยากาศดีๆ ร่วมกัน มาเที่ยวที่ถูกที่ถูกเวลา ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความประทับใจต่อทริปนั้นๆ อย่างไม่รู้ลืม หากใครกำลังมองหาที่พักดีๆ ท่ามกลางธรรมชาติริมน้ำ ได้มาเล่นน้ำลอยคอ ได้มาเปิดประสบการณ์การนั่งรถไฟในเส้นทางสายประวัติศาสตร์ ผมขอแนะนำให้ปักหมุดที่นี่เลยครับ...กาญจนบุรี

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ