ราชบุรี 1 วันผจญภัย ที่ไม่ใช่แค่ท่องเที่ยว

         ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวอย่างเรา เริ่มมองหาสถานที่สำหรับชมทะเลหมอกสวยๆ ในตอนแรกก็คิดว่า ไปภูทับเบิกดีไหม แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบอะไรที่สงบๆ เลยมองหาสถานที่ที่เหมาะกับสไตล์เรา
ค้นไปค้นมา ไปเจอ "ห้วยคอกหมู" เห็นว่าอยู่สวนผึ้ง ใกล้ๆกรุงเทพนี่เอง เลยเริ่ม มองหาข้อมูล แต่ด้วยใจที่อยากจะไปเต็มที่เลยคิดว่า เอาวะ ลองไปดูซะหน่อยอย่างน้อยๆก็น่าจะมีทะเลหมอกสวยๆให้เราได้ดูเลยชวนเพื่อน แต่ก็ไม่ค่อยจะมีใครว่างแต่ยังดี ที่มีเพื่อนซี้ ยุคนนึง เห็นมันบอกช่วงนี้ชีวิตมันว่างงงงงงงงงงง เลยชวนทันที ไม่รีรอ

          สำหรับการเดินทางครั้งนี้ ก็วางแผนกันไว้ว่า จะไปดูทะเลหมอกตอนเช้าที่ห้วยคอกหมู และก็ไล่เที่ยวกลับมาตามทางกลับกรุงเทพเลย ถ้าจะไปให้ถึงตอนเช้า ก็เลยนัดกันไว้ ตีสาม เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพ (ตลอดทางก็พบกับความมืดเลยไม่ได้ถ่ายรูป รีวิวตอนไปนะครับ แต่เก็บภาพระหว่างทางที่กลับมาประกอบให้ครับ)

การเดินทาง ก็วิ่งตรงจากกรุงเทพไปยัง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี พอถึง อ.สวนผึ้ง ไปทาง ต.ตะนาวศรี หลังจากนั้นก็ขับตรงไปตามทางอย่างเดียวเลยครับ จะพบกับป้ายบอกทางขึ้นจุดชมวิว ห้วยคอกหมู ทางด้านขวามือ

แล้วเราก็ขับไปตามทางเลยครับ เห็นว่าเป็นทางลาดยาง กำลังคิดเลยว่า ทริปนี่น่าจะสบายๆนะ ทางดีด้วย
แต่แล้ว...ฝันนั้นก็สลายไปในพริบตา (เพลงนี้ดังขึ้นพร้อมกับ สิ้นสุดทางลาดยาง)

แต่ทางแค่นี้ ก็คิดว่าไม่เท่าไหร่หรอก ขนาดปิล็อคเรายังเคยขับขึ้นไปมาแล้ว แค่ทางลูกรังเอง (รถที่ขับไป เป็นกระบะธรรมดา ไม่ได้ยกสูง และไม่ได้เป็ฯ 4wd ครับ) ขับไปได้ซักระยะนึง เจอกับเนินที่มีลักษณะชันมาก ประกอบกับ เมื่อวานนี้ มีฝนตก ทำให้ทางออกจะลื่นดินไม่แน่น

ครั้งแรก ลองพยายามขึ้นไปสองครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ เลยคิดว่า ลองวนรถกลับไปถามคนแถวนี้ดูหน่อยว่ามีทางอื่นขึ้นไปไหม หลังจากวนลงไป เวลาประมาณ 5.30 มันช่างดูเงียบมาก แต่โชคยังเข้าข้าง พบชาวบ้านเลยเข้าไปถาม ได้ความว่า "อ่อ มีทางเดียวนี่แหละ แต่ถ้าขับพ้นตรงนั้นไปได้ ก็ขึ้นได้จนสุดแล้ว" ระหว่างทางเพื่อนก็บอกว่า ถ้าขึ้นไม่ได้ จะเดินไหม ไหนๆก็มาแล้ว (เพื่อนผมมันเป็นผญ.นะครับ) ก็เลยตอบไปว่า ลองดูก่อนละกัน

พอขุับไปถึง ก็มีพี่ ตชด. ขับรถมอเตอร์ไซด์ ผ่านมา พี่เค้าบอก ผ่านตรงนี้ไปได้ ข้างบนก็ขับสบายแล้ว (พูดเหมือนคนเมื่อกี้เป๊ะเลย)

ก็ลองอยู่ประมาณ 4 ครั้ง ก็ยังไม่ได้ เริ่มถอดใจละครับ เลยบอกเพื่อน "เอ้ย ลงไปก่อนดิ๊ เผื่อรถมันจะเบาขึ้น" เพื่อนผมก็ซื่อครับ ลงอีก 5555+ ทีนี้เลยถอยไปตั้งหลักไกลมาก แล้วก็เร่งสุดพลัง ฟิ้วววววววว ขึ้นได้เฉยเลย รู้สึกว่า เกร็งทั้งคนขับ ทั้งคนลุ้นเลย ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชม. สำหรับเนินนี้ อยากจะตั้งชื่อมันว่า "เนินอุสาหะ" ซะจิงๆเลย

แล้วเราก็เริ่มไปตามทาง ระว่างทางก็เจอ ทางออกจะลำบากนิดหน่อยครับ เพราะทางน่าจะโดนน้ำเซาะเป็นร่องเลย (แต่ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า กำลังจะปรับปรุงทางให้ดีขึ้นอีกครับ)

แล้วเราก็เริ่มไปตามทาง ระว่างทางก็เจอ ทางออกจะลำบากนิดหน่อยครับ (แต่ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า กำลังจะปรับปรุงทางให้ดีขึ้นอีกครับ)

ขับมาเรื่อยๆ ก็จะพบจุดพักรถชมวิว จุดแรก แต่เราไม่ได้พักอะไรมากครับ เพราะเวลานั้น ก็หกโมงกว่าแล้ว กำลังลุ้นอยู่ว่า จะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นไหม

และในเวลาไม่นาน เราก็มาถึง จุดชมวิว ห้วยคอกหมูแล้ว........ ความรู้สึกมันสุดยอดมาก (คงเพราะ ผ่านอุปสรรถที่แสนจะลำบากเลย)

เวลาประมาณ 6.30 แม้ท้องฟ้าจะไม่เปิด แต่อากาศก็ดี และไม่มีฝนตก อาจจะมีลงเม็ดปอยๆ ก็เป็นตามธรรมชาติของสภาพอากาศในป่า ครับ

พบกับ ไกด์ของเรามาต้อนรับก่อนใครเลยทีเดียวเชียว ที่นี่ก็มีร้านขายของชำเล็กๆไว้คอยบริการ มีน้ำ ขนมนิดๆหน่อย รู้สึกว่าจะขายอาหารด้วยนะครับ ไม่ลำบากอย่างที่คิด แถมราคา ก็ไม่แพงด้วย 

บรรยากาศก็มี หมอก หมอก และหมอก อากาศก็เย็นสบายเลยครับ แค่เจออากาศ แบบนี้ก็คุ้มสุดๆเลย

ลานจอด ฮ. ก็เป็นจุดชมวิว ที่สวยงามอีกจุดนึง

ส่วนเพื่อนผม พอลงรถได้ ก็ไม่รอช้า ขึ้นไปยืนบนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

แต่จะมีจุดชมวิว อีกจุดนึง เดินต่อไปอีกประมาณ 200 เมตร จากตรงที่ไกด์เรานั่งอยู่

มาแล้วก็ใช้งานให้คุ้มหน่อย จับเป็นเด็กแบกขาตั้งกล้อง

ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า สามารถมากางเต้นท์นอนได้นะครับ (คราวหน้า ไม่พลาดแน่นอน)
มีที่ให้นั่งชมวิว สบายๆ หลายจุดเลย ห้องน้ำ

ห้องน้ำ ห้องท่า

เดินมาถึงแล้ว จุดชมวิว ห้วยคอกหมู สูดอากาศให้เต็มปอด แล้วเก็บภาพบรรยากาศมาฝากครับ ชมกันเลยย

ทิ้งท้ายอีกสัก 2 รูป พร้อมบอกลา พนักงานต้อนรับของเรา

 

หลังจาก นั่งรับบรรยากาศสุดฟิน ชมวิวสุดสวยแล้ว 9.00 ก็ได้เวลา เดินทางลงจากห้วยคอกหมู ไปยังจุดมุ่งหมายต่อไปที่อยู่ใกล้ๆกัน ธารน้ำร้อนบ่อคลึง ลงมาคุนเพื่อนอยากได้ของฝากติดไม้ติดมือ ซะหน่อย พอมาถึงด้านล่างก็พบกับ ร้านขายของฝากทันที

ระหว่างทางก็มีป้ายบอก ธารน้ำร้อนบ่อคลึง จะไปเส้นทางเดียวกับ น้ำตกเก้าชั้น หรือน้ำตกเก้าโจน อยู่ใกล้ๆ เลยคิดไว้ว่า เป็น จุดหมายที่ 3 สำหรับ น้ำตกเก้าชั้น

ระหว่างทาง มีวิวสวยๆให้ชมตลอดทางนะครับ แถมยังทำช่องทางสำหรับจักรยาน ไว้รอนักปั่นที่ชอบผจญภัยอีกด้วย

แปบเดียว ก็มาถึง แล้ว ธารน้ำร้อนบ่อคลึง ถูกค้นพบโดย นายประยูร โมนยะกุล ค้นพบเมื่อ ปี พ.ศ. 2468 น้ำที่ขึ้นมาจากต้นธารอุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส น้ำร้อนที่นี่ไม่มีกลิ่นฉุน ไม่มีแร่ธาตุที่ระคายเคือง ใสสะอาด ค่าบริการก็ไม่แพงมาก ค่าเข้าชม และแช่เท้า 10 บาท ถ้าจะลงแช่ทั้งตัว
ถ้าเป็นบ่อดิน ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 10 บาท บ่อที่เป็นกระเบื้อง ก็ ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 30 บาท บ่อธารน้ำร้อนที่นี่ก็ลักษณะแบบเรียบง่าย นะครับ เลยแวะ แช่เท้า พร้อมกับ เติมพลังหาอาหารรับประทานกันซะหน่อย

หนุ่มน้อยคนนี้ เตรียมพร้อมตั้งแต่ลงจากรถเลย...

บ่อแช่เท้า

เดินขึ้นไปชมกันซักหน่อย แค่ 150 ม.เอง แต่ว่าลำธารด้านบนนี้ ห้ามลงไปแช่นะครับ เพราะว่าเป็นต้นน้ำที่ชาวบ้านใช้อุปโภค กัน

อารมณ์สุขกาย สบายใจเหมือนน้องแมวตัวนี้เลยครับ

พอพักหายเหนื่อย และกินกันจนอิ่มท้องแล้ว เราก็พร้อมที่จะไปลุยกันต่อที่ น้ำตกเก้าชั้น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ธารน้ำร้อนมากนัก

สำหรับน้ำตกเก้าชั้น จะมีที่จอดรถด้านนอก แต่ถ้าขับรถเข้าไปจอดตรงใกล้ๆกับ ทางขึ้นน้ำตก ก็เสียคันละ 30 บาทสำหรับรถยนต์ ซึ่งความจริง จอดด้านนอกก็ไม่ไกลเลยนะ

น้ำตกจากหน้าผาสูงกลางหุบเขา ชื่อของน้ำตกแห่งนี้เดิมที่นั้น เรียกว่า น้ำตกเก้าโจน ซึ่งมาจากคำว่า เก้ากระโจน อาจเป็นเพราะมีน้ำตกอยู่ จำนวน 9 ชั้น  จึงเปรียบเทียบกับคำว่ากระโจนของน้ำลงมาจากหน้าผา  แต่นักท่องเที่ยวที่รู้จักและมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น เกิดการเข้าใจผิดทางความหมายและตัวสะกด จึงกลายเป็น เก้าโจร ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนกับแหล่งซ่องสุมของโจรผู้ร้ายและดูน่าสะพึงกลัวสำหรับ ผู้ที่จะมาท่องเที่ยว ดังนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็น น้ำตกเก้าชั้น แทน

แต่ละชั้นก็มีความสวยงามแตกต่างกันไป ข้อดีของน้ำตกเก้าชั้นอีกอย่างนึงคือ ทางเดินทำไว้ดีครับ เดินขึ้นง่ายดี สะดวกครับ

แต่อย่างที่บอกไว้ครับ ว่านี่ ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว แต่มันคือการผจญภัยครับ แท๊น แทน แท้นนนนน

รองเท้าขาดตรงชั้นที่ 3 ว่าจะลงไปซื้อที่ข้างล่าง ก็นะกลัวจะไปไม่ถึงชั้นที่เก้า ก็เลยจัด เท้าเปล่า ไปซะเลย เป็นการเดินขึ้นน้ำตกที่สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง T T เพราะเรามาแล้ว เราก็ต้องไปให้ถึงชั้นเก้าสิครับ มาชมภาพบรรยากาศกันเลยครับ

หน่อไม้ใช่ไหม ???

นั่งพักก่อนแปบนึง เด๋วลุยกันต่อ (ไม่ได้เหนื่อยหรอกครับ เริ่มรู้สึกเหมือนเท้าจะพอง)

เริ่มเห็นแล้ว น้ำตกชั้นที่ 9

ถึงแล้วครับ ชั้นเก้า น้ำตกจากหน้าผา สวยงามครับ แต่ถ้าเป็นช่วงที่น้ำเยอะกว่านี้ น่าจะสวยกว่านี้อีกครับ

ระยะเวลาที่เราใช้เดินขึ้น - ลง น้ำตกเก้าชั้นนี่ ประมาณ 1 ชม.ครับ ระหว่างทางที่เดินก็เจอคนที่มาเที่ยวอยู่พอสมควรครับ แต่พอมาชั้นบนๆ ออกจะมีมุมสงบๆเยอะครับ แต่รู้สึกว่า จะอนุญาติให้นำอาหารขึ้นไปทานได้ แต่ให้นำขึ้นได้ไม่เกินชั้นที่ หกครับ (ถ้าจำไม่ผิดนะ ^^) และทางเจ้าหน้าที่ ยังมีการเขียนป้ายให้กำลังใจ นักท่องเที่ยวระหว่างทางเป็นระยะ ด้วยนะครับ
         หลังจากลงมาจากน้ำตกเก้าชั้นแล้ว ก็หาซื้อรองเท้าใส่ มุ่งหน้าไปที่ ถ้ำจอมพลต่อครับ เป็นที่เที่ยวทางผ่านก่อนกลับกรุงเทพ
          ถ้ำจอมพล ตั้งอยู่ที่ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง ในบริเวณสวนรุกชาติจอมพล ติดกับมหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง ในอดีตมีพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ทรงประพาสและทอดพระเนตรถ้ำจอมพลนี้เริ่ม ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ ๙  และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามกุฏราชกุมาร
         พอมาถึงเราก็จะพบกับ พลพรรคลิงจำนวนมาก ที่จะมีผู้คน นำอาหารมาให้ ต้องขับรถด้วยความระมัดระวังนิดนึงครับ  มีการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าชมถ้ำจอมพล ผู้ใหญ่ 10 บาท เด็ก 5 บาท

ภายในถ้ำ ก็จะมีหินงอก หินย้อย ให้ชมกันด้วยครับ อากาศภายในถ้ำ เย็นสบายครับ ไม่ร้อนอบอ้าว และมีค้างคาวอยู่ด้วยนะ

ทางจะค่อนข้างมืดนะครับ ต้องใช้ความระมัดระวังกันหน่อย

บรรดาหินงอก หินย้อยภายในถ้ำ

ภาพบรรยากาศภายในถ้ำจอมพล

มีลำแสงส่องลงมาจากด้านบนของถ้ำ

แสงจะส่องลงมาตรงพระพุทธรูปพอดีอยู่ในช่วงเวลา 13.15 น. และจะสวยมากในช่วงเดือน เมษายนและเดือนสิงหาคมของทุกปี แต่เรามาถึง ก็ปาเข้าไป บ่ายสามโมงแล้วครับ ก็เลยไหว้พระขอพรกันซะหน่อย ก่อนที่จะเดินทางกลับ
       เราออกจากถ้ำเวลาประมาณ สามโมงครึ่ง ตอนแรกกะว่าจะมุ่งหน้าตรงกลับกรุงเทพเลยครับ แต่ระหว่างทาง เห็นป้าย ถ้ำเขาบิน แล้วเพื่อนถามว่า มันเป็นยังไง มีอะไรหรอ ดังนั้น ก็ไม่รอช้า แวะเข้าไปชมถ้ำเขาบินกันต่อ

ค่าเข้าชมถ้ำเขาบิน คนละ 20 บาทครับ ภายในถ้ำ มีหินงอกหินย้อย ให้ตื่นตาตื่นใจกันเลยครับ และมีการประดับไฟส่องให้สวยงาม ที่นี่จะแบ่งออกเป็น 8 ห้อง ภายในถ้ำจะค่อนข้างร้อนนิดหน่อย แต่ถ้าลงไปแล้ว ร้อนแค่ไหนก็ยอมล่ะครับ เรามาชมกันเลยดีกว่า ว่าจะสวยงามแค่ไหน

หลังจากเยี่ยมชมถ้ำเขาบิน เป็นรู้สึกจะเป็นทีมสุดท้ายที่เข้าไป เพราะ ถ้ำเขาบิน ปิดเวลา 17.00 น. ก็ได้เวลากลับกรุงเทพกันแล้วล่ะครับ ถือว่าทริปนี้ได้สนุกสนาน ผจญภัยกันเต็มที่เลยทีเดียว คุ้มค่าสุดๆ สำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยวชมธรรมชาติ กับราชบุรี ที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพนิดเดียวครับ ใช้เวลาเที่ยวไปเช้าเย็นกลับก็ยังได้ครับ