Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
เมื่อ 5 สาว ลากกระเป๋า ต๊ะต่อนยอน เมืองน่าน อำเภอปัว จังหวัดน่าน จ.น่าน
    • Posts-1
    Sarida •  November 15 , 2017

    จากเมืองกรุงสู่"ปัว"

     

    สวัสดีค่ะ กลับมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง  กับเมมโมรี่การท่องเที่ยวของเรา

    จริงๆทริปนี้ เป็นทริปก่อนที่เราจะได้ไปโรดทริป "แม่ฮ่องสอน"ค่ะ

    แต่ทริปนี้เรียกได้ว่าเป็นทริปของสาวๆค่ะ โดยจุดเริ่มต้นของทริปนี้  มาจากตั๋วโปร 0 บาท เมื่อปีที่แล้ว

    งานนี้เราจองตั๋วเครื่องบินกันข้ามปีกันเลยล่ะค่ะ 
    ทริปนี้ เป็นเพียง ทริปสั้นๆ 3 วัน 2 คืน "ปัว-เมืองน่าน" นะคะ

    ครั้งนี้ไปเเล้วก็แอบรู้สึกเสียดายอยู่นิดๆ ว่ายังได้เที่ยวไม่ครบ

    ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับไปเก็บอีกหลายๆที่สำหรับจังหวัด"น่าน"ค่ะ

    เริ่มต้นการเดินทาง ด้วยไฟท์เช้าสุด พร้อมกับฝนโปรยปรายเล็กน้อย 

    ใช้เวลาแค่ชม.นิดๆ เราก็มาถึงท่าอากาศยานน่านนครกันแล้วล่ะค่ะ

     ความสนุกของทริปนี้อยู่ที่ นี่เป็นครั้งแรกของเรา ที่เที่ยวแบบเช่ารถ และทั้งหมดคือสาวๆค่ะ แม้จะเห็นหนึ่งหนุ่ม ก็ให้คิดว่าเป็นสาวล่ะกันนะคะ และในทุกๆวันของทริปนี้ เรามีธีมค่ะ 

    สมกับเป็นทริปเที่ยวของชะนีน้อยกันซะจริงๆ 5555

    หลังจากติดต่อเช่ารถที่สนามบินเรียบร้อย ก็ออกเดินทางกันได้เลยค่ะ

         เริ่มต้นทริปนี้ พวกเราขอฝากท้องด้วยเมนู "ข้าวซอย" และ"ขนมจีนน้ำเงี้ยว"กับร้านเก่าแก่ของเมืองน่านอย่าง        "ร้านวันดา" ร้านบ้านๆที่มีอาหารหลากหลาย  กับราคาที่ใครๆก็กินได้ค่ะ ส่วนใครที่กลัวไม่อิ่มท้อง อยากจะจัดข้าวลงท้องท้องก่อนไปเที่ยวต่อ ที่นี่ก็มีข้าวแกงให้เลือกหลายอย่างเลยล่ะค่ะ  

    อิ่มท้องก็ไปกันต่อค่ะ

    เราขับรถไปทาง"ปัว" เพราะที่พักของเราในคืนแรกอยู่ที่นั้นค่ะ แต่ก่อนจะถึงที่พัก เราก็แวะ ที่นี่กันก่อน

    "หอศิลป์ริมน่าน"   

    หอแสดงศิลปะที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน เพื่อนร่วมทริปที่ไปด้วยกันในครั้งนี้ อาจไม่ค่อยอินกับผลงานศิลปะ

    แต่เราก็ใช้เวลาอยู่ที่นี่ เดินชม ถ่ายรูปกันไปซักระยะอยู่เหมือนกัน

    ทริปนี้ก็จะเต็มไปด้วยรูปกรุ๊ปช็อตแบบนี้แหละค่ะ ^^

    จากหอศิลป์เรามุ่งหน้าไปต่อ กับร้านกาแฟที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่าง

    "ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ"

    ร้านกาแฟ ที่อยู่ติดกับร้านลำดวนผ้าทอ ที่ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์ค

    สำหรับใครที่จะมาเที่ยวน่านต่างก็ต้องมาเช็คอิน

    ช่วงที่พวกเราไปทุ่งนา เขียวได้ที่เลยล่ะค่ะ 

    แม้แดดจะแรงอยู่บ้าง แต่นั่งรับลม จิบกาแฟกันไป ถ่ายรูปกันไป อากาศที่ร้อนก็หายไปทันที

    กลายเป็นนั่งไปนั่งมาจะหลับกันเลยทีเดียว

     


    ชื่นชมวิว พร้อมความชิลล์ไปได้ซักพัก ก็ถึงเวลาหาอะไรลงท้องกันอีกแล้วค่ะ

    เราขับมุ่งสู่ "ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ" กับสารพัดเมนูเห็ด ที่สาวๆอย่างเรา สั่งกันมาเต็มโต๊ะ แม้จะมีคนบอกว่ายังไม่หิวก็ตาม แต่พออาหารจัดเต็ม เพียงไม่กี่อึดใจก็หมดเกลี้ยงค่ะ ^^

    หนึ่งเมนูเด็ดของที่นี่ "พิซซ่าเห็ด" กินตอนร้อนๆ ชีสยืดๆ ฟินมากจ้าาา

    หลากหลายเมนู ที่งานนี้พวกเรา ไม่ขอข้าว กินแต่กับกันล้วนๆ

    ที่"ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ" มีส่วนที่เปิดเป็นโฮมสเตย์ด้วยนะคะ แถมยังใกล้กับ "วังศิลาแลง" สถานที่เที่ยวที่ได้สมญานามว่า แกรนด์แคนยอนเมืองน่าน แต่น่าเสียดายด้วยเวลาของพวกเรา หลังจากกินเสร็จก็บ่ายมากแล้ว

    กลัวว่าจะไปถึงที่พักมืด เลยไม่ได้เดินไปชมวังศิลาแลงกันเลย

    พออิ่มท้องกันแล้ว เราก็ขับรถไปต่อ มุ่งหน้าเข้าสู่ที่พักของเราในคืนแรกกันค่ะ 

    คืนแรกที่"อ.ปัว" ของพวกเรา นอนที่นี่กันค่ะ โฮมสเตย์ชื่อดัง ที่เชื่อว่าหลายคนเมื่อหาที่พักในปัว ต้องโทรถามเป็นที่แรกๆ กับบ้านพัก ที่สามารถมองเห็นทุ่งนาสีเขียวได้โดยรอบ 

    แต่พวกเราพักที่นี่ แบบฉีกแนวค่ะ 5555 

    เพราะจองไม่ทัน ในส่วนของที่พักในฝันของหลายๆคน

    แม้จะเลือกไปวันธรรมดา ต้นเดือนกันยาแล้วก็ตาม

    จริงๆแล้วที่โฮมสเตย์ตานงค์ มีที่พัก2โซนนะคะ 

    คือ"โซนทุ่งนา" ที่หลายคนคุ้นเคย และ "โซนไผ่โอบ" ที่อยู่บนเชิงเขา แต่ยังสามารถมองเห็นทุ่งนาได้ และอยู่ห่างจากอีกโซนประมาน700 เมตร สามารถขับรถไปที่พัก โซนไผ่โอบได้ค่ะ 

     

     

    นี่คือโซนทุ่งนา ที่เราจองไม่ทันค่ะ

    ถึงจะไม่ได้พักโซนนี้ แต่เราสามารถมาเดินเล่น ถ่ายรูปได้ตามปกติค่ะ 

    และมื้อเย็นของโฮมสเตย์ตานงค์ ก็ต้องมาทานในโซนนี้เช่นกันค่ะ

    ถ่ายรูปเล่น นั่งชิลล์กันไปพักใหญ่ อาหารมื้อเย็นแบบชุดขันโตกก็ถูกเตรียมไว้ให้พวกเราได้ฝากท้องกันแล้วชุดขันโตก ที่เต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านแบบชาวเหนือ อย่างไส้อั่ว ลาบคั่ว น้ำพริกหนุ่ม ไข่ต้ม และ แกงฮังเล

    ในมื้อที่จ่ายกันแค่หัวล่ะ 130 บาท ก็กินกันแทบไม่หมดเลยล่ะค่ะ

    แต่รับรองว่าอร่อยทุกอย่าง จนเติมข้าวกันไปหลายรอบ

     

     

    • Posts-2
    Sarida •  November 19 , 2017

    เช้าวันที่ 2 ณ อำเภอ ปัว

    แม้เช้ามาของพวกเราจะไม่ได้ตื่นออกจากห้อง แล้วเจอรวงข้าวสีเขียวกลางทุ่งนา ตามที่ใครหลายคนเคยไปพักที่           "โฮมสเตย์ตานงค์" แต่วิวจากห้องของเรา ที่อยู่บนสันเขาเตี้ยๆ ก็ไม่แพ้ใครค่ะ อากาศยามเช้าพร้อมสายหมอกเอื่อยๆ ในช่วงต้นเดือนกันยายน ถือว่าห้องพักของเราครบเครื่องเลยทีเดียว

    วิวจากโซนที่พักของเราค่ะ

    บ้านที่เราพักเป็นบ้านที่มี 2 ห้อง ติดกัน โซนนี้เลยมีแค่พวกเรา 5 คน  เหมาะกับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัวมากๆค่ะ 

     

    "ดอกไม้พร้อมหยาดน้ำค้างยามเช้า"

    ตื่นเช้า แต่งตัว เตรียมไปเที่ยวต่อ พวกเราก็ขอหาอะไรรองท้องกันซักนิด ที่โฮมสเตย์ จะมีอาหารเช้าง่ายๆ อย่างข้าวต้มไว้ให้สำหรับแขกค่ะ ชา กาแฟ ก็สามารถชงเองได้เลยเช่นกัน

    หรือใครอยากจะให้อาหารปลาในบ่อระหว่างรออาหารเช้า ก็ทำได้ค่ะ

    อิ่มแล้วก็ขอเดินย่อย ก่อนไปเที่ยวต่อค่ะ 

    วันที่สองของพวกเราเน้นเที่ยววัดค่ะ พวกเราไม่ได้ขับรถต่อไปทางบ่อเกลือ

    แต่ใช้เส้นทางย้อนกลับมาทางอ.ท่าวังผา เพื่อเข้าเมืองค่ะ

    ด้วยระยะเวลา 3 วัน 2 คืน เราเลยอยากเก็บที่เที่ยวในส่วนของตัวเมืองให้ได้มากที่สุดค่ะ

     

    ที่แรกของพวกเราเริ่มต้นกันที่  "วัดภูเก็ต"

    หนึ่งในวัดที่เป็นไฮไลท์สำหรับอ.ปัว  ด้วยวิวทุ่งนาที่มองเห็นจากตัววัด

    ยิ่งช่วงนาข้าวเขียวขจีขนาดนี้ มีหรือที่พวกเราจะไม่ถ่ายรูป ^^

    ไหว้พระเสร็จ ก็ขอไปเดินเล่นกันซักหน่อยค่ะ

     

    ใช้เวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติ ตามเเบบฉบับสาวชาวกรุง ที่นานๆทีจะได้เห็นต้นข้าวแบบสุดลูกหูลูกตา

    ทำเอาพวกเราเพลิน ถ่ายรูปกันรั่วๆเลยค่ะ

     

    "วัดหนองบัว"

    คือที่ต่อมาของพวกเรา  เป็นวัดที่หลายๆคนอาจมองข้ามไปค่ะ

    แต่วัดแห่งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ ในอ.ท่าวังผา

    และภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดก็มีความใกล้เคียงกับวัดภูมินทร์ด้วยค่ะ

    จิตรกรรมฝาผนังที่บอกเล่าเรื่องราวและชีวิตของผู้คนในสมัยก่อน

    ด้านหลังของวัดยังมีส่วนที่จำลองชีวิตการเป็นอยู่ของชาวบ้านไว้ให้ชมด้วยค่ะ

    ที่ต่อไปของเรา

    พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดน่านอย่าง

    "วัดพระธาตุแช่แห้ง"

    "วัดพระธาตุแช่แห้ง" ถือเป็นวัดประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีเถาะ

    แต่สาวๆปีมะเมียและมะแม เมื่อมาถึงน่านแล้วก็ขอไหว้พระ เพื่อเป็นสิริมงคลของชีวิตเหมือนกันค่ะ

     

    ที่ต่อมา

    "วัดพระธาตุเขาน้อย"

    วัดพระธาตุเขาน้อย เป็นวัดที่สามารถมองเห็นวิวของตัวเมืองน่านได้โดยรอบ 

    เพราะตัววัดอยู่บนเขาค่ะ แต่รถสามารถขึ้นไปได้ถึงตัวพระธาตุเลยนะคะ

    แม้ทางขึ้นอาจจะชันซักนิด แต่ใช้ความระมัดระวังในการขับก็ขึ้นมาได้อย่างสบายๆค่ะ

    วิวจากพระธาตุเขาน้อย

    หลังจากตะลอนกันมาเกือบหมดวัน 

    มื้อรวบยอดของพวกเรา เที่ยง+เย็น เราฝากท้องไว้ที่ร้าน "เฮือนเจ้านาง"ค่ะ

    แต่ด้วยความหิวโซกันมาก จึงไม่ได้เก็บภาพมาซักเท่าไร

    แต่รับรองเรื่องรสชาติอาหาร ว่าอร่อยแบบชาวเหนือแท้ๆเลยค่ะ

    ภาพเดียวของอาหารที่ถ่ายได้จากร้าน "เฮือนเจ้านาง"

    อร่อยจนหมดในพริบตา 5555

    ก่อนหมดวัน เรามีโอกาสได้ไปเดินเล่นแถวถนนคนเดินกันค่ะ

    โดยทุกวันศุกร์-อาทิตย์ บริเวณถนนด้านข้างวัดภูมินทร์จะปิดในช่วงเย็น เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อทั้งของกินของฝาก เรียกได้ว่าทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้าน ต่างก้พากันมาเดินค่ะ แม้ถนนคนเดินที่น่านจะไม่ได้ใหญ่มาก แต่บรรยากาศก็คึกคักไม่ใช่เล่นค่ะ

    เลือกซื้ออาหาร แล้วมานั่งทาน หน้าวัดภูมินทร์ได้เลยค่ะ 

    ที่สุดท้ายของวัน ก่อนเข้าที่พักของเรา ก็คือ "วัดมิ่งเมือง"ค่ะ

    วัดมิ่งเมือง เป็นที่ประดิษฐานของเสาหลักเมืองน่าน อยู่ไม่ไกลจากวัดภูมินทร์ค่ะ ในช่วงค่ำ ที่วัดเปิดไฟ แสงไฟที่กระทบอุโบสถสีขาวทั้งหลัง ทำให้วัดดูสวยงาม เด่นเป็นสง่าเป็นที่สุดค่ะ 

     

     

    • Posts-3
    Sarida •  November 30 , 2017

     

    "คุ้มเมืองมินทร์" คือที่พักของเราในค่ำคืนที่2 ที่ผ่านมาค่ะ

    คุ้มเมืองมินทร์เป็นอีกหนึ่งที่พักน่ารักๆ ที่อยู่กลางเมืองน่านค่ะ 

    เวลาพักในเมืองหลายครั้ง เราอาจจะกังวลกับเรื่องที่จอดรถ แต่ที่นี่ มีที่จอดรถอยู่ตรงข้ามโฮเทลเลยค่ะ

    หากใครอยากปั่นจักรยานชมเมือง ที่นี่ก็มีบริการฟรีเช่นกัน แต่ไม่ได้หลายคันมากนะคะ ถ้าไปไม่เจอจักรยานก็อาจต้องรอกันหน่อยน๊อ ภายในห้องมีทั้งแบบเตียงเดี่ยว และเตียงคู่ สอบถามกับที่พักกันดูอีกทีนะคะ 

    และราคาที่พักที่นี่ รวมอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์นะคะ ไม่ต้องกลัวหิวยามเช้ากันเลยค่ะ

     

    วันสุดท้ายใน"น่าน"

    เรายังคงเก็บจุดเช็คอินกันต่อค่ะ  โดยเริ่มต้นกันที่นี่

    "วัดภูมินทร์"

    วัดที่อยู่ใจกลางเมืองน่าน ภายในวัดมีจิตรกรรมฝาผนังชื่อดังอย่าง "ภาพปู่ม่านย่าม่าน"

    ที่ใครไปเที่ยวต้องไปชมกันค่ะ

     

    จากวัดภูมินทร์ เราเดินข้ามถนน มาต่อกันที่

    "วัดพระธาตุช้างค้ำ"

    แต่ล่ะสถานที่ในตัวเมืองน่านอยู่ไม่ไกลกันค่ะ

    สามารถขี่จักรยานชมเมืองได้เลย หรือใครสะดวกจะเดินก็ทำได้เหมือนกันค่ะ

    จากวัด"พระธาตุช้างค้ำ" ข้ามฟากมาก็จะเจออีกหนึ่งแลนด์มาร์ค ที่ทุกคนต้องมาเมื่อมาเยือนน่านค่ะ 

    กับซุ้มต้นลีลาวดี หน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน

    ก่อนจะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ฯ มาถึงแล้วก็ขอเก็บภาพคู่ซุ้มลีลาวดีกันซะหน่อย

    หลังจากเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฯออกมา ก็ใกล้เวลามื้อเที่ยงของพวกเราแล้วค่ะ

    เราฝากท้องมื้อสุดท้ายในน่านไว้ที่ร้าน "เฮือนฮอม" 

    ร้านนี้อยู่ในตัวเมือง เยื้องกับวัดมิ่งเมืองค่ะ

    และเป็นอีกมื้อที่หิว จนถ่ายรูปไม่ทันอีกตามเคยค่ะ 555

    แต่รสชาติอาหารที่น่าน ทุกร้านที่เราไปกินกันมาต้องบอกว่า.... 

    อร่อย หมดทุกร้านค่ะ ถูกใจคนชอบอาหารเหนืออย่างแน่นอน

    ปิดท้าย ที่สุดท้ายสำหรับทริปนี้กับวัดที่มีโบสถ์สีทองเด่นเป็นสง่าอย่าง

    "วัดศรีพันต้น" 

    สรุปทริปน่าน 3วัน 2 คืน

    - คืนแรก พักกันที่ "โฮมสเตย์ตานงค์" อ.ปัว ราคา1,600 บาท +ค่าขันโตก 5 คน 650 บาท ค่ะ

    - คืนที่สอง พักกันที่ "คุ้มเมืองมินทร์" 2 ห้องรวมกัน 2,380 บาท

    - ส่วนรถพวกเราเช่ารถของAVIS ที่สนามบินค่ะ  สะดวกสำหรับคนที่ไม่ได้ขับรถมาเองดีค่ะ 

    ส่วนค่ากิน+ค่าเครื่องบิน ขึ้นอยู่กับแต่ล่ะคนค่ะ ขอไม่ระบุแล้วกันน๊อ^^

    ถือเป็นทริปสั้นๆ ที่ไปแล้ว อยากกลับไปเก็บอีกหลายๆที่ในจังหวัดน่านค่ะ 

    ถ้ามีโอกาสไปอีกจะกลับมาเล่าให้อ่านอย่างแน่นอน

    แล้วพบกันใหม่ทริปหน้าค่ะ

    ^^