[[บันทึกเฟิร์นเดินทาง]]

"....เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว ความเหงาก็เริ่มเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างกาย และจะยังคงอยู่เหมือนเดิมแบบนี้ตลอดไป...."

หลังจากการนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่สิ้นสุดลง การดำเนินชีวิตใหม่ๆ ก็กำลังเริ่มขึ้น สิ่งที่เลวร้ายในปีที่ผ่านมา ก็ได้ถูกทำลายลง และค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ ก็คือความสุข...และความเหงา ที่ยังคอยอยู่เคียงข้างเสมอ

 

การไปเที่ยว "อุทยานแห่งชาติพุเตย" เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ จะว่าไม่ตั้งใจ ก็คงไม่ใช่แน่ เหตุเกิดเพราะอยู่ดีๆ ตัวเองก็นึกอยากจะหาที่ถ่ายรูปเล่นสวยๆ สักที่หนึ่ง ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก คิดอยู่นานสองนานก็คิดไม่ออก และดูเหมือนว่าความตั้งใจครั้งนี้ จะดับลง ข้อความสวรรค์จากเพื่อนก้อยที่น่ารัก บอกกับเราตอน 6 โมงเย็นของวันที่ 1 มกราคมว่า...

เฟิร์น : อยากถ่ายรูปทุ่งหญ้า ดอกหญ้าอะ ที่ไหนมีบ้าง

ก้อย : กุไม่รู้ค่ะ 5555

ก้อย : มาค้างสุพรรณปะละ เดี๋ยวพาไปพุเตย

เฟิร์น : เอาจริงนะ ไปจริงจริงเลยนะ

และแล้ว,,,ทริปนี้ก็ได้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน มีเวลาเตรียมตัวแค่ไม่กี่ชั่วโมง ในการรีบหาอ่านรีวิว เก็บกระเป๋าเสื้อผ้า เตรียมอุปกรณ์ และที่ขาดไม่ได้คือเตรียมกล้องถ่ายรูป พร้อมกับพลังงานที่เต็มเปี่ยม

หลังจากอ่านรีวิวอยู่นาน สิ่งหนึ่งที่เรากังวล ว่าจะไม่ได้ขึ้้นไปบนอุทยาน ก็คือ "ยานพาหนะ" เพราะทุกเสียงรีวิว ต่างพูดกันว่า ทางขึ้นไปกางเต็นท์ที่ "ตะเพินคี่" ซึ่งเป็น Signature ของอุทยานนี้ จะต้องบุกป่า ฝ่าดง ฝ่าพายุฝุ่น ดินแดง ถนนที่มีหลุม และขรุขระมาก จนต้องใช้รถกระบะยกสูง หรือ รถ 4WD ในการเดินทางขึ้นไปเท่านั้น แต่นั่น ก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจของเราหมดลง ในใจได้แต่คิดว่า "เอาวะ...เสี่ยงดูสักตั้ง ขับรถเก๋งไปนี่แหละ เดี๋ยวก็หาทางไปได้เอง"

เช้าวันรุ่งขึ้นของการเดินทาง เรารีบตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อขับรถไปรับผู้ร่วมชะตากรรมที่อำเภออู่ทอง เพื่อเดินทางไปถ่ายรูป และกางเต็นท์นอนในป่ากับเราในครั้งนี้ น้องก้อยผู้น่ารัก หรือน่าสงสารมากในทริปนี้ ยินยอมตบปากรับคำเป็นอย่างดี ว่าเจ้าถิ่นจะพาไปลิ้มลองรสชาติของธรรมชาติเอง และขอลากน้องชายไปเป็นเพื่อนด้วยอีกหนึ่งคน ชื่อว่าน้องกลด ดูเหมือนว่าทริปนี้เริ่มลงตัว

แต่ อุปสรรคแรกกำลังเกิดขึ้น แต่ ไม่ได้เกิดจากพวกเรา แต่เกิดจากญาติๆ ของน้องก้อย ซึ่งเป็นคนท้องที่ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ไม่ต้องไปหรอก ไม่มีอะไร มานอนค้างที่บ้านดีกว่า ข้างบนมันอันตรายนะ รถเก๋งขึ้นไม่ได้หรอก อยู่เที่ยวในเมืองกันนี่แหละ มีดาวเหมือนกัน อากาศเย็นเหมือนกัน" และดูเหมือนว่า คำพูดเหล่านั้นเกือบเป็นผล ไม่มีใ่ครอินกับทริปเราเลย เค้าคงไม่เข้าใจวิถี Hipster สินะ ที่เข้าไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ สูดกลิ่นไอของความยากลำบาก จนเปลี่ยนแปลงเป็นความสนุก แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่า ญาติๆ น้องก้อย จะเห็นดีเห็นงามกับการไปเผชิญโลกธรรมชาติในครั้งนี้

เราเริ่มกระวนกระวายใจ เพราะความตั้งใจขึ้นไปพุเตยครั้งนี้ มีเกิน 100% จะมาล่มตอนนี้ เราเองคงเสียใจมากๆ เลยตัดสินใจ โทรไปที่อุทยาน ถามเจ้าหน้าที่ จนได้ความว่า รถเก่งขึ้นได้นะ แต่ให้ขับอ้อมไปทางด่านช้าง ผ่านอำเภอหนองปรือ อำเภอองค์พระ อ้อมกว่าทางหลักประมาณ 50 กิโล แต่ถนนลาดยางอย่างดี ขับไปถึงอุทยานแน่นอน เพราะเหตุนี้ เราจึงได้รีบไปบอกญาติๆ น้องก้อย ว่าเราจะไปนะ จะนอนค้างที่นั่น ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะรถขึ้นได้ การไปเที่ยวของเราครั้งนี้ ก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ เวลา 2.30 pm

การขับรถกินลมชมวิวไปของพวกเราสามคน ดูเหมือนว่าจะราบรื่น จนกระทั่งเห็นป้ายอุทยานฯ เราดีใจมาก รีบให้น้องก้อยถ่ายรูปป้ายอุทยานให้หน่อย ว่าในที่สุด "พวกเราก็มาถึงจนได้นะ"


รีบหาที่จอดรถ เตรียมขนของ และไปติดต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อซื้อบัตรเข้าอุทยาน แต่แล้วสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเจ้าหน้าที่อุทยานบอกว่า รถเก๋งที่ขึ้นมาได้ ต้องจอดรถตรงนี้ ถ้าจะขึ้นตะเพินคี่ ต้องใช้รถกระบะเท่านั้น วินาทีนั้น เหมือนฟ้าผ่าลงมาตรงหน้า หมดแรงที่จะทำอะไร พูดอะไรไม่ออก ในหัวตอนนั้น คิดอยู่อย่างเดียว "คงต้องถอย"

หันไปปรึกษากับผู้ร่วมทริป ว่าเอายังไงดี หรือจะนอนกางเต็นท์ที่นี่เลยไหม แต่อุตส่าห์ขับมาถึงตรงนี้แล้ว จะไม่ขึ้นไปจริงๆ เหรอ แต่รถเก๋งขึ้นไปไม่ได้นะ กระวนกระวายใจอยู่นานสองนาน จนพี่เจ้าหน้าที่แนะนำว่า เช่ารถไหม คิด 2,000 บาท เดี๋ยวให้รถขึ้นไปรับ-ส่ง จะได้มาไม่เสียเที่ยว ณ ตอนนั้น ด้วยความงก จึงคิดว่า ทำไมจะต้องมาเสียเงินมากมาย เพื่อแลกกับธรรมชาติข้างบน ซึ่งไม่รู้ว่าวันนี้ จะสวยสมคำร่ำลือหรือเปล่า?? สุดท้าย เราเลือกที่จะปฏิเสธเจ้าหน้าที่ว่า ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ไปแล้ว เดี๋ยวกลับเลย

แต่แล้วววว...โชคชะตา ฟ้าลิขิต มีพี่ผู้หญิงคนนึง มารู้ชื่อทีหลังว่าพี่ออ มาสอบถามข้อมูลที่จะขึ้นไปเที่ยวข้างบน แต่ดูเหมือนพี่ออ และครอบครัว เกือบถอดใจจะไม่ไปเหมือนกัน หันไปถามเจ้าหน้าที่ว่า D-Max คันนี้ไปได้ไหม เจ้าหน้าที่บอกว่า "สบายมาก" เราเลยตัดสินใจ เอาวะ!! ด้านได้ อายอด!! เดินเข้าไปหาพี่ออ ไปบรัฟพี่เค้าว่า เราอ่านรีวิวมานะ ตะเพินคี่ที่อยู่ข้างบนสวยมาก พวกเราอยากไปกันมาก แต่เอารถเก๋งมา คงไม่ได้ไปแน่ๆ เลย แต่ถ้าพี่จะขึ้นไปเที่ยว พวกหนูสามคน ขอติดรถท้ายกระบะขึ้นไปด้วย แล้วเดี๋ยวพวกหนูช่วยแชร์ค่าน้ำมัน

พี่ออหายไปปรึกษากับสามีว่าจะขึ้นไปดีไหม พวกเราสามคนยืนลุ้นกัน ในที่สุด คำตอบของพี่ออ ทำให้พวกเราดีใจมาก พวกเราได้ขึ้นไปเที่ยวแล้ว เลยไม่รีรอที่จะรีบขนของทุกสิ่งอย่าง และปีนขึ้นท้ายกระบะอย่างรวดเร็ว....

ระหว่างที่ขึ้้นไปตะเพินคี่ มีถนนลาดยางให้เราอุ่นใจว่าไม่ลำบากเพียงแค่สิบกว่ากิโลเท่านั้น แต่ความยากลำบากจริงๆ กำลังจะเริ่มต้นในอีกไม่ช้า พวกเราสามคนได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ว่าจะต้องเจอกับวิบาก ที่มาหน้าแล้งมีแต่พายุฝุ่น พวกเราก็จัดแจง เอาผ้าพันคอ พันหน้า คลุมหัว จนแทบจำหน้าตัวเองกันไม่ได้ 

วิวสองข้างทางเต็มไปด้วยฝุ่นแดง ที่คละคลุ้งจนเราหายใจกันไม่ได้ แต่ก็อดทนอดกลั้น ทั้งเวียนหัว ทั้งเจ็บก้น รถกระแทกไปมา จนตัวและหัวสั่นดิ๊กๆ นั่งไม่ติดพื้นกันเลยทีเดียว นั่งบ่นกันว่า เมื่อไหร่จะถึง จะตายอยู่แล้ว เป็นระยะทาง "ยี่สิบกว่ากิโลเมตร" ที่ทรมานมาก กว่าเราจะขึ้นไปถึงจุดกางเต็นท์ที่ตะเพินคี่ เราใช้เวลานั่งท้ายรถกระบะ และสูดฝุ่นไปทั้งหมด 1.30 ชั่วโมง

เมื่อเราก้าวขาลงจากรถ มองไปรอบๆ พวกเรายิ้มกันไม่หุบ อิ่มเอิบกับธรรมชาติ ที่สวยงาม และอากาศดีเป็นอย่างมาก จนลืมเหนื่อยจากการนั่งรถมานาน เรารีบจัดแจงหาที่ จับจองเพื่อกางเต็นท์ สำหรับการพักผ่อน และการดูดาวในค่ำคืนนี้

พวกเราสามคนขึ้นมาเที่ยวกันด้วยใจจริงๆ ,มีแค่เต็นท์หนึ่งหลัง ผ้าห่มผืนบางๆ เสื้อผ้าคนละ 2 ชุดเท่านั้น ไม่มีแม้แต่อุปกรณ์ทำอาหาร มีเพียงมาม่ากระป๋องเพียงคนละ 1 กระป๋อง และน้ำเปล่าเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น แต่ด้วยความที่โชคเข้าข้าง บนตะเพินคี่ มีร้านขายอาหาร ของชนเผ่ากระเหรี่ยง ให้เราได้กินข้าวไข่เจียว และส้มตำปูปลาร้า ทำให้พวกเราอิ่มไปหนึ่งมื้อ

ทุ่งหญ้า ไร่ข้าวโพดสีทอง ภูเขาสีเขียวชอุ่ม รายล้อมรอบๆ ตัวเรา จนมองไปทางไหน ก็เห็นแต่ธรรมชาติที่สวยงาม อดไม่ได้ ที่จะยืนเชยชม อมยื้มให้กับธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้า และสูดหายใจรับความสดชื่นให้เต็มปอด ละทิ้งความเหน็ดเหนื่อย จนลืมไปเลยว่า กว่าจะได้มายืนอยู่ตรงนี้ พวกเราลำบากกันแค่ไหน อยู่ในที่ที่ไม่มี Internet ตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ ณ ตอนนั้น พวกเราไม่ได้ใส่ใจ ละทิ้งเรื่องราวต่างๆ และสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อย่างไม่ละสายตา

หลังจากที่พักผ่อนกันเต็มที่แล้ว ก่อนพระอาทิตย์จะดับลง เรารีบคว้ากล้องถ่ายรูป และถ่ายทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ทุกอย่างรอบตัวดูสวยงามไปหมด ผลัดกันถ่ายรูป น้องถ่ายให้บ้าง เราถ่ายให้บ้าง ทริปนี้เราเป็น Photographer เต็มตัว เป็นทั้งผู้กำกับการถ่ายภาพ ออกแบบภาพ และก็วิ่งเข้าไปอยู่ในเฟรมบ้าง บอกน้องว่าถ่ายแบบนี้นะ มุมนี้นะ องศานี้นะ ฮ่าๆๆ ถึงแบบจะไม่สวย แต่วิวสวย ภาพออกมาก็สมบูรณ์แบบกว่าที่ตั้งใจไว้เยอะเลย

เราถ่ายรูปกันเยอะมาก จนตะวันลับขอบฟ้า ความเงียบสงบ เกิดขึ้นพร้อมดวงดาวมากมายที่อยู่ตรงหน้า พวกเราต่างตื่นเต้น เพราะเราไม่เคยเห็นดาวมากมายขนาดนี้มาก่อน เรานอนนับดาว นอนเล่าตำนานของดวงดาว จนเรายิ้ม หัวเราะ และมีความสุขกันมากๆ เสียดาย ที่เราไม่ได้พกขาตั้งกล้องขึ้นมา เราพยายามถ่ายรูปดวงดาว แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เราเลยปลอบใจกันว่า

"ไม่เป็นไรหรอก ให้ภาพดวงดาวตรงหน้า มันอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป"

หลังจากดื่มด่ำกับธรรมชาติ กับดวงดาว และความเงียบสงบ ก็เตรียมตัวเพื่อจะเข้านอน แต่กลับเหลือบไปเห็น ผู้ชายคนนึง ที่ตั้งใจถ่ายรูปดาว อุปกรณ์ Full Option มาก ในหัวมีแผนการชั่วร้ายแผนการนึง ก็ชั้นอยากได้รูปดาวอะ กล้องตัวเองถ่ายไม่ได้ ขอรูปเค้าก็ได้ ท่าทางจะสวย เลยตัดสินใจ เดินเรียบๆ เคียงๆ เข้าไปชวนพูดคุย ก็บอกเค้าไปตรงๆ ว่าเราอยากได้รูปดาว ส่งอีเมล์มาให้เราหน่อยมั้ย ในที่สุด เราก็มีรูปดาวที่ตะเพินคี่ สมใจอยากแล้ว เฮฮฮฮ ขอบคุณคุณอาร์ตมากๆ นะคะ

ค่ำคืนนี้ ดวงดาวสวยอย่างไร้ที่ติ เสียดายที่เราไม่เห็นทางช้างเผือก แต่อย่างน้อยดวงดาวที่อยู่ตรงหน้า ก็ทำให้หัวใจของเราเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข กลิ่นไอของธรรมชาติ เสียงจิ้งหรีดเจื้อยแจ้ว ความหนาวเย็นที่โอบล้อมตัวเรา ที่มาส่งเราเข้านอน ให้เราได้หลับพักผ่อน นอนเอาแรง เพื่อตื่นเช้ามา เราจะไปปีน "ยอดเขาเทวดา" กัน

เสียงนาฬิกาปลุกดัง เรียกเราให้ตื่นขึ้นมา เพื่อไปเป็นผู้พิชิตยอดเขา เช้านี้เราได้พี่ออและพี่หนวดสามีพี่ออ พาพวกเราขับรถไปจอดที่ตีนเขา และเดินขึ้นเขาผจญภัย ไปพร้อมๆ กับพวกเราสามคน

แต่หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป 800 เมตรของเจ้าหน้าที่ ที่บอกว่าเดินแปปเดียวก็ถึง แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้า คือทางที่ลาดชันมาก เดินลำบากมาก เราไม่สามารถผ่านจุดนี้ไปได้ รู้สึกว่าเดินมานานแล้ว แต่กลับไปได้แค่ 200 เมตรเอง ขาเราเริ่มไม่สู้ เลยตัดสินใจหยุด ให้เพื่อนและพี่ๆ ขึ้นไปดู และถ่ายรูปสวยๆ มาให้เราดู

เราเดินกลับลงมาจากเขาคนเดียว ท่ามกลางความมืด และความวังเวง ตอนนั้นเดินลงมา ถือไฟฉาย สวดมนต์มาตลอดทาง ภาวนาให้เราไม่เจออะไร ใจลงไปถึงตีนเขาแล้ว แต่ขาก้าวตามมาได้ช้ามาก เราค่อยๆ กระดึ้บๆ ลงมา จนถึงข้างล่าง และอีกไม่กี่อึดใจ เรานั่งพักยังไม่ทันหายเหนื่อย ก้อยและพี่ๆ ก็เดินกลับลงมา เราถามว่าทำไมไม่ขึ้นไป เป็นเพราะทางชัน และลำบากมากนั่นเอง

"ยอดเขาเทวดา" เสียดายที่พวกเราไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปดูด้วยตาตัวเองว่าสวยงามมากขนาดไหน แต่พวกเราก็ลงมาถึงจุดกางเต็นท์ได้ทันเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นพอดี แสงสีส้มเรืองรอง เปร่งประกาย สว่างไสว เรียกเสียงฮือฮาจากนักท่องเที่ยวได้พอสมควร ความสวยงามที่อยู่ตรงหน้า ช่วยให้เราฟื้นตื่นจากความเศร้า เปลี่ยนไปเป็นความสุขอีกครั้ง 

หลังจากดื่มด่ำกับธรรมชาติกันพอสมควรแล้ว ก็ได้เวลาร่ำลา ตะเพินคี่ ของอุทยานแห่งชาติพุเตยกันแล้ว เตรียมตัวเก็บข้าวของ ทานอาหารเช้ามื้อสุดท้ายที่นี่ และได้เก็บความประทับใจกับความสวยงามของที่นี่ เป็นครั้งสุดท้าย

พี่ออและพี่หนวดผู้ใจดี

ทริปนี้สนุกมาก ขอขอบคุณก้อยและน้องกลด ที่เข้ามาเติมเต็มให้ทริปนี้สมบูรณ์ และขอขอบคุณพี่ๆ ผู้มีอุปการะคุณ ที่ให้เราติดรถขึ้นมา แถมยังทำกับข้าวให้กินอีก มิตรภาพดีๆ ที่เกิดขึ้นจากคนแปลกหน้า ความยากลำบากทั้งหมด ทำให้พวกเรารักกัน และคิดถึงกัน ถ้าไม่มีพี่ๆ บทความนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น พวกเราทั้งหมดนี้รับปากกันแล้วว่า จะต้องมารวมทริปเที่ยวกันอีกแน่นอน

สุดท้าย เราเชื่อว่า ไม่มีใครคิดว่าที่จังหวัดสุพรรณบุรี จะมีสถานที่แบบนี้ มีทั้งธรรมชาติที่สวยงาม ภูเขา ลำธาร ดวงดาว หมอก และความหนาวเย็น ที่เพียบพร้อม รอให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชื่นชมกับบรรยากาศที่นี่

ชาวคณะผู้ใจดี ที่ให้พวกเราติดรถขึ้นไปเทีน่ยวด้วย

ไม่แปลกใจเลยที่ทำให้อุทยานแห่งนี้ ถูกเรียกว่า "อุทยานที่โลกลืม" เพราะความยากลำบากในการเดินทาง ทำให้ที่แห่งนี้ มีน้อยคนนัก ที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มากมาย เพื่อขึ้นมายืนที่จุดนี้ มาเถอะค่ะ ลองมากันดู รับรองจะไม่ผิดหวัง


"อุทยานแห่งชาติพุเตย อุทยานที่โลกลืม แต่ที่นี่จะอยู่ในใจเราเสมอ" 

จนกว่าจะพบกันใหม่

BaiFern :)