Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
เที่ยวหน้าร้อน "ดอยอินทนนท์ - บ้านแม่กลางหลวง" เชียงใหม่ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ (Doi Inthanon National Park) จ.เชียงใหม่
    • Posts-1
    How About •  April 08 , 2019

    สวัสดีค่ะ กลับมารีวิวการเดินทางครั้งใหม่กับที่ที่เดิม "เชียงใหม่" เพิ่มเติมคือ "หน้าร้อน" อ่านไม่ผิดคะครั้งแรกกับการไปเที่ยวเชียงใหม่หน้าร้อนของเรา ปกติจะชอบไปปลายฝนต้นหนาว หรือไม่ก็หน้านาว แต่ครั้งนี้กดตั๋วโปร 0 บาท กับเดอะแก๊งได้ช่วงเวลา 06-10 มีนาคม 2019 บอกเลยว่า "เชียงใหม่" มาเที่ยวบ่อยจนจะเป็นบ้านหลังที่ 3 ไปแล้วนะ เพราะยิ่งมาบ่อยก็ยิ่งหลงรัก

    แพลนการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ **หนีขึ้นไปที่บนดอย ที่สูงกัน เพราะรู้ว่ามาช่วงควันไฟ"

    มาเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน บินจากภูเก็ต - เชียงใหม่ ในรอบเช้าก็จะถึงเชียงใหม่ประมาณ 10.35 ก็ออกมารอพี่จะมาส่งรถเช่า นัดกันที่สนามบินก็ได้รับรถและเก็บกระเป๋าขึ้นรถ พร้อมออกเดินทางออกจากสนามบินก็ประมาณ 11.00 ทริปนี้มี 3 สาว เดอะแก๊งที่เคยมาตะลุยดอยเชียงใหม่กันเมื่อ 3 ปีก่อน มาครั้งนี้ก็ยังตื่นเต้นเหมือนเดิม 


    เมื่อคนพร้อมรถพร้อมก็สตาร์เครื่องออกรถกัน มุ่งหน้าไปยังนิมมานกันไปหาอะไรกินมื้อเที่ยงกันก่อน

    มาตามหาร้านอาหารเหนือกันที่ "Kinlum Kindee กิ๋นลำกิ๋นดี"

    ที่ตามมาเพราะ"ปูอ่อง" นี่แหละ อยากกินมานานแล้วมาครั้งนี้ได้กินสมใจเลย ร้านนี้อร่อยมากเด้อปูอ่องนี่ไม่ได้มาเล่นๆนะโคตรของโคตรมันปูเลย

    "ปูอ่อง"

    ชุดยินดีเจ้า ไส้อั่วขมิ้น น้ำพริกหนุ่ม ไข่ต้ม ผักลวก ข้าวนึ่ง

    "แกงโฮะ"

    จิ้นส้มหมกไข่

    Kinlum Kindee - กิ๋นลำกิ๋นดี นิมมานเหมินท์ ซอย 9

    เปิดทุกวัน ตรงข้ามโรงแรม Akyra ครัวบริการ 11.00-20.30น. ร้านปิด 21.00น.

     

    ร้านสตาร์บัคส์ สาขานิมมาน ซอย 9

    โฉมคือสวยมาก ด้านในมีสองชั้นเหมือนเดิม แต่กว้างขึ้นมาก กลับมาในรูปแบบของ Experience Bar พบกับเครื่องดื่ม Nitro Cold Brew พร้อมเครื่องชงหลากหลายชนิดทั้ง Syphon, Chemex, Pour over รวมถึง Black Eagle

    มีให้เลือกทั้งโซนเอาร์ดอร์ด้านนอก บรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้ 

    มาแล้วก็ต้องลองเมนูที่แนะนำ "Nitro Cold Brew" เป็นเมนูกาแฟที่ลงตัวมากๆ ละมุนมาก

     

     

    เมืองเชียงใหม่ -----> หมู่บ้านแม่กลางหลวง อ.จอมทอง

    เดินทางออกจากเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่ อ.จอมทอง ซึ่งจุดหมายปลายทางของเราในคืนแรกก็คือ "หมู่บ้านแม่กลางหลวง" โดยออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้เส้นทางเลี่ยงเมืองสันป่าตองหางดง ถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 57 ซึ่งอยู่ก่อนถึงตัวอำเภอจอมทอง ประมาณ 1 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวามือเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 สายจอมทอง-อินทนนท์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 30 นาที

    เมื่อถึงสามแยกไฟแดงจอมทอง-ดอยอินทนนท์ ก็เลี้ยวขวาขับตรงขึ้น มาถึงด่านตรวจจุดที่ 1 อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ (กม.8) ชำระค่าธรรมเนียมเพื่อเข้าท่องเที่ยวอุทยาน

    หมู่บ้านแม่กลางหลวง (ดอยอินทนนท์ กม.26) ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง " ปกาเกอะญอ "ที่อยู่ในบริเวณพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ดอยอินทนนท์ มาในช่วงมีนาคมเป็นหน้าร้อนกันแล้วแต่ที่หมู่บ้านแม่กลางหลวงอากาศดีเย็นสบายมาก ซึ่งแม้ว่าไม่ได้เห็นความสวยงามของฤดูทำนาขั้นบันได แต่ก็มีความสวยงามในฤดูที่แตกต่าง

    ขับรถเข้ามาในหมู่บ้านก็ขับตรงขึ้นไปยังร้าน "กาแฟสมศักดิ์ โถ่บิเบ" บริเวณนั้นจะมีที่จอดรถและคล้ายเป็นจุดนัดพบของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ เมื่อเดินเข้ามายังในร้านก็จะได้กลิ่นกาแฟที่หอมลอยแตะจมูกภาพที่จะ เจอซุ้มที่นั่งล้อมกาดำๆที่ตั้งบนไฟก่อด้วยไม้ฟืน ซึ่งเป็นการต้มกาแฟด้วยกาน้ำ ง่ายๆ แล้วก็จะมีพี่ๆ ลุงสมศักดิ์ พูดเชื้อเชิญการต้อนรับให้เรานั่งอย่างกระตือรือร้น ตามด้วยกาแฟสักแก้วก่อนไหม? น้ำกำลังเดือด กาแฟพร้อมเสิรฟ

    มุมเสวนาระหว่างนักท่องเที่ยวกับชาวบ้านแม่กลางหลวง มิตรภาพที่เกิดจากการให้ กาแฟหนึ่งแก้ว

    เข้ามาที่นี่เพราะจะมารับกุญแจที่พักได้จองไว้ก่อนล่วงหน้า "อินทนนท์ คีรีมายาแม่กลางหลวง" ของลุงสมศักดิ์นั้นเอง มาในช่วงหน้าร้อนราคาที่พักก็จะถูกลงหน่อยนะเพราะไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว

    กาแฟสดที่นี่ยังเป็นกาแฟบดแบบเก่าๆดูคลาสสิก แต่ขอบอกว่าเข้มข้นหอมกรุ่นกาแฟแท้สดจากต้นมากๆ

    มิตรภาพแห่งขุนเขา กับกาแฟหนึ่งแก้ว

    ที่พักคืนนี้ "บ้านปลายฝัน" เป็นชื่อบ้านพักในแต่ละหลัง หลังนี้จะอยู่ไม่ไกลจากร้านกาแฟของลุงสัมศักดิ์ อยู่บริเวณด้านหลังซึ่งมีทางเนินชันขึ้นไป ก็จะเจอต้นกาแฟที่ปลูกไว้ระหว่างก่อนจะถึงบ้านพัก

    มาถึงแล้ว "บ้านปลายฝัน" ที่พักทั้งสองคืนมาอยู่บ้านแม่กลางหลวง เดินขึ้นมาจากทางเนินและชันพอสมควรเมื่อถึงทางแยกบ้านพักจะอยู่ขวามือก็เจอบ้านไม้ที่ยกสูงแบบมีใต้ถุนอยู่ประมาณ 3 หลังโดยมีต้นลำไย ต้นกาแฟ ล้อมรอบบริเวณกันเลย แต่ละหลังก็จะมีชื่อบ้านพักติดอยู่ด้านหน้า ส่วนแยกด้านซ้ายมือก็จะเป็นบ้านของชาวบ้านและทางไปยังท้ายหมู่บ้าน

    เมื่อขึ้นบันไดบ้านมาก็จะเจอโต๊ะหน้าระเบียงหรือชานบ้าน เปิดประตูเข้าไปก็จะเจอเตียงนอนใหญ่ๆ 2 เตียง พร้อมผ้าห่มและผ้าขนหนูจัดวางไว้บนเตียงอย่างเรียบร้อย และห้องน้ำก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยนะ (บ้านหลังนี้จะพักได้ 4 ท่าน)

    นี้หลังตรงข้ามของ"บ้านปลายฝัน" 

    เก็บกระเป๋านั่งพักให้หายเหนื่อย ชวนเพื่อนออกไปเดินสำรวจหมู่บ้านกัน ระหว่างรอนัดทานข้าวมื้อเย็นกับพี่ๆที่บ้านแม่กลางหลวง ตัวเรามาที่นี่เป็นครั้งที่สามแล้วส่วนเพื่อนอีกสองคนนั้นเป็นครั้งแรก เลยทำหน้าที่ไกด์เล็กน้อยในการเดินไปชมธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอ

    วิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอ ก็ยังคงเรียบง่าย บ้านเรือนแต่ละหลังก็แบบกระทัดรัด ทำด้วยไม้ยกสูง ใต้ถุนเรือนมีเล้าไก่ เล้าหมู มีฟืนจำนวนมากอยู่ข้างๆบริเวณบ้าน และปัจจุบันก็จะมีบ้านรูปแบบสมัยใหม่เข้าผสมผสานแต่ก็ยังคงเอกลักษณ์แบบดั้งเดิมไว้

    เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในหุบเขาขั้นบันไดบริเวณลุ่มน้ำแม่กลาง บนดอยอินทนนท์ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อากาศดีเกือบตลอดทั้งปีในหมู่บ้านก็มีโรงเรียนเตรียมความพร้อมสำหรับเด็กเล็ก ไปจนถึงประถมหก

    โบสถ์คริสต์ชุมชน

     

    "สถานทีชิคๆใกล้ชิดธรรมชาติ ทั้งสัมผัสวิถีชีวิตของชาวปะกาเกอะญอ"

    เดินๆมายังแถวหลังโบถ์ส จะเจอถนนเล็กๆแบบดินแดง บางช่วงก็คอนกรีต เห็นพี่สาวและเด็กชายเดินลงจากเนินเขา 
    เดอะแก๊ง: เลยถามว่า "พี่ จะไปไหนกันจ้า?" 
    สาวปกาเกอะญอ: "จะไปหาปลาในลำน้ำด้านล่าง" 
    เดอะแก๊ง: พวกเราก็ตามไปด้วยนะ
    สาวปกาเกอะญอ: ยิ้มหวานให้ แล้วพยักหน้า 
    ไม่รอช้าก็รีบเดินตามลงไปที่ลำธารด้วย แต่บอกเลยว่าพวกเขาเดินเร็วมากเลย สงสัยพวกเรายังไม่ชินกับการเดินบนทางเนินและชันบนดอยกัน

    เดินลงเนินมาเรื่อยๆก็จะเจอกับสะพานคอนกรีตที่ทอดข้ามลำธารที่ไหลมาจากยอดดอยอินทนนท์พาดผ่านหมู่บ้านแม่กลางหลวง

    เดินมาถึงลำธารแล้วสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นๆ สดชื่นมากเลย และภาพที่ได้เห็นก็คือพี่สาวลงไปก้มๆที่กำลังหาปลาด้วยอุปกรณ์ที่คล้ายๆกับสวิง น้องผู้ชายก็เล่นน้ำอยู่ใกล้ๆ เป็นภาพที่น่ารัก ทำให้พวกเรายิ้มตามไปด้วย

    สาวปกาเกอะญอกับอุปกรณ์จับปลาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

    นั่งดูพี่สาวหาปลากันจนเพลิน

    ใกล้ๆกับลำธารก็จะเป็นพื้นที่ปลูกปลูกข้าวนาขั้นบันได แต่นี้ยังไม่ใช่ฤดูทำนาก็จะเป็นแปลงปลูกดอกดาวเรืองหรือพืชอื่นๆ เวลามาต่างจังหวัด สมองจะเปิด จิตใจแจ่มใส ร่างกายแอคทีฟสุดๆ ถึงแม้ว่าจะใช้งานอย่างหนักหน่วงก็ตาม อย่างนี้แหละ ที่เค้าเรียกว่า "ธรรมชาติบำบัด"

    แปลงดอกกระดาษใกล้ๆลำธาร

    พี่สาวยังจับปลากันอยู่ พวกเราตะโกนบอกว่า"กลับก่อนนะค่ะ" 

    เวลาผ่านไปเร็วจนพระอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้า พวกเราต้องรีบเดินกลับมายังที่พักเพราะกลัวจะมืดก่อน เดินมาเรื่อยๆ พระอาทิตย์เริ่มตกลับหายไปหลังภูเขาตามด้วยแสงทองตัดกับความเขียวของภูเขาช่างเป็นภาพที่สวยงามมากเลย ภาพจริงมองด้วยตาตัวเองจะสวยกว่าภาพถ่าย 
    ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการจะไปเที่ยวมีอยู่ 2 ช่วง คือ 
    เดือนกันยายน – กลางตุลาคม เป็นช่วงหน้าฝน นาข้าวจะเริ่มเขียวสดดูสวยงาม สบายตา 
    ปลายเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน เป็นช่วงที่นาข้าวออกรวงสีทองเต็มท้องทุ่งเหลืองสวยงาม

    กลับมายังบ้านพี่แหม่ม พี่สาวสาวปกาเกอะญอที่จะโชว์ฝีมือมื้อเย็นของพวกเราทั้งสามคนในวันนี้ ก็มาบุกถึงครัวของบ้านพี่แหม่มก็ยังเห็นกลิ่นไอแบบดั้งเดิมที่ผสมผสานกับยุคสมัยใหม่ เป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ และการทำอาหารก็ยังเป็นแบบวีถีชีวิตปกาเกอะญอ

    ไม่นานพี่แหม่มและเพื่อนบ้านที่มาช่วยกันปรุงอาหาร ก็ยกขันโตกพร้อมกับข้าวแล้วทุกคนก็มานั่งล้อมวงกัน

    "แกงเย็น" เมนูที่ชาวปกาเกอะญอนิยมทำกินกันมาเนินนาน

    "ผักกาดดอง" บนดอย

    "น้ำพริกปลากระป๋อง พริกคั่วหอมๆ"

    " ข้าวเบ๊อะ "

    พระเอกของมื้อนี้ " ข้าวเบ๊อะ " คือข้าวต้มน้ำกระดูกหมู มีข้าว ผักต่าง ๆ และเนื้อสัตว์ มาต้มจนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน นิยมทำตอนที่มีพิธีกรรมในชุมชนหรือในครอบครัว กับทำเมื่อมีแขกมาเยี่ยมบ้าน

     

    • Posts-2
    How About •  April 09 , 2019

    Day 2

    วันที่สองเช้าที่ตื่นกับอากาศหนาวเย็น มีนัดตีห้าครึ่งกับพี่ที่จะพาไปเที่ยวในวันนี้

    - ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว กม.42 ดอยอินทนนท์ 
    - เดินเส้นทางธรรมชาติ "กิ่วแม่ปาน" 
    - จุดสูงสุดแดนสยาม 
    - พระธาตุเจดีย์ 
    - น้ำตกผาดอกเสี้ยว (น้ำตกรักจัง) 
    - ชมพระอาทิตย์ตกที่ "หน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม อช.ดอยอินทนนท์"

    เช้านี้นัดกับพี่พัฒน์อาสาจะเป็นไกด์พาเราเที่ยวกันทั้งวันเลย เริ่มกันออกจากหมู่บ้านแต่เช้าตรู่ประมาณตี 05.30 เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว กม.42 (ลานจอดรถกิ่วแม่ปาน) มาถึงวันนี้ฟ้าปิดไม่แน่ใจหมอกหรือควันมากฟุ้งมากทำให้ไม่ค่อยเห็นอะไรเลยนอกจากแสงทองยามเช้า ก็เลยเดินไปหาของร้อนๆกินกันที่ร้านค้า อุญหภูมิบนถือส่าหนาวมาก ขนาดหน้าร้อนยัง 8 องศา มาพร้อมกับสายลม

    ตอนแรกก็นึกว่าจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์แรกดวงโตๆในเช้านี้แล้ว ก็เลยกำลังจะเตรียมตัวไปลงชื่อเดิน"กิ่วแม่ปาน" แต่ก็มีเสียงเรียกว่าพระอาทิตย์ขึ้นแล้วหันกลับไปดูเร็วๆ (เสียงจากชายคนหนึ่ง)

    โพล่มาแล้วพระอาทิตย์ดวงโตๆ บนยอดดอยอินทนนท์กับอากาศหนาวๆ (07 มีนาคม 2562)

    เมื่อเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นจุใจแล้ว ก็เดินเข้าที่สำนักงานจะมีโต๊ะจุดลงทะเบียนของเจ้าหน้า ซึ่งเป็นชาวบ้านมารับหน้าที่เป็นไกด์ในการเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติกิ่วแม่ปาน ไกด์ 1 คน/กลุ่มไม่เกิน 10 คน 

    เส้นทางเดินที่เหนื่อยแต่สวยคุ้มค่า "กิ่วแม่ปาน" ด้วยธรรมชาติที่ยังคงสมบรูณ์ ครั้งที่สองของเราแต่เป็นฤดูที่แตกต่างกับครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนช่วงนั้นอากาศหนาวจะได้เจอกับทะเลหมอก เส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะทางประมาณ 3.2 กิโลเมตร แบ่งผ่านป่าดิบชื้น เฟิร์นยุคโบราณ ป่าเฆม ป่าต้นน้ำกำเนิดสายธาร(น้ำตกลานเสด็จ) ทุ่งหญ้าเมืองหนาว ต้นกุหลาบพันปี 

    ช่วงแรกผ่านเข้าไปในป่าดิบเขาซึ่งมีบรรยากาศร่มครึ้ม มีแสงแดดส่องลงมาเพียงรำไรตามพื้นป่าเต็มไปด้วยเฟิร์นหลากหลายชนิด มีมอสสีเขียวขึ้นคลุมตามโคนต้นไม้และบริเวณริมห้วยที่ชุมชื้น

    น้ำตกลานเสด็จ

     

    ทางเดินขึ้นๆ ลงๆ เป็นเส้นทางที่เดินกว่าจะถึงจุดชมวิว ก็เหนื่อยพอสมควรแต่ก็มีจุดให้พักระหว่างทาง ท่ามกลางอุณหภูมิ 8-9 องศา ในช่วงเช้า (07 มีนาคม 2562)


    เดินผ่านป่าเฆม ป่าดิบชื้น แล้วก็จะออกมาเจอกับชันเขาที่โล่งๆ เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีทองหรือที่เขาเรียกบริเวณนี้ว่า "ทุ่งหญ้าเมืองหนาว" ออกมาถึงจุดนี้ลมพัดแรงมากทำให้หนาวยิ่งกว่าเดิมไปอีก

    มาเที่ยวในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวและวันธรรมดา ก็จะดีไปอีกแบบนะคนน้อยถ้าเทียบกับช่วง พ.ย.-ก.พ. ที่นี้ได้รับความนิยมมากเลย ผู้คนก็จะเยอะหน่อยเดินกันติดๆ นี้เราหันหลังกลับไปมองโอ้คนน้อยดีนะไม่ต้องต่อคิวถ่ายรูปกัน

    ก่อนจะถึงจุดแลนด์มาร์คของกิ่วแม่ปานก็จะผ่าน "กูดเกี๊ยะ เฟินทนไฟ" มาช่วงนี้ก็จะเห็นดอกหญ้าเริ่มแห้งแล้ว

    ถึงจุดที่ชมวิวที่สวยที่สุด ถึงจะไม่มีทะเลหมอกให้เชยชม แต่ก็ยังเห็นภาพภูเขา ยอดเขา กว้างไกลมากจนตาเรามันมองมันได้ไม่หมด ต้องกวาดสายตาไปซ้ายขวา

    มาส่องกุหลาบพันปีกัน แต่มาช่วงนี้ก็เริ่มร่วงโรยไปกันเริ่มหมดแล้ว แต่ก็ยังให้เห็นปลายๆแล้ว

    กุหลาบพันปี (Azalea)

    ราชินีดอกไม้ดอยอินทนนท์ สำหรับดอกกุหลาบพันปีเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่อายุยืนหลายร้อยปี พบเฉพาะบนเทือกเขาสูงที่มีอากาศหนาวเย็นความชุ่มชื้นสูง ในประเทศไทยพบกุหลาบพันปีบนดอยสูงหลายแห่ง บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,500 เมตรขึ้นไป กิ่วแม่ปาน ดอยอินทนนท์ เป็นพบมากที่สุดและดอกยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จนได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งอินทนนท์ โดยดอกจะเริ่มบานในเดือนม.ค.-กลางเดือน มี.ค.ของทุกปี 
    ( ข้อมูลจาก เวป news.thaipbs )

    เดินผ่านสันกิ่วแม่ปานความกว้างแค่ 1 เมตร

    เส้นทางสวย 
    ⏰ เวลา : เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา6โมงเช้า ใช้ระยะเวลาเดิน 2-3 ชั่วโมง 
    ค่าใช้จ่าย : 200บาท/คณะ เป็นค่านำทางให้ไกด์ท้องถิ่น 
    เส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะทาง3.2 กิโลเมตร ควรพกน้ำดื่มเข้าไปด้วย 
    ข้อแนะนำ : ควรมาเที่ยวในวันธรรมดาหรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ไม่ใช่หยุดยาวเพราะจะเต็มไปด้วยคนและอาจจะรอคิวนาน อุทยานปิดในช่วงเดือน มิ.ย.-ต.ค. เพื่อให้ป่าฟื้นตัว

    ออกจากจุดชมวิวกิ่วแม่ปาน มีเพื่อนอีกคนที่ยังไม่เคยมาอินทนนท์เลยต้องพาไปที่จุด "สูงสุดแดนสยาม"

    จุดที่สูงที่สุดในประเทศไทย มีระดับความสูง 2,565.3341 เมตร

    สูงที่สุดในประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยอินทนนท์ทอดตัวยาวเข้าไปในป่าเมฆเป็นระยะทาง 150 เมตร มีอากาศหนาวทั้งปี และมีหมอกกับฝนตกชุก "ยิ่งสูงยิ่งหนาว" ต้องมอบประโยคนี้ให้กับที่นี้เลย

    พระสถูปของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 7 ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่อันร่มรื่นเขียวครึ้ม

    ที่นี้ยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยอินทนนท์ทอดตัวยาวเข้าไปในป่าเมฆเป็นระยะทาง 150 เมตร มีอากาศหนาวทั้งปี และมีหมอกกับฝนตกชุก ระบบนิเวศเฉพาะตัวอย่างไม่มีป่าไหนเหมือน

    ช่วงนี้ก็จะเจอ "กุหลาบขาว" หรือ คำขาว

    ลงจากยอดดอยจุดสูงสุดแล้วจะแวะที่ "พระมหาธาตุนภเมทนีดล-นภพลภูมิสิริ" ระหว่างทางในช่วงหน้าร้อนก็จะเจอดอกหญ้าข้างทาง

    พระมหาธาตุนภเมทนีดล - พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ

    แวะมาสักการะ 2 พระมหาธาตุคู่ดอยอินทนนท์ "พระมหาธาตุนภเมทนีดล - พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ" ที่อยู่เคียงคู่กัน ตั้งอยู่บนกิโลเมตรที่ 41.5 ทางด้านซ้ายมือ สร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อปี พ.ศ. 2530 และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ สร้างถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อปี พ.ศ. 2535

    บริเวณพื้นที่โดยรอบพระมหาธาตุเจดีย์ ได้จัดเป็นสวนพรรณไม้หลากหลายชนิดที่สวยงาม โดยเฉพาะไม้ดอกเมืองหนาวที่สวยงาม รอบบริเวณสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของดอยอินทนนท์ได้อย่างสวยงาม

     

    • Posts-3
    How About •  April 10 , 2019

    เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกผาดอกเสี้ยว (น้ำตกรังจัง)

    มาต่อไปตามรอยหนัง"รักจัง" กับการเดินป่าในระยะประมาณสามกิโลกว่าๆ (เสียงจากเพื่อนเดินป่าอีกแล้วเหรอ นี้ขายังสั่นจากเดินกิ่วแม่ปาน) มาแล้วก็ต้องเอาให้สุดมาสัมผัสด้วยตัวเอง ฮ่าๆๆ

    จุดเริ่มเดินบนทางหลวง 1009 ค่าไกด์ปกาเกอะญอ 1 คน 200บาท/กลุ่ม ซึ่งตอนนี้มีกลุ่มชาวบ้านแม่กลางหลวงมาตั้งซุ้มหน้าทางเข้าเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติน้ำตกผาดอกเสี้ยว เมื่อก่อนติดต่อทางหมู่บ้านก่อนนะ เพราะต้องใช้ไกด์ท้องถื่นในการเดินด้วย

    เริ่มเดินทางกันเลยนะ  ไกด์เดินทางไปเรื่อยๆด้วยความชำนาญในพื้นที่บางทีเดินตามแทบไม่ทัน ช่วงไหนที่ทางลาดชันมากชาวบ้านสร้างบันไดไม้เรียบเนินเขาและราวไม้ไผ่ให้จับ เพิ่มความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว

    ทางเดินไปชมความงามของน้ำตกเดินไปได้ไม่ลำบากมากจะเป็นทางชันและลาดบางช่วง ก็เป็นการเดินกลับเข้าหมู่บ้านแม่กลางหลวงแหละกัน เมื่อเดินเข้ามาสักระยะก็เริ่มได้ยินเสียงสายน้ำกระทบโขดหินดังแล้ว ถึงน้ำตกชั้นแรกสวยงามหน้าร้อนอย่างนี้ก็ยังมีน้ำ

    อากาศที่แสนบริสุทธิ์ท่ามกลางหุบเขาแห่งแม่กลางหลวง ช่วงนี้อากาศเย็นสบาย สายน้ำขาวขึ้น น้ำลดลงจากช่วงหน้าฝนแต่ก้อยังสวย

    ระหว่างเดินลัดเลาะก็จะเจอตาน้ำหรือน้ำพุดกลางป่า พี่เขาบอกว่านี้มันคือ "น้ำแร่" ธรรมชาติ ใสสะอาดโดยการผ่านการกรองในตัวของธรรมชาติ ลองดื่มกันได้นะ

    มาเจอเด็กๆในชุมชนมาเล่นน้ำหาปลาคลายร้อนกัน เป็นภาพที่น่ารักมากเลยวิถีชีวิตกับธรรมชาติ

    มาถึงแล้วสะพานตรงนี้คือชั้นที่ 7 เคยเป็นโลเคชั่นหนัง "รักจัง" สะพานไม้ที่คร่อมผ่านพื้นน้ำตก เป็นฉากหนึ่งที่จำติดตาในหนังรักที่ดังมากเมื่อสิบกว่าปีก่อน "รักจัง" สายน้ำจากน้ำตกชั้นบนที่ไหลตกลงมากระทบกับน้ำตกชั้นล่างที่มีความสูงประมาณ 20 เมตร จนเกิดเป็นสายน้ำสีขาว ฟูฟ่อง

    สะพานไม้ไผ่ที่ทางชาวบ้านแม่กลางหลวงจะร่วมกันสร้างและดูแล ปรับปรุงกันทุกช่วงฤดูกาลเพื่อรอต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มีใจรักธรรมชาติ ที่นี้จากการได้มาเที่ยวครั้งสองก็จะเห็นว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ

    เห็นแล้วมันสดชื่นนนนนนน :) ฟังเสียงลำธาร วิมานแห่งความสุข ต้อง… "น้ำตกรักจัง"

    เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกผาดอกเสี้ยว ดอยอินทนนท์ ตั้งอยู่ที่บ้านแม่กลางหลวง ต.บ้านหลวง อ.จองทอง จ.เชียงใหม่

    พวกเราก็ลงจากน้ำตกโซนชั้นที่ 7 เดินเรียบเริ่มเชิงเขา ซึ่งก็จะมีท่อปะปาหรือท่อส่งน้ำจากน้ำตกแห่งนี้ไปยังหมู่บ้าน

    เดินป่า ชมน้ำตก วกมาดูไร่สตอเบอรี่ 

    ถ้ามาในช่วงประมาณเดือน ก.ค. - ปลาย ต.ค. จะได้เห็นภาพนาขั้นบันไดบ้านแม่กลางหลวงจากจุดนี้ได้สวยมาก แต่มาในช่วงนี้ก็สวยไม่แพ้กันจะได้เห็นอีกบรรยากาศก็คือ "ไร่สตอเบอรี่" ที่ปลูกตามสันเขา

    มีสตอเบอรี่เก็บลูกแดงฉ่ำในแก้วไว้พร้อมขายให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินมาจากน้ำตกกันด้วยนะ

     

    เดินออกจากไร่สตอเบอรี่ก็จะเริ่มเป็นทางเข้าหมู่บ้านแม่กลางหลวง ที่เต็มไปต้นไม้ใหญ่และต้นกาแฟที่อยู่สลับกับร่มไม้ใหญ่ซึ่งเป็นกาแฟอราบิก้าที่ขึ้นชื่อของที่นี่ด้วย

    เดินเข้ามาสู่หมู่บ้านทางออกจากน้ำตกก็จะผ่านที่พักของพวกเรา ก็เลยบอกกับพี่เขาว่าขอพักก่อนสักหนึ่งชั่วโมงนะ เพราะตั้งแต่เช้าแล้วกลับมาถึงที่พักก็ 15.30 วันนี้แน่นไปกับทริปเดินป่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติถึงจะเหนื่อยแต่ก็คุ้มกับความสวยของธรรมชาติที่นี้

    • Posts-4
    How About •  April 10 , 2019

    กิจกรรมสุดท้ายของวันนี้พี่ๆบ้านแม่กลางหลวงจะพาไป ชมพระอาทิตย์ตกที่ "หน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม อช.ดอยอินทนนท์"

    วันนี้จะมีพี่แหม่มและเพื่อนบ้านไปด้วยกัน เหมือนญาติพาเราไปเที่ยวปิกนิคกันเลย ทุกคนมาพร้อมก็กระโดดขึ้นรถกระบะ เริ่มเดินทางจากบ้านแม่กลางหลวงระยะทางประมาณ 10 กม. ใช้เส้นทางสู่ดอยอินทนนท์ขับตรงไปเรื่อย ๆ จนผ่านสามแยกดอยผาตั้งสักระยะ ตลาดชุมชนชาวไทยม้งไปอีกประมาณ 3 กม. ก็ให้สังเกตุซ้ายมือเพื่อดูป้ายบอกทาง "หน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม" ซึ่งจะเป็นป้ายหลบๆท่ามกลางต้นไม้นิดนึง

    วันนี้พี่เขาเสนอจุดชมพระอาทิตย์ตก สถานที่นอกสายตา คนไม่ค่อยรู้ หรืออาจรู้แต่ก็น้อย หรือรู้แต่ไม่กล้าเข้าไป นั่นก็คือ "หน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม" พวกเราโชคดีมากเลยที่รู้จักกับคนในพื้นที่อาสาจะพาไปเที่ยว

    เจอปากทางแล้วเลี้ยวเข้าป่าบนทางลูกรังขับไปเรื่อยสักระยะจะเจอแยกตรงไปจะเข้าสู่สำนักงานและที่พักในพื้นที่ “หน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม” แต่จุดชมวิวที่เราจะไปต้องเลี้ยวซ้ายขึ้นไปซึ่งเจ้าหน้าที่เขาจะเรียกว่า"แปลงปลูกป่า" เส้นทางก็จะไม่เรียบง่ายเลย เส้นทางก็จะป่ารกหน่อยๆ เต็มไปด้วยกอต้นดอกหญ้าสูงๆ สลับกับต้นสน

    ขับผ่านโค้งอ้อมเนินเชิงเขาจนมาถึงพื้นที่โล่งๆ จุดปักหลักของพวกเราในวันนี้

    ในที่สุดก็มาถึงแล้วจุด Unseen อีกที่ของดอยอินทนนท์ ที่พี่ๆคนในพื้นที่แนะนำและพามาให้เห็น

    วิวสวยมากจริงๆ เห็นดอยเขาที่สลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา แต่วันนี้เสียดายหน่อยตรงพื้นราบมีหมอกควันเลยทำให้เห็นไม่ชัดเจน แต่ก็ยังมีความสวยอยู่มากเลย

    วันนี้ลมแรงมากเลย ตั้งแต่เมื่อเช้าที่เข้าไปเดินกิ่วแม่ปานลมแรงแถมพร้อมพัดมากับอากาศเย็นสบาย

    ที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดน้ำลงไปเลี้ยงชาวแม่แจ่มและบริเวณแถบนี้

    ระหว่างรอพระอาทิตย์ตกก็เดินถ่ายรูปกัน

    นั่งลุ้นกันมากเลยว่ามาครั้งนี้จะได้เห็นพระอาทิตย์ดวงโตๆลับขอบฟ้าที่นี้ไหม

    ที่ยังไม่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ ที่สามารถชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปทางอำเภอแม่แจ่ม

    โชคเข้าข้างพวกเราแล้วหมอกควันเริ่มจางๆ ก็เริ่มได้เห็นดวงอาทิตย์ชัดขึ้นหน่อยถึงไม่มากแต่ก็คุ้มค่ามาก

    แสงสุดท้าย หน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม อช.ดอยอินทนนท์

     

    ขอบคุณพี่แหม่มพี่พัฒน์ พี่ๆที่หมู่บ้านแม่กลางหลวงที่ได้พามาเจอสถานที่ที่สวยงามและประทับใจทุกครั้งที่ได้มาเที่ยวดอยอินทนนท์ มาแล้วก็ไม่ลืมที่จะเข้าไปพักหมู่บ้านแม่กลางหลวงที่เต็มไปด้วยมิตรภาพดีๆ
    - Inthanon Kirimaya Mae klang luang ที่พักในหมู่บ้านแม่กลางหลวง 
    ติดต่อพี่สมศักดิ์ โทร 081 960 8856 , 08 1760 5181 
    ระยะเวลาต่างกันไป • ราคาที่พักเริ่มต้น 1000-4000 ต.ค.- ม.ค.