ถ้าพูดถึงเชียงใหม่ ใครๆ ก็มักจะไปกันในหน้าหนาว

แต่วันนี้เราของแหวกแนว ไปนอนเชียงใหม่ หน้าร้อน ตอนเดือนมีนานี่แหละ

เราเดินทางกันคืนวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม ใช้เวลาเดินทางกว่า 10 ชั่วโมง (คุ้มค่าตั๋วจริงๆ =.,= ทั้งนั่ง ทั้งนอน            เมื่อยมากๆ)

12.03.16

ระหว่างทางที่เราจะไป สถานีวนวัฒนวิจัยบ่อแก้ว หรือที่รู้จักกันดีในชื่อสวนสนบ่อแก้ว คือ ต้นไม้สองข้างทางแห้งแล้งมาก อากาศก็เริ่มร้อนอบอ้าวเล็กน้อย แต่พอมากถึงที่แล้ว อากาศที่นี่ดีมาก ไม่ถึงกับหนาวหรอก แต่เย็นสบาย ไม่มีเหงื่อ ไม่ร้อน มีลมพัดเรื่อยๆ 

***

 สถานีนี้ตั้งอยู่ริมเส้นทางสายฮอด-แม่สะเรียง มีเนื้อที่ 2,072 ไร่ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจวัตถุดิบเพื่อทำเยื่อกระดาษของกรมป่าไม้ ซึ่งจะพบแปลงปลูกพืชประเภทสน หรือยยูคาลิปตัส

 

หลังที่ออกจาสนสนบ่อแก้ว เราย้อนกลับมาที่ อุทยานแห่งชาติออบหลวง 

*** ออบหลวง เป็นสถานที่เที่ยวที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ เป็นช่องเขาขาดที่มีหน้าผาหินขนาบกับลำน้ำ ทำให้เกิดหุบผาลึก ออบหลวง คือชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกยกช่องแคบหินขนาดยักษ์ที่มีลำน้ำแจ่มแทรกผ่านไป แม่น้ำตรงนี้จะเชี่ยวมาก ไม่อนุญาตให้ลงเล่นน้ำ

อุโมงค์ต้นไผ่ที่ทางเข้า ตอนนี้เหลือแต่ลำต้น ใบร่วงหมดแล้ว

 ลำน้ำแจ่มที่ไหลผ่านออบหลวง

เดินเข้ามาไม่ไกลเราก็มาถึงไฮไลท์ที่หน้าผาชนกัน

สังเกตดีๆ จะเหมือนคนกำลังจูบกัน โรแมนติกไปอี๊กกก 

ถ้าเราข้ามสะพานด้านบนนั้น เราจะเข้าสู่ดินแดนช่วงก่อนประวัติศาสตร์ แต่ด้วยความที่เรามาถึงที่นี่ช่วงบ่ายกว่าแล้ว อากาศร้อนมากกกกกกก ขอถอยทัพกลับไปหาโกโก้เย็นๆสักแก้วก่อนล่ะกัน

หลังจากที่นั่งพักกันหายเหนื่อยแล้ว เดินทางต่อไปยังที่พักของเราในคืนนี้ เพราะสมาชิกหลายคนเริ่มไม่ไหวกับอากาศที่ร้อน ไหนจะนอนไม่ค่อยหลับจากเมื่อคืนบนรถทัวร์อีก

ภูอันนาอีโค่เฮ้าส์ ที่พักในคืนแรกของพวกเรา ที่พักที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาก ใช้วัสดุจากพื้นถิ่น ใช้ดินแทนการทาสี หลีกเลี่ยงสารเคมี ใช้หลอดไฟ LED ประหยัดพลังงาน หลีกเลี่ยงการใช้พลาสติก มีทั้งหมด 8 ห้อง แต่ละห้อง กว้างมาก และเย็นมาก เพราะลมจะพัดเข้ามาด้านหน้าห้องตลอดเวลา ซึ่งถ้าเราถูกช่วงที่นี่จะทำนาปลูกข้าวด้านหน้าห้องพักด้วย

 ถ้ามีนา ก็ต้องมีน้องควายด้วยสิ ที่นี่พี่เค้าเลี้ยงไว้สามตัวพ่อแม่ลูก ตัวนี้จะเป็นตัวลูก

นอกจากนาแล้ว ที่นี่ทำแปลงปลูกผักพื้นบ้าน ผักสลัด ที่ด้านข้างน้องพักของเราอีกด้วย

วิวหน้าห้องตอนอาทิตย์ตกดิน 

13.03.16

มื้อเช้าของที่นี่ พี่เค้าจะให้เราเลือกตอนเข้าพัก มีสอง 2 ชุดด้วยกัน คือ เบรคฟาสต์ กับแบบเหนือๆ ซึ่งเราทุคนเลือกแบบเหนือๆ จ้า ก็จะมี หมูย่าง ไก่ย่าง ตับไก่ย่าง แคปหมู น้ำพริกหนุ่ม เเหนม ผักต้ม ข้าวเหนียว และขนมใส่ไส้ รวมถึงน้ำส้มด้วย ให้เยอะมาก อิ่มจนจุกกันเลย

 หลังจากที่เก็บของ เช็คเอ้าเรียบร้อย เรามุ่งหน้ากลับมาที่จอมทอง มาที่วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ทำบุญไหว้พระ สักการะสิงศักสอทธิ์ แก้ปีชงกันไปตามระเบียบ

สิ่งนึงที่ชอบ คือ ดอกไม้สำหรับไว้บูชาที่ภาคเหนือเกือบจะทุกวัด จะมีกรวยใบตองใส่ไว้เสมอ ซึ่งน่ารักดี และเราชอบนะ เป็นเอกลักษณ์ดี

หลังจากออกจากวัด เราและเพื่อนๆทุกคน เห็นว่ามาถึงที่นี่แล้ว ต้องไปร้านพิซซ่าต้นไม้ด้วย แม้จะหลงๆ ดูงงๆ กับทางเข้า ถามชาวบ้าน ถามเณร ถามทุกคน 555+ เราก็พยายามไปถึงจนได้ เป็นร้านเล็กๆ อยู่ด้านหลังวัด ข้างๆ บ่อน้ำ อากาศดี ลมเย็น มีเมนูอาหารตามนี้เท่านั้น ใครหวังที่จะมากินปีกไก่นิวออรีน ซุป ปังกระเทียม ขอบอกว่าไม่มีนะจ่ะ ส่วนเครื่องดื่มจะเป็นพวกน้ำผลไม้ปั่น ผลไม้สดๆๆ โนววน้ำผลไม้ขวด 

เห็นราคาอาจจะดูแรง แต่ถ้าได้เห็นขนาด วัตถุดิบเเล้วต้องบอกว่าคุ้มค่ามากๆ  เราเลือกพิซซ่าหน้า PEPPERONI ซึ่งพี่รงค์ เจ้าของร้านบอกว่า PEPPERONI เนี่ยเป็นไส้กรอกที่สะอาด ไม่ใช่ไส้กรอกแบบที่เราทานกันตามท้องตลาดนะ พิซซ่าที่นี่แป้งจะบางกรอบ รสชาติอิตาเลียนแท้ หน้าเต็ม ชีสแน่น อร่อยยยยยยย เป็นการกินแบบที่ไม่ต้องขอซอสเพิ่มเลย

อีกเมนูที่เราเลือก คือ PESTO SPAGHETTI อร่อย ไม่เลี่ยน กินได้เรื่อยๆ

และวันนี้โชคดีมากกก ปิดท้ายกับการได้ฟังดนตรีสดจากพี่รงค์เจ้าของร้าน พี่เค้าเป็นนักร้องเก่าจ้าาา เสียงกีต้าร์สดว่าเพราะแล้ว เสียงร้องของพี่เค้านี่เพราะกว่า งานนี้ฟินสิจ่ะ 

 หลังจากที่ลาพี่เค้า ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เราได้เวลามุ่งหน้าขึ้นดอยกันล่ะ ที่แรกที่เราไป คื น้ำตกวชิรธาร น้ำตกขนาดใหญ่ ความงามของดอยอินทนนท์

 น้ำตกสิริธาร ถึงจะเริ่มเข้าหน้าแล้ง แต่น้ำก็ไม่น้อยนะ

บ้านแม่กลางหลวงในวันที่ไม่มีนาขั้นบันได แต่ มีแปลงสตอเบอรี่นะจ่ะ 

พอออกจากที่บบ้านแม่กลางหลวง เราไปต่อกันที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ที่นี่พันธุ้เยอะมาก หลากหลายชนิด และสวยมากกกก

ออกจากที่นี่เราก็เลี้ยวไปยังที่พักของเรา ดอยชัวร์ญ่าวิวสวย มาเชียงใหม่หน้า Low นี่ก็ดีไปอีกแบบนะ ราคาที่พักถูกกว่า เราเลือกเป็นบ้านอยู่ได้สี่คน ภายในมีเตียง หมอน ผ้าห่ม ทีวี ไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม ห้องน้ำมีน้ำอุ่นให้แบบระบบแก๊ส เพิ่งเคยใช้เป็นครั้งแรก ดูเหมือนจะร้อนนะ แต่ตอนกลางคืนหนาวมากจ้าา  ลมงี้พัดตตึงๆ ไม่เกรงใจเลย

เจ้าของบ้านออกมาต้อนรับด้วย เมี๊ยววว

14.03.16

วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่ตีสี่ วันทำงานไม่ตื่นเช้าขนาดนี้นะเนี่ย 5555 อาบน้ำกันด้วยความว่องไว เพราะน้ำเย็นมากกก อากาศข้างนอกก็เช่นกัน เรานั่งรถฝ่าความมืดขึ้นมา จุดชมวิว กม.42 หนาวไม่เกรงใจเสื้อบางที่ใส่มาเลยจ้าา

พระอาทิตย์ขึ้นล้าววววว

อุณหภูมิเช้าวันนี้ สบายๆๆ 13-14 องศา

มาเยือนเเล้วนะ จุดสูงสุดแดนสยาม

พระมหาเจดีย์ แห่งดอยอินทนนท์

นภเมทนีดล นภพภูมิสิริ

และสุดท้าย สวรรค์บนดิน เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน สำหรับการเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาตินี้ จะต้องมีไกด์ท้องถิ่นในการนำทาง โดยคิดเป็นกลุ่มๆ ละ 200 บาท ไม่เกิน 10 คนต่อกลุ่ม เป็นการกระจายรายได้ดีนะ

สำหรับเส้นทางนี้มีระยะทาง 3 กิโลเมตร เป็นป่า สลับกับทุ่งหญ้าโล่งกว้าง โดยช่วงแรกจะเป็นป่าเมฆ ป่าต้นน้ำ ซึ่งพี่เค้าบอกว่าจะเรามาในช่วงหน้าหนาว เราจะเห็นหมอก เมฆในป่ากันเลยทีเดียว

หลังจากที่มุดๆ อยู่ในป่ากันมาสักพัก เราก็ออกมาสู่ทุ่งหญ้าโล่งกว้างกันแล้ว ถ้ามาช่วงปลายฝน ต้นหนาว ที่นี่ก็จะเขียวไปอีกแบบ แต่แบบนี้สวยดีนะ

จากจุดชมวิว ตรงนี้ถ้าเรามาแต่เช้าจะเห็นกวางผาออกมาหากิน ซึ่งวันนี้โชคดีได้เห็นแต่แค่แวปเดียว เหมือนมันจะรู้ตัวรีบหลบเลยอ่ะ 

ผาแง่มน้อย เป็นแท่งหินแกรนิต หรือเรียกอีกอย่างว่า หินคู่รัก เพราะเป็นแท่งหินสองแท่ง และมีหินรูปหัวใจอยู่ตรงกลาง โรแมนติกไปอีก

และดอกกุหลาบพันปี (คำแดง) จะออกดอกช่วงเดือนมกราคม ถึงพฤษภาคม แต่ช่วงที่บานเต็มที่คือ เดือนกุมภาพันธ์

แล้วก็จะกลับสู่ช่วงที่เป็นป่าอีกครั้งกับหนึ่งกิโลเมตรสุดท้าย

ใช้เวลาในการเดินรวมทั้งหมด 2 ชั่วโมงถ้วน แฮร่ 

ลงมาที่ตลาดม้งแวะซื้อของฝาก สตอเบอรี่ลูกโต หวานฉ่ำ 

หมดเวลาสนุกแล้ว 3 วัน 2 คืน สำหรับเชียงใหม่ในครั้งนี้ แต่รับรองมันต้องมีครั้งต่อไปอีกแน่ๆ ^^