Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
ปีนเขา • เข้าถ้ำ • แสงเย็น • เล่นน้ำ << สามร้อยยอด >> เที่ยวครบรส ไปกับ มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด (Khao Sam Roi Yot National Park) จ.ประจวบคีรีขันธ์
    • Posts-1
    theTripPacker •  January 11 , 2018

    เปิด Map ใหม่ให้ชีวิต บนเส้นทางที่ต้องลองไปพิชิตสักครั้ง • ไปกับ Mitsubishi Triton Athlete •

    ขอต้อนรับเข้าสู่ปี 2018 อย่างเป็นทางการ กับทริปแรกของ theTripPacker ในปีนี้ อย่างที่เราเชื่อมาโดยตลอดว่า การเดินทาง ก็เหมือนการออกไปเปิด Map ใหม่ให้กับชีวิต ซึ่งโลกนี้มันก็ใหญ่พอที่จะให้เราได้เปิดแผนที่ใหม่ไปเรื่อย ๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุดเลยก็ว่าได้ และสถานที่ที่เราจะไปสร้างประสบการณ์ใหม่ในทริปแรกของปีในครั้งนี้คือ "อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" สถานที่ที่สามารถเที่ยวได้ครบรส ทั้งปีนเขา เข้าถ้ำ ดูแสงอาทิตย์ยามเย็น หรือลงเล่นน้ำทะเลก็ทำได้ครบ จบในที่เดียว

    ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ก็พิเศษสุด ๆ เพราะเราได้คู่หูเดินทางคันใหญ่สุดเท่ที่พร้อมลุยกับเราในทุกเส้นทาง ทุกสภาพถนน ไม่ว่าจะเส้นทางเปียกลื่น ขรุขระ หรือเอาไปลุยทรายก็ไม่มีหวั่น นั่นคือ Mitsubishi Triton Athlete สปอร์ต…พันธุ์เข้ม คันนี้นี่เอง

    Mitsubishi Triton Athlete คันนี้เรียกได้ว่าหล่อเท่โดนใจสายสปอร์ตมาก ๆ เพราะโฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่งสปอร์ตรอบคันที่มาพร้อมกับสไตลิ่งบาร์ และสปอยเลอร์หลัง ทั้งยังดึงดูดทุกสายตาด้วยเส้นสายสีส้มที่ช่วยเพิ่มความรู้สึกเร้าใจมากขึ้น  เรื่องความแรงไม่ต้องพูดถึงเพราะเครื่องยนต์ MIVEC Clean Diesel 2.4L แรงจัดถึง 181 แรงม้า แต่ก็ยังประหยัดน้ำมันอีกด้วย ใครพร้อมจะไปลุยกับเราแล้วก็ตามมาเลยครับ

    • Posts-2
    theTripPacker •  January 11 , 2018

    วันที่ 1 : จากเมืองกรุงฯ มุ่งสู่ประจวบคีรีขันธ์ เมืองแห่งขุนเขา และหาดทราย จังหวัดสุดท้ายของภาคกลาง

    เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้ามืด เนื่องจาก อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ตั้งอยู่ที่อำเภอกุยบุรี ซึ่งต้องผ่านหัวหิน และปราณบุรีไปก่อน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที เราเลยต้องเผื่อเวลาในการเดินทางพอสมควร เราใช้เส้นทางพระราม 2 มุ่งไปยังสมุทรสาคร และตัดเข้าทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม และตรงไปยังกุยบุรี ถึงทางจะไกลแต่ไม่ต้องกลัวเบื่อ เพราะ Mitsubishi Triton Athlete คันนี้มาพร้อม Features ใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกสไตล์การเดินทาง อย่าง Apple CarPlay* ที่เพียงเชื่อมต่อ iPhone เข้ากับ USB แค่นี้ก็เพลิดเพลินไปกับ Playlist สุดโปรดของเราได้ตลอดการเดินทาง และเพิ่มความปลอดภัย และง่ายขึ้นอีกขั้นด้วย Voice Command ระบบควบคุมการสั่งการด้วยเสียง พร้อมรับ และวางสายโทรศัพท์ที่พวงมาลัยได้เลย

    เรามาถึงที่ทำการอุทยานฯ ราว ๆ 10 โมง ก่อนหน้านี้เราได้ขับผ่านทางเข้าจุดชมวิวเขาแดงมาแล้ว ซึ่งต้องบอกก่อนว่ายังขึ้นไม่ได้นะครับ ต้องขับเลยมาอีกประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อมาติดต่อซื้อบัตรผ่านเข้าอุทยานฯ กันก่อน ซึ่งราคาบัตรผ่านสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท สามารถเข้าได้ทุกจุดในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด โดยบัตรมีอายุ 1 วัน หากเที่ยววันเดียวไม่หมด พรุ่งนี้ต้องมาซื้อใหม่ แต่สามารถซื้อได้ทุกจุดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของอุทยานฯ ครับ เมื่อได้บัตรผ่านมาแล้วเราก็ย้อนกลับไปที่ลานจอดรถของจุดชมวิวเขาแดงกันเลย การขึ้น จุดชมวิวเขาแดง แนะนำให้ใส่รองเท้าผ้าใบที่ไว้ใจได้ และอย่าลืมพกน้ำดื่มขึ้นไปด้วยนะครับ ใครมีโรคประจำตัวไม่อยากแนะนำเท่าไหร่ เพราะทางขึ้นเขาแดงมีความลาดชันสูง และเต็มไปด้วยก้อนหินใหญ่ และแหลมคม ทางค่อนข้างแคบ และบางช่วงก็เต็มไปด้วยกระบองเพชรที่มีหนาม เรียกได้ว่าต้องใช้ทั้งกำลัง และสติไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งปีน ทั้งป่าย ทั้งเกาะเชือก ตามทาง และลูกศรมาเรื่อย ๆ พอเหนื่อยก็พักจิบน้ำบ้าง รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมาเกือบ 30 นาที ซึ่งเป็นระยะทางราว 400-500 เมตรแล้ว ลมเริ่มพัดแรงทำให้เรารู้ได้เลยว่าปลายทางกำลังรอเราอยู่ข้างหน้านี่แล้ว และเมื่อขึ้นมาถึงวิวข้างหน้าก็ทำเอาเราลืมความเหนื่อยล้าทั้งหมดไปในทันที ที่นี่เราสามารถชมทัศนียภาพ และความสวยงามของเส้นขอบฟ้า ทะเล และชายหาดบริเวณบ้านเขาแดงได้โดยรอบ และด้านหลังยังเป็นเทือกเขาหินปูนสลับซับซ้อนกันสวยงามราวกับอยู่เมืองจืน ได้เวลากดชัตเตอร์รัว ๆ แบบไม่เกรงกลัวความสูงกันเลยทีเดียว เมื่อเต็มอิ่มกับวิวด้านบนนี้แล้ว เราก็เตรียมตัวลงไปยังลานจอดรถ ซึ่งจะบอกว่าขาลงยากกว่าขาขึ้นมาก ต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ และหากใครไม่ได้มาช่วงเช้า แต่อยากมาช่วงบ่าย ก็แนะนำให้กะเวลาให้ดี เพราะจุดชมวิวเขาแดงเปิดให้ขึ้นชมถึงแค่ เวลา 16.30 น. ของทุกวัน เพื่อความปลอดภัย 

    พักทานมื้อเที่ยงเติมพลังกันเสร็จ เราก็ไม่รอช้ามุ่งหน้าไปยังวัดเขาแดง ซึ่งที่นี่มีท่าเรือที่เราสามารถใช้บริการ ล่องเรือชมคลองเขาแดง ได้ เราสามารถติดต่อเหมาเรือของชาวบ้านแบบไป-กลับ ในราคา 500 บาท / นั่งได้ 6 คน ซึ่งจุดนี้จะมีการตรวจบัตรผ่านอุทยานฯ ด้วยนะครับ

    เรือจะพาเราล่องคลองเขาแดงไปชมวิถึชีวิตของชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ทำประมง และทำนากุ้ง รวมถึงธรรมชาติป่าชายเลนที่เต็มไปด้วยต้นโกงกาง และแสมทะเล สลับกับเทือกเขาสูงสองข้างทาง ซึ่งมีระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร นั่งรับลมเย็น ๆ ชมทิวทัศน์ของเขาแดง และนกหลากหลายสายพันธุ์ โดยจะใช้เวลาตอบรอบครั้งละ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ หากใครอยากชมวิวพระอาทิตย์ตกหลังเทือกเขา แนะนำให้มาช่วง 16.30 - 17.00 น. ครับ

    ล่องเรือเสร็จ แต่ภารกิจเรายังไม่จบแค่นี้ วันนี้เราต้องไปชมพระอาทิตย์ตกที่บึงบัว ณ ทุ่งสามร้อยยอดกันก่อน ซึ่งเราขับรถย้อนกลับไปทางเดิม ผ่านที่ทำการอุทยานฯ และตัดเข้าสู่ถนนเพชรเกษมย้อนขึ้นไปทางทิศเหนือ จากนั้นเราจะเห็นซอยโรงเจอยู่ขวามือซึ่งต้องไปกลับรถมาก่อนครับ เมื่อเลี้ยวเข้ามาแล้วก็ตามป้ายโรงเจมาเรื่อย ๆ ก็จะเจอป้ายบอกทางไป ศูนย์ศึกษาธรรมชาติบึงบัว เมื่อมาถึงแล้วก็แสดงบัตรผ่านอุทยานฯ กับเจ้าหน้าที่ แล้วขับรถไปจอดด้านในได้เลยครับ

    ศูนย์ศึกษาธรรมชาติบึงบัว อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด แต่ก่อนที่นี่เคยมีบัวบานเต็มทั้งทุ่งมองไปได้ไกลสุดสายตา แต่เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ทำให้น้ำแล้ง และน้ำที่เหลืออยู่ก็มีความเค็มมากขึ้น ทำให้บัวทยอยตายกันหมดจนแทบไม่มีเหลืออยู่เลยในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม บึงบัว หรือทุ่งสามร้อยยอดแห่งนี้ก็ยังคงเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของสามร้อยยอด เราอยู่รอชมพระอาทิตย์ตกจนได้เวลาปิดทำการพอดี ตอน 18.00 น. นับเป็นการจบภารกิจวันแรกที่สวยงาม และประทับใจสุด ๆ  หลังจากนี้เราก็เตรียมตัวเข้าที่พัก พักผ่อนเอาแรงไว้มาลุยในวันพรุ่งนี้กันต่อ 
    • Posts-3
    theTripPacker •  January 11 , 2018

    วันที่ 2 : ตามหาแสงสีทอง ณ ถ้ำใหญ่กลางป่า และพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์

    เราตื่นเช้าอีกวันแต่ไม่ถึงกับเช้ามืด หลังจากทานมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้ว เราก็เก็บของ และออกเดินทางกันต่อ วันนี้เรามีภารกิจต้องไปให้ทันแสงอาทิตย์ลอดปล่องถ้ำซึ่งจะส่องลงมายัง พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ ณ ถ้ำพระยานคร เรามุ่งหน้าไปที่หาดบางปู จอดรถเรียบร้อยก็ลงไปซื้อบัตรผ่านอุทยานฯ กันก่อน

    โดยการเดินทางไปยังถ้่ำพระยานครสามารถไปได้ 2 เส้นทาง คือ

    1. เดินผ่านเขาสองลูก โดยเริ่มตั้งแต่หาดบางปู ข้ามเขาเทียนไปยังหาดแหลมศาลา ระยะทางประมาณ 400 เมตร แล้วเดินต่อขึ้นไปยังถ้ำ อีกประมาณ 450 เมตร

    2. นั่งเรือจากหาดบางปู ไป-กลับ 400 บาท / นั่งได้ 8 คน ไปลงที่หาดแหลมศาลา แล้วเดินขึ้นไปยังถ้ำ ระยะทาง 450 เมตร 

    ซึ่งแน่นอนว่าเราเลือก นั่งเรือ นั่นเองครับ เพราะด้วยความที่เรามีของเยอะทั้งกล้อง เลนส์ และขาตั้งกล้อง ที่สำคัญคือ เรากลัวจะพลาดแสงสวย ๆ นั่นเอง

    ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที เรือก็พาเรามาถึงที่หน้าหาดแหลมศาลา จากนั้นเราก็เดินตามป้ายบอกทางไปถ้ำพระยานคร ทางขึ้นเขาค่อนข้างชัน แต่เดินไม่ลำบากมากเท่าไหร่ แต่ขอบอกว่าได้เหงื่อไม่แพ้การขึ้นเขาแดงเลย เดินไปถึงครึ่งทางจะมีจุดแวะพักพร้อมชมวิวทะเลด้านล่าง ใครไม่ไหวจะถอดใจนั่งรอตรงนี้ก็ได้นะครับ ส่วนเรานั้นมาแล้วต้องไปให้สุด พักซัก 5 นาที แล้วรีบเดินต่อเลย

    เราเดินมาจนถึงจุดสูงสุด แล้วก็ต้องเดินลงต่อไปอีกซักพักเพื่อลงไปยังถ้ำด้านล่าง เมื่อมาถึงป้ายบอกตำแหน่งคูหาต่าง ๆ ภายในถ้ำนั่นก็หมายถึงว่าเราได้มาถึงแล้ว

    ถ้ำพระยานคร เป็นถ้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีไฮไลต์อยู่ที่ แสงที่ลอดผ่านปล่องบนเพดานถ้ำ ลงมายังพระที่นั่งพอดิบพอดีจนเกิดเป็นภาพที่สวยงามอย่างมาก ซึ่ง  พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ เป็นพลับพลาแบบจตุรมุข สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 คราวเสด็จประพาสเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2433 เป็นฝีพระหัตถ์ของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์ ทรงสร้างขึ้นในกรุงเทพฯ แล้วส่งมาประกอบทีหลังโดยให้พระยาชลยุทธโยธินเป็นนายงานก่อสร้าง  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมายกช่อฟ้าด้วยพระองค์เอง ที่กำแพงหินด้านขวายังมีพระปรมาภิไธยย่อในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 เป็นตัวหนังสือใหญ่สีขาวสะดุดตา พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์นับเป็นจุดเด่นของถ้ำพระยานคร และเป็นตราประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันอีกด้วย

    เรามาถึงเกือบจะ 10 โมง พอดีกับแสงที่เริ่มส่องลงมาอย่างถูกจังหวะ เสียงนักท่องเที่ยวเริ่มฮือฮา และชัตเตอร์ทั้งกล้องใหญ่ กล้องเล็ก รวมไปถึงมือถือก็เริ่มดังรัว ๆ ใครอยากได้ภาพแสงส่องลงมายังพระที่นั่งสวย ๆ แนะนำให้มาในช่วง 10.00 - 11.30 น. นะครับ

    เราอยู่จนแสงหมดจงเดินกลับลงมาด้านล่าง เพื่อมาขึ้นเรือกลับไปยังหาดบางปู สำหรับใครที่ขึ้นเรือมาเจ้าหน้าที่จะให้บัตรบอกเลขเรือมาด้วย บัตรนี้ต้องเก็บไว้ใช้เรียกเรือมารับตอนขากลับด้วยนะครับ โดยยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ที่หาดได้เลย 

    จุดหมายปลายทางสุดท้ายของทริปนี้ เราจะไปชิล ๆ ที่ หาดสามร้อยยอด หรือหาดนมสาว ซึ่งเราจะแวะพักผ่อน ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ที่นี่เงียบสงบ ชายหาดสะอาดทอดยาวกว่า 7 กิโลเมตร มีทัศนียภาพที่สวยงาม และร่มรื่นย์ไปด้วยทิวสน จุดนี้เป็นจุดที่น้ำทะเลตื้น สามารถลงเล่นน้ำได้ น้ำทะเลสะอาด แต่อาจไม่ใสมากเพราะมีดินเลนผสมอยู่ด้วย จากชายหาดจะสามารถมองเห็นวิวเกาะต่าง ๆ เช่น เกาะโครำ เกาะนมสาว เกาะระวิง และเกาะระวางได้ด้วย

    หากใครอยากจะแวะพักเอาแรงตรงนี้ซักครู่ผมว่าเหมาะมากครับ เพราะมีร่มเงาของต้นสน แถมลมก็เย็น เปิดประตูรถแล้วปรับเบาะเอนนอนเหยียดแขนขาได้สบาย เพราะ Mitsubishi Triton Athlete คันนี้มีห้องโดยสารที่กว้าง ซึ่งรุ่นนี้เป็นรุ่น Double Cab นั่ง 4 คนได้สบายหายห่วง ภายในห้องโดยสารนอกจากจะกว้างขวางสะดวกสบายแล้ว ยังมีดีไซน์ และเบาะหนังทูโทนที่หล่อเท่ไม่แพ้ด้านนอกเลยทีเดียว

    จบทริปแสนประทับใจ ณ อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ซึ่งถือเป็นการเปิด Map ใหม่ของชีวิตที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่หลากหลายจริง ๆ เรียกได้ว่าเป็นทริปที่เราได้ครบทุกอารมณ์ทั้ง ท้ายทาย น่าค้นหา และมอบความรู้สึกเป็นอิสระให้กับเราได้ในเวลาเดียวกัน และนอกจากการได้มาเที่ยวแบบครบรสในที่เดียวแบบนี้แล้ว ต้องขอขอบคุณ Mitsubishi Triton Athlete ที่ทำให้เราได้มาเปิดประสบการณ์สุดสปอร์ต และเร้าใจกว่าที่เคย ใครอยากลองมาสัมผัสคู่หูพันธุ์เข้มคันนี้ ก็ไปพบกับตัวจริงได้ที่โชว์รูมมิตซูบิชิทั่วประเทศเลยครับ

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Mitsubishi Troiton Athlete : https://goo.gl/6rNtQb
    ข้อเสนอสุดพิเศษ ด้วยแพ็กเกจ 5 ปี ดูแลดีถึงใจ : https://goo.gl/huiMHT