บทนำ
..เมื่อถึงช่วงหน้าหนาวของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่นักเดินป่าแทบทุกคนถวิลหาและรอคอยที่จะได้ไปสัมผัสกลิ่นอายของธรรมชาติตามยอดดอยต่างๆ และเป็นช่วงที่อีกหลายคนกำลังเฝ้าจับจ้องสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี และรอคอยกันอยู่ทุกปีว่าจะเปิดให้ขึ้นเมื่อไหร่ หลังจากได้ปิดมาสองปีแล้วและปีนี้ก็เช่นกัน ได้ข่าวแว่วๆมาในทำนองว่าจะไม่เปิดให้ขึ้นอีกด้วยเหตุผลเดิมเหมือนทุกปี จะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่มันก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหัวหน้าอุทยาน ซึ่งพวกเราคงไม่สามารถเรียกร้องได้ก็ต้องปฎิบัติตามหรือเปลี่ยนสถานที่ไปที่อื่นแทน ที่เกริ่นมาทั้งหมด เพียงเพราะคิดถึงสถานที่แห่งนี้ และเกรงว่านักท่องเที่ยวหน้าใหม่อาจจะไม่ได้มาสัมผัสสถานที่แห่งนี้อีกแล้วก็ได้




เดินมาไม่นานก็มาถึงป้ายทางเข้า ซึ่งก็เริ่มเรียกเหงื่อได้บ้างแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ ถัดจากนั้นทางก็เริ่มวิบากขึ้นมีมุดมีลอด เดินผ่านทุ่งหญ้าคากลางแดดร้อนจนมาถึงจุดพักต้นซ้าน ถามคนที่เดินสวนมาว่าอีกไกลมั๊ย เขาตอบแบบหัวเราะบอกว่าไม่ไกลเท่าไหร่ ตอนนั้นในหัวเริ่มคิดแล้วว่าคิดถูกหรือเปล่าที่มาเดินป่าช่วงอายุมาก มาเพราะใจอย่างเดียวเท่านั้น เรื่องความคิดไม่ต้องพูดถึงไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลย


จากจุดพักต้นซ้าน ทางเริ่มไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ พอมาถึงเนินเขาเตี้ยๆที่วิวเปิดโล่ง ทางไกด์ชี้ให้เราดูว่าเราจะไปพักยังแนวสันเขาเบื้องหน้าซึ่งมองจากตรงนี้ไปมันไม่ไกลเท่าไหร่ แต่มันเป็น "ใกล้ตาไกลตีน" ที่เหลือทนจริงๆสำหรับผม แวะกินข้าวกลางวันที่ห่อใส่ถุงมากันกลางทาง นาทีนั้นบอกตามตรงว่ากินอะไรไม่ค่อยจะลงแต่ก็ฝืนกินเพื่อจะได้มีแรงเดิน

พอผ่านดงไผ่มา ทางช่วงนี้เราจะเริ่มเดินบนสันเขาบ้างแล้ว เดินแล้วก็เดิน ลมเอื่อยๆพัดมาพอคลายร้อนได้บ้าง วิวทิวทัศน์เปิดโล่งมองเห็นแนวเทือกเขายาวล้อมรอบตัว เมฆหมอกเริ่มก่อตัว ท้องฟ้าเหมือนฝนจะตก เดินไปหยุดถ่ายภาพไป เพื่อบรรเทาอาการที่เหมือนจะเป็นตะคริว


ในที่สุดเราก็มาถึงบริเวณจุดพักแรมของเราคืนนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งก่อนถึง camp ground 500 เมตร เพราะจุดกางเต้นท์หลักมีพื้นที่น้อย เราเลยกางกันด้านบนแทน ซึ่งก็ดีอย่างเพราะเราจะได้เก็บภาพเขาทั้งลูกได้อย่างเต็มตา

หลังจากตั้ง camp เสร็จเราก็นั่งพักผ่อนให้หายจากอาการเมื่อยล้ากันสักชั่วโมงนึง ก็เตรียมตัวขึ้นยอดเขาช้างเผือกซึ่งมองเส้นทางขึ้นไปแล้วไม่ง่ายทีเดียว เราหยุดยืนมองและถ่ายภาพความอลังการของเขาช้างเผือกซึ่งใหญ่โตประดุจดังกำแพงยักษ์ขนาดมหึมา ขวางหน้าเจ้ามนุษย์ตัวจ้อยผู้ไม่ประมาณตนที่จะฝ่าฟันข้ามไป

เดินลงจากเขาช้างน้อย มายัง ground camp เส้นทางตรงนี้ค่อนข้างชันอยู่เหมือนกันทางอุทยานจะทำเชือกไว้ให้เกาะ สภาพพื้นที่ ground camp ไม่กว้างมากนักมีพื้นที่กางเต้นท์น่าจะได้ประมาณ 20-30 หลังได้ จาก ground camp เราไต่ขึ้นยอดเป็นกลุ่มแรกๆ เส้นทางก็ตามภาพค่อยๆไต่ค่อยๆปีนกันขึ้นไป จนถึงจุดที่เสียวที่สุดคือสันคมมีด ซึ่งต้องโหนตัวไต่ขึ้นไปตามก้อนหินแล้วไปยืนบนแนวสันเขากว้างไม่ถึงเมตรที่สองฝั่งเป็นเหว

พอพ้นสันคมมีดก็เดินลงเนินเล็กๆไปลูกนึงแล้วเดินขึ้นก็ถึงยอดเขาช้างเผือกที่มีระดับความสูงจากน้ำทะเล 1,249 เมตร วิวข้างบนเปิดโล่งมุมมอง 360 องศา บางช่วงก็มองเห็นอ่างเก็บน้ำของเขื่อนเขาแหลม ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าท้องฟ้าเคลียร์ๆ อาจจะมองเห็นทะเลของเมืองทวาย ทางฝั่งพม่าได้เลย ถัดจากยอดเขาช้างเผือกยังมีทางเดินไปอีกยอด ซึ่งเป็นยอดเขาช้างพลายซึ่งยังไม่มีกำหนดเปิดให้เข้าไปแต่อย่างใด




ดวงตะวันคล้อยต่ำลง ท้องฟ้าเริ่มถูกย้อมสีเป็นสีส้มจางๆ พวกเราไม่ได้อยู่รอชมความงดงามของดวงอาทิตย์ตก เพราะเราขึ้นมาเป็นกลุ่มแรก ชื่นชมความงามของวิวบนยอดเขากันอย่างเต็มอิ่มแล้ว ก็เลยลงก่อนเผื่อกลุ่มหลังที่กำลังขึ้นมาจะได้มีพื้นทีชมความงาม และต้องการหลีกเลี่ยงการจราจรเลนเดียวบนสันเขาตอนขากลับเมื่อความมืดเริ่มเข้ามาแทนที่มันจะอันตรายมาก 


ผมกลับมาถึง camp ท้องฟ้าก็เริ่มมืดพอดี จัดแจงทำอาหารกินกันเสร็จ ก็มุดเข้าไปซุกตัวกันในเต้นท์ คืนนั้นหลับไม่ค่อยสนิทนักเพราะมีฝนตกบ้างประปราย แต่ลมที่พัดผ่านสันเขาเล็ดลอดเข้ามาต้องกระทบบางส่วนของร่ายกายที่อยู่นอกเหนือถุงนอนต้องสั่นสะท้าน ผมถูกปลุกให้ขึ้นมานั่งฟังสรรพสิ่งรอบกาย เพราะแรงลมทำให้เต้นท์โยกคลอนดั่งกับมีมือยักษ์มาเขย่า เลยลุกออกจากเต้นท์ไปยืนปลดทุกข์ ความมืดทีปกคลุมไปรอบด้านทำให้สายตาบังเกิดภาพหลอนวูบวาบต่างๆนาๆ บางทีก็หูแว่วได้ยืนเสียงประหลาด แต่ก็ข่มใจใช้สติพิจารณาจนความรู้สึกหวาดหวั่นลดน้อยลง กลายเป็นยืนฟังสรรพสำเนียงธรรมชาติประสานเสียงยามค่ำคืน มองไปทางที่นอนของบรรดาลูกหาบ พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างง่ายๆแค่ทำเพิงโดยเอากระสอบถุงปุ๋ยปูนอนและทำเป็นหลังคาซ่อนตัวอยู่ในป่าหญ้าคา 


เช้าวันรุ่งขึ้น สายหมอกปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขา ทัศนวิสัยรอบตัวมองเห็นไม่เกิน 5 เมตร ลมแรงจนสั่นสะท้าน เราทำอาหารเช้ากินกันอย่างง่ายๆ แล้วเก็บ camp เดินลงจากดอย



เมื่อลงมาถึงพื้นราบได้ พวกเราจัดแจงหาอะไรเย็นๆแก้กระหายกันทันที ซึ่ง pepsi นี่แหละดีที่สุดแล้ว รู้สึกหายเหนือยชุ่มคอชื่นใจจริงๆ อาบน้ำล้างหน้าล้างตัวมากินข้าวกลางวันที่ร้านน้องหน่อยเหมือนเดิม แล้วก็เก็บของขึ้นรถ อำลาบ้านอีต่อง ระหว่างทางแวะเที่ยวดูุจุดชมวิวเนินกูดดอยข้างในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ พร้อมทั้งรับประกาศนียบัตรที่ทางอุทยานออกให้ในฐานะผุ้พิชิตเขาช้างเผือก ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ยังมีอยู่หรือไม่ และเขาช้างเผือกปิดไม่ให้ขึ้นมาสองปีแล้ว ส่วนปีนี้ก็คงปิดอีกจากข่าวล่าสุดที่ทางอช.แจ้งมาว่าฝนตกหนัก เส้นทางลื่นรกชัฎ เป็นแหล่งอาศัยของช้างป่าที่ย้ายที่หากินมาจากไทรโยค..



..และนี่ก็คือเรื่องราวจุดเปลียนในชีวิตของผม ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ผมได้ออกเดินทางทุกปี ปีละหลายครั้ง พร้อมทั้งได้หัดถ่ายภาพไปในตัวด้วย จนทำให้ได้มีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนดีดีที่คอเดียวกัน มาเรียนรู้ทำความรู้จักกัน ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน หรือจะเป็นงานอดิเรก ที่อาจจะได้งานพิเศษจากการเดินทางของเราและต่อยอดการไปเป็นช่างภาพ การเป็นนักเขียน เป็นบล็อกเกอร์ เป็นต้น อย่างตอนนี้ยามว่างผมก็เขียนประจำอยู่ใน read me สะสมคะแนนแลกของรางวัลเที่ยวฟรีไปเรื่อยก็มีความสุขดี แล้วเพื่อนๆล่ะมีจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้ตัวเองมีความสุขบ้างใหม..มาร่วมออกเดินทางกันดีกว่า สักครั้งในหนึ่งปีควรไปในสถานที่ที่เราไม่เคยไปกัน แล้วเราจะพบว่ามีสิ่งต่างๆอีกมากมายที่สวยงามและน่าสนใจให้ค้นหา...