เที่ยวเชียงใหม่ แบบไม่หยุดงาน ไปสัมผัสอากาศหนาว 2 วัน 1 คืน 

เดินทางโดยรถโดยสารของบริษัทสมบัติทัวร์  การเดินทางของเราครั้งนี้มีแต่ ผญ 3 คน เราเลยเลือกเดินทางเที่ยว เลดี้บัส มีแต่ผญ. เท่านั้น จะได้ไม่ต้องกังวลเวลาหลับ เพราะทั้งคันมีแต่ผู้หญิง พนักงานบริการเป็นสาวประเภทสอง ให้บริการบนรถ 

จองตั๋วผ่านทางคอลเซ็นเตอร์ของสมบัติทัวร์ เราจองตั๋วล่วงหน้าหนึ่งเดือนเพราะกลัวรถจะเต็ม(*ถ้ามีสมาชิกไปด้วยให้เตรียม ชื่อ-นามสกุล พร้อมเลขบัตรประชาชนของสมาชิกไว้ด้วยเพราะชื่อผู้โดยสารจะถูกระบุไปในตั๋วโดยสารเลย)  จองเสร็จไปจ่ายเงินที่ 7-11 ได้เลยค่ะ จะมีโค๊ดให้เราไปจ่ายเงิน เก็บหลักฐานไว้ไปยื่นกับพนง.ที่หมอชิต  45 นาทีก่อนรถออกเพื่อรับตั๋วเดินทาง เราจองทั้งไปและกลับ รับตั๋วทั้ง 2 ขาได้เลย 

ตั๋วโดยสารก็จะหน้าตาแบบนี้ 

เดินทางถึงหมอชิตก็ไปรับตั๋ว หาอะไรทานรองท้องก่อน เพราะต้องเดินทาง 9 ชม.หรือไม่ทานจะไปทานฟรีกับบริการของสมบัติทัวร์ก็มีอาหารบริการที่กำแพงเพชร (บุฟเฟ่ข้าวต้มกุ้ย) เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย แล้วก็ไปรอขึ้นรถตามชานชาลาที่บอกในตั๋วได้เลยค่ะ 

นำสัมภาระไว้ใต้ท้องรถ มีพนง.มาเขียนแทคติดกระเป๋าเราให้ ยื่นตั๋วให้เขาดู เขาก็จะเขียนลงไปเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของไว้ให้  ขึ้นรถตามเบาะที่นั่งจะมีผ้าห่มและหมอนรองคอในแต่ละที่นั่งให้ พอรถออกได้สักพัก พนักงานจะกล่าวต้อนรับ และเดินทางอาหารทานเล่น  (ขนมปัง+น้ำเปล่า) มีหูฟังให้ยืม ในแต่ละเบาะจะมีจอให้เราดูหนังฟังเพลง รวมไปถึงเบาะนวดไฟฟ้า  

เดินทางถึงกำแพงเพชรก็แวะทานอาหาร (ทานฟรี) ให้เข้าไปที่ห้อง VIP พร้อมตั๋วโดยสาร ให้เวลาทานอาหารเข้าห้องน้ำ 20 นาที จากนั้นเดินทางต่อจนถึงสถานีโดยสารเชียงใหม่ (อาเขต) ถึงประมาณ 6 โมงเช้า 

เราเช่ารถยนต์ไว้สำหรับการเดินทางในทริปนี้  ตอนแรกพยายามโทรหาหลายๆที่ไม่ได้รถเลย ได้บางที่ก็ราคาสูงกว่าที่อื่น (อย่าเพิ่งตกลงลองสำรวจราคาก่อน) ่บางที่ก็ไม่ส่งรถที่อาเขต หรือเรียกเก็บค่าส่งรถ200 บาทเพิ่ม ส่งฟรีแต่ที่สนามบิน จนมีเจ้าหนึ่ง แนะนำให้จองผ่าน Drivehub โทรไป 2 รอบไม่ติด แต่ไม่นานมีพนักงานติดต่อกลับมา แจ้งรายละเอียดไปแล้วเขาจะเป็นตัวกลางติดต่อกับบริษัทรถเช่าให้ ได้มาในราคา วันละ 1000 บาท เป็นรถโตโยต้า วีออส ปี 2016 (โทรติดต่อเองราคา1200/วัน) พอเราคอนเฟริ์มเรียบร้อยจะส่ง contact ของเราให้บริษัทรถเช่าติดต่อเรากลับมา และโอนเงินมัดจำไปค่ะ เราอยู่คาบเกี่ยววัน เลยนับเป็น 2 วัน ค่าเช่า 2000 บาท ประกันรถเสียหาย 3000 (คืนวันส่งรถคืนหากรถไม่เสียหาย) 

โอนเงินมัดจำแค่ 1000 บาท ที่เหลือจ่ายวันรับรถค่ะ  เราได้ของบริษัท CR CAR RENT เชียงใหม่ โดยรวมดีค่ะ ก่อนหน้านี้เคยเช่าของภูพิงรถเช่า แต่คราวนี้เต็ม นัดรับรถแปดโมงเช้าที่อาเขต ถึงประมาณ 6 โมงก็เลยแจ้งพี่เขา ว่าเราถึงแล้ว ไม่นานรถก็มาตรวจสภาพรถก่อนออกเดินทางทำสัญญา แล้วก็พร้อมเดินทาง (ขอเล่าละเอียดนะคะ เผื่อมีคนสนใจเดินตามทางเรา จะได้ไม่ต้องถามเพราะไม่ค่อยได้เข้ามาตอบได้ทันเวลา ผ่านไปหนึ่งเดือนถึงค่อยมาตอบอะไรทำนองนี้ 55 ^_^) 

บังเอิญได้ไปเห็นรุปใน IG สังขยาสีพาสเทล น่าทานมาก ต้องมาลองให้ได้ ร้านเปิด 7.30 น.-14.00 น.โดยประมาณ  

รับรถแล้วก็ตรงดิ่งมาที่นี่ก่อนเลยเพราะว่าคนเยอะ มาถึงมีคนต่อคิวอยู่แล้ว 3 - 4 คิวถือว่าไม่เยอะเพราะตอนเราออกมาแถวยาวกว่าตอนเรามาอีก 

สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนอื่นเลยคือเดินเข้าไปในร้านเพื่อรับคิว ตอนแรกเราไปต่อแถวเลย เลยช้าไปอีก คนมาทีหลังเข้าไปรับคิวก่อน 

บัตรคิว 

รับบัตรคิวแล้วก็นำรายการอาหารมาเลือกรอแล้วถือไว้จนกว่าจะได้ที่นั่ง 

พอได้ที่นั่งก็ใส่เลขโต๊ะลงไป แล้วก็ยื่นให้พนักงาน หรือไม่ก็เดินไปยื่นที่เคาเตอร์ หลังๆไปเชียงใหม่ จะมีแต่เกาหลีเกือบทุกร้าน ร้านนี้ก็เช่นกันคนเกาหลีเยอะเลย 

ได้มาแล้ว เมนูที่เราสั่ง 

สั่งมาไม่เยอะ เพราะเรากะมาลุยคาเฟ่ เชียงใหม่ 

 รายการที่สั่งคือ

1.ขนมปังสังขายนึ่ง+ขนมปังสังขยาปิ้ง 

2.ไข่กะทะ 

3.ชาร้อน

4.กาแฟโบราณร้อน 

5.น้ำอัญชัญเย็น

ทั้งหมด 200 บาท 

นี่คือแถวหลังจากที่เราเดินออกจากร้านมาแล้ว แนะนำให้มาเช้าๆค่ะ 

ตั้งอยู่ที่ ถนนสุเทพ อ.เมือง เชียงใหม่ ที่นี่สร้างขึ้นราวๆปี พ.ศ.1839 จนถึงวันนี้ก็ประมาณ 720กว่าปีมาแล้ว มีการสร้างอุโมงค์เป็นที่วิปัสนากรรมฐาน กำแพงภายในจึงมีหลายช่องที่เดินทะลุถึงกันได้

วัดนี้ทันสมัยมีคิวอาร์โคดให้สแกน  

การแต่งกายหากใส่สั้นก็มีผ้าให้ยืมสวมทับ ให้ทำบุญ 20 บาทหย่อนลงตู้ ออกมาก็พับคืน 

ภายในจะมีทางเดิน ทะลุถึงกัน ด้านบนเป็นพระธาตุ

ที่นี่ถ้าใครไม่รู้จักคงจะเชย ไหนๆก็มาเเล้วก็มาสักหน่อย มาถึงประมาณ 11 โมง รถยังไม่ติด แต่คนก็เยอะพอสมควร มีด่านเก็บค่าเข้า คนละ 20 บาท 

ตอนที่เราไปต่างจากที่เราเห็นในสื่อออนไลน์เพราะไม่มีทุุ่งนาเหลือแล้ว แต่หุ่นฟางคิงคองยักษ์ยังอยู่ 

ก่อนหน้านี้น่าจะมีการประกวดมาก่อนเห็นป้ายติดที่ตัวนี้ ได้ที่ 1 สวยงามมากค่ะ คิงคองยักษ์สามารถขึ้นไปถ่ายข้างบนได้ แต่คนเยอะและแดดแรงมาก ถ่ายมาแต่ข้างล่างมาให้ดูกันค่ะ 

นอกจากนี้ยังมีหุ่นทำเป็นหัวคิงคองให้เราเข้าไปถ่ายรูป กับหัวคิงคอง

แดดแรงมาก ไม่ไหว ไปทานอาหารกันดีกว่า ตรงนี้เป็นอ่างเก็บน้ำ รอบๆอ่างเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเชียงใหม่เขาหละ  ไปชิมรสชาติอาหารคนเจียงใหม่กันดีกว่า

เมื่อกี้ร้อนพออยู่ติดริมน้ำเย็น ปรับอุณภูมิแทบไม่ทัน ที่เห็นในภาพเป็นที่ยื่นออกไปในน้ำ ถ้านั่งตรงนี้เสียค่านั่งคนละ 20 บาท จะมีคนเดินเก็บพร้อมออกใบให้ แยกจากร้านอาหาร หรือไม่อยากเสียตังเพิ่มก็นั่งบนที่นั่งบนบกค่ะ แต่ไหนๆก็มาแล้วขอติดริมน้ำรับลมเย็นสักหน่อย ตรงนี้มีบริการนวดด้วยนะคะ มีเบอร์โทรให้ตามหมอนวดมานวด ถ้าไม่ติดต้องเดินทางขึ้นดอยต่อ ก็น่านวดสักชม.สองชม. คงจะฟินน่าดู 

สั่งอาหารมา 3 อย่าง 

1.ปลาคังทอดกระเทียม

2.ยำกรอบเห็ดรวม

3.ผัดกะเพราไข่เยี่ยวม้า

น้องบอกปลาคังทอดกระเทียมอร่อยส่วนตัวไม่ทานปลา เลยไม่ได้ชิม ลองไปชิมกันดูนะคะ หมดนี้ราคา 460 บาท 

พักรถแล้ว คนอิ่มท้องแล้ว ออกเดินทางขึ้นดอยกันค่ะ เราจองเต็นท์ไว้ที่ สถานีวิจัยเกษตรเชียงใหม่ (ขุนวาง) จองบ้านไม่ทัน เต็นท์ สำหรับนอน 4 คนราคา 400 บาทพร้อมเครื่องนอน 

ส่วนตัวขึ้นมาหลายรอบ แต่น้องยังไม่เคยมาเลยพาน้องขึ้นมาสัมผัสอากาศที่จุดสูงสุดสักหน่อย  วันที่เราไปตรงกับวันเด็กให้เข้าอุทยานฟรีไม่เสียค่าเข้า 

แวะไหว้พระธาตุนภเมทนีดล นภพลภูมิสิริ  เสียค่าเข้าคนละ 40 บาท 

สวนดูโทรมกว่าตอนที่มาคราวที่แล้ว ไม่แน่ใจว่าอยุ่ในช่วงปรับปรุงภูมิทัศน์อยู่รึเปล่า 

กุหลาบพันปี 

ดอกไฮเดรนเยีย

ไปต่อกันที่จุดสูงสุดกันค่ะ 

ป้ายด้านหน้ามีคนถ่ายรูปเลยเดินผ่านมา ขึ้นไปไหว้พระสถูป

อากาศไม่ค่อยหนาว ใส่เสื้อผ้าสบายๆได้เลย เสียดาย อยากเย็นกว่านี้อีกสักหน่อย 

ไปตามล่าเสือกันเลยดีกว่าอากาศข้างบนไม่หนาว อย่างที่คิดไว้ 

ศูนย์อนุรักษ์พันธ์กล้วยไม้รองเท้านารีดอยอินทนนท์ มีเหลือไม่เยอะ แล้วเริ่มจะออกใบเหลือดอกให้เห็นแค่ไม่กี่ต้น 

ได้รูปมาเท่านี้ ออกเดินทางต่อไปยังที่พักกันค่ะ 

บางครั้งความสวยงามก็ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง มันเกิดขึ้นระหว่างทาง มันยังเป็นคำที่ยังใช้ได้เสมอ พญาเสือโครงบ้านเต็มถนน เป็นถนนสีชมพูววว อยู่ระหว่างศูนย์เพาะพันธ์กล้วยไม้รองเท้านารีไปขุนวาง  

บานเต็มเนินตรงนี้ไปหมด น่าจะเป็นที่่ดินของชาวบ้าน มีอยู่หลายต้นมากค่ะ สังเกตุแนวพญาเสือโคร่งที่อยู่ขวามือตรงโค้งแล้วมองทางซ้ายมือ จะมีเป็นกลุ่มต้นพญาเสือโครงอยู่ตอนนี้กำลังบานเต็มที่ 

ถึงศูนย์วิจัยและพัฒนาเกษตรเชียงใหม่(ขุนวาง) ก็เข้าไปติดต่อที่พักตรงสโมสร นำใบเสร็จจ่ายตังจองออนไลน์ไปยื่น พร้อมกับชำระค่าอาหารเช้าคนละ 60 บาท 3 คนจ่ายไป180 บาทได้คูปองอาหารมาไว้ทานตอนเช้า 

บ้านพัก จองไม่ทัน อยู่ท่ามกลางกล้วยไม้ 

จากนั้นก็มาเดินดูว่าเต็นท์เราอยุ่ตรงไหน จะมีชื่อติดไว้ที่เต็นท์ให้ค่ะ  สำรวจตำแหน่งที่ตั้งของที่นอนเรียบร้อยก็ออกไปทานอาหารเย็น 

อาหารเย็นเราจองหมูกะทะไว้ที่ โปโป & ปิงปิง โฮมสเตย์ เราเคยมาที่นี่แล้ว 1 ครั้ง แต่ไม่รู้ว่าต้องจองหมุกะทะล่วงหน้า เลยไม่ได้ทาน เขาว่าอร่อย คราวนี้เลยมาจัดสักหน่อย 

โปโป & ปิงปิง เป็นที่พักขนาดเล็กที่อุดมไปด้วยความน่ารัก เรามาถึงก็เริ่มจะค่ำแล้วเลยไม่ได้ถ่ายรูปโดยรอบมาให้ดู 

ที่เด็ดกว่าทั้งหลายทั้งปวงก็การทานหมุกะทะท่ามกลางอากาศเย็นๆ ไม่เหงือไหลไคลย้อยเหมือนตอนอยุ่กทม.

ตื่นเช้ากันมากเพราะเมื่อคืนนอนเร็ว และที่นี่เช้านี้มีงานกาแฟอาราบิก้า ผู้คนจอแจ เลยตื่น ทำธุระส่วนตัวเสร็จก่อนห้องอาหารจะเปิด เลยเดินเล่นกันก่อนค่ะ สวนตรงข้าม สวนอาหาร 

ทานอาหารเสร็จก็เก็บของเดินทางต่อ ค่ะ ทริปนี้ไม่มีแผนการเดินทางใดๆทั้งสิ้น ดูแต่ละที่มาคร่าวๆ 

ฟอมูล่าม้ง

เราลองเดินทางออกจากขุนวางมาทางแม่วาง ถามคนในพื้นที่ว่าทางดี แต่แคบ ก็เลยลองมาดู 

ทางนี้เรายังไม่เคยมา เส้นทางแคบ สูงชันบางช่วง โค้งสลับกับแนวต้นสน สวยไปอีกแบบ มีปางช้างอยู่เรื่อยๆ 

และแล้วเราก็พบร้านกาแฟน่ารักในสวนมะลิ ชื่อร้านเฮือนหอมรฏา

ชารสชาติกลมกล่อม ถ้าอากาศเย็นกว่านี้คงจะดี 

ระหว่างทางขากลับเข้าเมืองพบทุ่งทานตะวัน เลยแวะถ่ายรูปกันก่อนค่ะ 

เป็นของร้านอาหารภูไพรพรรณ ชื่อเฮือนตะวัน มีไอครีมขายอยู่ด้านหน้า เป็นเรือนไม้ให้ถ่ายรูปพร้อมทางเดินเข้าทุ่งทานตะวัน

เดินทางต่อไปวัดพระธาตุดอยคำค่ะ 

จุดหมายปลายทางอยู่บนเขาเห็นอยู่ไกลๆ ปีใหม่ เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆไหว้พระขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลของตัวเอง

ใกล้ๆถึงข้างบนรถก็จะเริ่มติด คนเยอะๆหน่อย 

ไหว้พระเสร็จก็เดินปิดทอง 

สำหรับคนไม่นำรถขึ้นมาก็เดินขึ้นบันไดมาก็ได้ค่ะ