ท่องเที่ยวแบบบ้านๆ ตามประสาคนเที่ยวไปเรื่อย กรุงเทพฯ - แม่สอด - อุ้มผาง - ปิตุ๊โกร เปรโต๊ะลอซู ยอดดอยมะม่วงสามหมื่น ที่ไปไม่ถึง เพราะตังค์ไม่พอ...แฮร่ 2 วัน 1 คืน


          
          มาเริ่มกันเลย เริ่มแรกเรานัดหมายกันไว้ประมาณ 1 เดือน ในการรวมกลุ่ม จาก เพื่อน ของเพื่อน แล้วก็ของเพื่อนได้กัน 7 คน จากนั้นก็ทำการจองตั๋ว ครั้งนี้เราเดินทางการด้วยรถประจำทางของ บขส.(เดี๋ยวนี้จองออนไลน์สะดวกมาก) พวกเราจองตั๋วทั้งหมด 6 ใบ โดยขึ้นรถที่ หมอชิต - แม่สอด แต่เดี๋ยว สงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมแค่ 6 ใบ เพราะว่า ช่วงที่ไปเป็นวันหยุดยาว น้องผมมันไม่รู้จะไปเที่ยวไหน ผมก็เลยชวนในคืนก่อนวันจะไป เพียง 1 วัน แบบออนไลน์ โชคดีที่เหลือที่หนั่งที่สุดท้าย หน้าห้องน้ำเลย
 

DAY  1 :
          มาถึงวันที่ออกเดินทางกัน พวกเรานัดขึ้นรถที่หมอชิต 20.30 น. (รถออก 21.00 น.) ผมกับน้องมาถึงก่อน 2 คนแรก ไม่รีรอครับ หาอะไรกินรองท้องก่อน คือ KFC ไง กินง่ายดี สักพักคนที่เหลือก็ทยอยตามๆกันมา 
          พอถึงเวลาขึ้นรถ พวกเราก็แยกย้ายที่นั่งใครทั่งนั่งมันเลยครับ (ต้องขอบอกว่า ขึ้นรถ บขส. รอบนี้แอบยิ้มมุมปากนิดๆ เนื่องจากผมไม่ได้ขึ้นรถของ บขส. มานาน รถสภาพดีมาก เบาะเอนนอน เป็นระบบไฟฟ้า นวดได้ แถมที่สำคัญในสมัยนี้เลย มีช่องเสียบ USB ให้ด้วย ขนาดสายการบินบางที่ยังไม่มีเลย)
          มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า ขายของให้เขาอีก ไม่ได้ขึ้นฟรีเสียหน่อย ฮ่าๆๆๆ หลังจากรถออกจากหมอชิตแล้ว เวลา 21.00 น. ต่างคนก็ต่างนอนพักผ่อน จนมาถึง อ.แม่สอด จ.ตาก เวลาประมาณ 07.00 ซึ่งรถมาถึงช้ากว่าที่กำหนดประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า

          หลังจากลงรถ ทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวกันเรียบร้อย ก็โทรหาลุงที่ติดต่อไว้ ให้มารับไปที่ อุ้มผาง ประมาณ 10 นาทีลุงก็ขับรถมาถึง เตรียมของขึ้นไว้บนหลังคารถ บรรจุคนขึ้นรถเรียบร้อย แล้วก็มีพี่อีก 2 คน ที่มาจากกรุงเทพฯ เหมือนกันขออาศัยติดรถไปด้วย  เราก็ขอให้ลุงพาไปแวะที่ตลาดแปปหนึ่ง เพื่อซื้อของกินไว้ขึ้นไปทำกินที่ด้านบน
          เราใช้เวลาซื้อของ ประมาณ 30 นาที ก็เดินทางจาก แม่สอด ไปถึง อุ้มผางประมาณ 4 ชั่วโมง (ลุงขับซิ่งมาก) กับระยะทาง 164 KM. โดย ประมาณ 40 KM. แรก จะเป็นทางโค้งล้วนๆ (1,219 โค้ง) ผมตายตั้งแต่ 90 โค้งแรกครับ ฮ่าๆๆๆๆ เมาโค้ง แต่วิวข้างทางนี่สวยมาก พร้อมสายฝนที่โปรยปรายตลอดทาง

          หลังจากผ่านโค้งมาได้ครึ่งทาง ก็เป็นจุดพัก หาของกินครับ ตรงหลักกิโลใหญ่ ร้านนี้น่าจะเป็นร้านเดียวที่ไว้รองรับนักท่องเที่ยวระหว่างทางที่เดินทางมา หลังจากนั้นก็ขึ้นรถ แล้วเดินทางต่ออีกครึ่งทาง ก็เหลือ ประมาณ 80 KM. แล้วแหละ แต่หลังออกจากร้านมาได้ไม่นาน ผมเริ่มไม่ไหวกับโค้งแล้วครับ ฮ่าๆๆๆ (หาถุงครับ จะรออะไร) อ้วกไปตามระเบียบ หลังจากนั้นก็นั่งหลับไปจนถึงบ้านของลุงที่มารับเลยครับ เที่ยงพอดี  (แนะนำเลยครับ หากใครจะมาให้กินยาแก้เมารถแล้วก็นั่งหลับไปเลย)
          จากนั้นก็ทยอยแบ่งของให้ลูกหาบ 2 คน ครับ ส่วนเป้ที่เหลือก็แบกของใครของมันขึ้นเอาเองครับ เราต้องนั่งรถไปยังจุดเดินขึ้นน้ำตกอีก ประมาณชั่วโมงกว่าจากบ้านลุง (ซึ่งฝนตกหนักมา) แล้วเราก็มาถึงจุดที่ต้องเดินขึ้น ทุกคนเตรียมความพร้อมด้วยกาสวมเสื้อกันฝน แล้วก็...กินข้าวเหนียวไก่ทอด ก่อนเดินขึ้น

          ก่อนจะเดินเข้าจะมีเด็กแถวนั้นรอรับตั๋วก่อนเราจะเดินเข้า หลังจากนั้นก็เลยกันเลย อีก 8 KM. ถึงจุดพักแรม แต่แค่ 10 ก้าวแรกก็เดินจมโคลนกันเลนทีเดียว หมดสภาพตั้งแต่ 5 นาทีแรก เดินต่อไปประมาณ 100 เมตร ก็จะเจอลำธาร เราต้องเดินลุยลำธารเข้าไป ค่อนข้างเดินยากนิดหนึ่ง เพราะต้องเดินสวนกับสายน้ำ

          เดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ผ่านแนวป่ามากมาย ป่ากล้วย ป่าไผ่ นาขั้นบรรได ของชาวบ้านแถวนั้น (ต้งเดินระวังกันหน่อยนะครับ อย่าไปเหยีบข้าว) พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายฝนทีไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่ บางคนก็ลื่น บางคนก็ล้ม แต่ก็สนุกสนานกันทุกคน ไหนๆก็เปียกแล้ว จุดพีคสุด คือ จมโคลนกันนี่แหละ ใช้แรงมหาสานมากๆ ในการเดิน ในที่สุดก็ถึง
          พวกเราใช้เวลาในการเดินมาตรงจุด พักแรม ประมาณ 2 ชั่วโมงนิด เวลาตอนนี้ก็ 15.00  น. ที่สิ่งที่ลำบากกว่านั้น ทุกอย่างเปียก แทบจะทุกอย่าง แม้ว่าจะกันมาดีแค่ไหนก็ตาม แถมฝนก็ยังไม่หยุด จนลูกหาบต้อง สละผ้าใบผืนใหญ่มากๆ มากลางเป็นหลังคาให้ก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถกลางเต็นท์ได้ (แนะนำครับหากใครมา ให้พกเปล กับฟรายชีทกันฝนดีกว่าครับ) ลูกหาบได้ทำการเคลียร์พื้นที่ให้พวกเรา แล้วพวกเราก็หนีกันไปเล่นน้ำตกเล็ก อยู่ข้างที่พักแรม แต่น้ำแรงมากๆ 
          หลังจากล้างเนื้อล้างตัวจาก ดินโคลน ที่เลอะกันมาตลอดทางแล้ว ก็เดินกลับมาจุดกางเต็นท์ พวกเราไม่รีรอครับ เริ่มกลางเต็นท์ แต่กว่าจะกลางเสร็จก็ลำบากกันพอตัว เพราะฝนยังตกหนัก จากนั้นเก็ยสัมพาระต่างๆกันแล้ว ก็ถึงเวลาพ่อครัว แม่ครัวทำกับข้าวแล้ว

          กับข้าวที่เราทำกินกันก็ไม่มีอะไรมาก ของง่ายๆ มาม่าต้มยำใส่ปลากระป๋อง กระหล่ำปลีผัดน้ำปลา แล้วก็ไข่เจียว ระหว่างที่กินข้าวไป ก็มีน้ำหยดลงกลางวงมาตลอดเวลา (ผ้าใบรั่ว) ฮ่าๆๆๆ อิ่มหนำสำราญกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินไปที่น้ำตกอีกรอบ หวังว่าจะอาบน้ำกันอีกครั้ง แต่น้ำตกแรงขึ้นกว่าเดิม และเปลี่ยนสีเป็นสีโคลน ไม่ใสเหมือนตอนแรก ก็เลยแค่ล้างหน้าลางตา แล้วก็กลับมาเปลี่ยนชุดที่เต็นท์กัน อ่อ ลือบอกไปที่นี่เขามีห้องน้ำให้นะ สภาพก็พอใช้ได้ (แต่อย่าเอาไฟส่องไปห้องข้างๆนะ ฮ่าๆ)
          หลังจากนั้นทุกคนก็มารวมตัวกันที่เต็นท์ผม เนื่องจากในป่าอ่ะนะ ไม่มีสัญญาณโทศัพท์ ทุกคนก็มานั่งเม้าท์มอยกันเรื่อยเปื่อยๆ ประสาคนไม่มีอะไรทำกัน ฮ่าๆๆๆ พอสัก 21.00 น. ได้ทุกคนก็แยกย้ายเข้าเต็นท์ แล้วก็มีเสียงออกมาจากทุกเต็นท์ว่า ในเต็นท์เปียกหมดเลย ต้องเอาผ้าเช็ดตัว มาเช็ดกันใหม่ แล้วก็เอาถุงดำมาปูรองกัน แล้วทุกเสียงก็หายไปด้วยความอ่อนล้า จบวันที่ 1   DAY 2 :
          หลังจากนอนเสียงฝนกันมาทั้งคืน พวกเราก็ตื่นกันตี 5 ผมก็ตั้งปลุกไว้แต่ไม่ดัง ฮ่าๆๆ จนเพื่อนๆ มาเรียก หลังจากนั้นสาวๆ ก็ไปหุงข้าว ทำกับข้าว ส่วนผมก็ยังงัวเงียอยู่ในเต็นท์อยู่สักพักหนึ่ง ก็ออกไปยืนเป็นกำลังใจให้สาวๆทำกับข้าว ฮ่าๆๆๆ หลังจากเสร็จแล้วพวกเราก็วางทิ้งไว้ แล้วก็เดินไปล้างหน้าแปรงฟันกันที่น้ำตก น้ำกลับมาใสเมือนเดิมแล้ว แล้วฝนก็หยุดแล้วพวกเราดีใจมาก ภาวนาอย่าให้ตกอีก

          เมื่อทำธุระส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้วพวกเราก็ มานั่งกินข้าวรวมกัน แล้วก็แบ่งอีกส่วนหนึ่งไว้กินมื้อเที่ยงเตรียมเอาไปกินบน น้ำตกรูปหัวใจของเรา หลังจากนั้นก็เริ่มเก็บเต็นท์ แต่ดีใจได้ไม่นาน ฝนก็ตกมาอีกรอบหนึ่งครั้งนี้ตกหนักมาก

          แต่พวกเราก็ไม่ย่อท้อกับสายฝน พวกเราเดินฝ่าสายฝนเพื่อไปดูน้ำตกให้ได้ด้วยระยะทาง 1.4 KM. ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า เราออกกันตั้งแต่ 07.00 น. เอาง่ายคนอื่นเขายังไม่ตื่นกัน ขึ้นเป็นกลุ่มแรกเลยครับ ฮ่าๆๆๆ ต้องทำเวลากันหน่อย ทางต่อไปนี้เริ่มชัน และลื่นๆขึ้นเรื่อยๆ บางช่วงก็ต้องเดินฝ่าสายน้ำที่แรงพอสมควร ต้องเดินจับมือกันข้าไปครับ และแล้วก็มาถึง น้ำตกรูปหัวในของเรา ปิตุ๊โกร เปรโต๊ะลอซุ - น้ำตกหัวใจแห่งอุ้มผาง น้ำตกที่เขาว่าลึกลับ และสูงเป็นอันดับต้นๆของไทยเราเลย แถมยังสวยและใหญ่อีกมากๆ 
          รออะไรละครับ ถ่ายรูปกันสิ ทั้งโทรศัพท์ ทั้งกล้อง หยิบขึ้นมา ทริปนี้พวกเราเอากล้องใหญ่กันมาทุกคน แต่ด้วยความกลัวกล้องเปียก เลยได้แค่ใช้ Gopro กับโทรศัพท์ที่พอกันน้ำได้ระดับหนึ่งขึ้นมาถ่าย หลังจากถ่ายกันอิ่ม ตอนแรกเราจะเดินขึ้นไปบนยอดน้ำตก แต่เกิดปัญหานิดหน่อย เลยไม่ได้เดินไปต่อ หลังจากนั้นพวกเราก็เดินลงมา เล่นน้ำตก ที่ห่างกับน้ำตกรูปหัวใจไม่มาก จุดนี้เล่นได้ น้ำไม่ลึก แต่น้ำค่อนข้างแรง จนเริ่มมีคนอื่นๆ ทยอยขึ้นมาพวกเราก็ เดินลงไปยังจุกพักแรง แล้วเก็บสัมภาระเตรียมเดินลง ตอนนี้ก็เวลาประมาณเทียง ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่ไหนๆเปียกกันแล้วก็เดินลุยฝนกันกลับเลย
          เดินกลับขาลงค่อนข้างลำบาก เนื่องจากฝนตกทั้งคืนทำให้ทางลื่นมาก มีน้ำนอง และแฉะตลอดทาง แถมโคนยังลึกขึ้นกว่าเดิม พวกเราช่วยกันประคองกันเดินมา ลื่นกันไปหลายรอบ ส่วนตัวผมที่เจอหนักสุดนี่คือ จมโคลนไปเลย เกือบครึ่งตัว จนต้องดึงขาออกมาก่อนแล้ว ใช้มือลงไปล้วงรองเท้าขึ้นมา เพื่อนบางคนถึงกับถอดรองเท้าเดินแล้ว บางคนถอดเสื้อกันฝนออกเลย ไหนๆก็เปียก 
          พวกเราเดินกลับมาถึงในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 14.00 น. พอดี ที่นั้ดกับลุงไว้ให้มารับ ระหว่างทางที่เดินมาเพื่อขึ้นรถกับบ้านลุง ก็เจอถนนทรุด เพราะว่าฝนตกหนักตลอดคืน จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถเพื่อไปอาบน้ำ แต่งตัว เตรียมกับ กทม. ขากลับลุงซิ่งกว่าเดิม เพราะกลัวพวกเราตกรถ รอบ 21.00 น.   จบ.     ค่าใช้จ่าย
          ค่ารถ บขส. ไป - กลับ  ประมาณ 800  ออกกันเอง
          เราเก็บกองกลางไว้ก่อน คนละ 2000
                    - ค่ารถ ลุงมารับที่ แม่สอด - อุ้มผาง - ทางเดินขึ้นน้ำตก / ไปกลับ  ประมาณ 6500 
                    - ค่าอาหาร
                    - ค่าลูกหาบ
                    - จบทริปได้คืนคนละ 600

          สรุป ค่าใช้จ่ายแต่ละคนประมาณ 2200