อยู่ก็อยากไปเที่ยวอยุธยา เพราะช่วงปีใหม่นี้ติดงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ปลีกตัวไปเที่ยวไม่ได้เหมือนคนอื่นเขา เลยชวนเพื่อนที่ต้องสถิตอยู่กรุงเทพฯไปด้วยกัน ก่อนหน้านั้นเพื่อนติดงานแต่รับปากว่าจะเคลียให้เสร็จแล้วไปด้วยกัน เราเลือกเดินทางด้วยรถไฟ เที่ยว 7 โมงเช้า มาซื้อตั๋วที่หัวลำโพง ไม่ระบุที่นั่งขบวนกรุงเทพฯ-เด่นชัย ซื้อตั๋วเสร็จวิ่งสี่ร้อยเมตรไปขึ้นรถ ราคาตั๋วรถ 20 บาท ลืมไปว่าเป็นวันหยุด ต้องลุกเปลี่ยนที่นั่งไปเรื่อยๆทุกที่ๆเจ้าของขึ้นมา ลุกบ่อยๆเริ่มเมื่อสุดท้ายไปจบที่ตู้เสบียง มีโต๊ะให้นั่ง 

ไทยต่างชาตินั่งรอกันสลอน ชั้นสามไม่ระบุที่นั่งคนยังขึ้นกันเรื่อยๆ มานั่งที่ตู้เสบียง สั่งชุดข้าวผัด 150 บาท มีน้ำเปล่า 1 ขวด น้ำอัดลม 1 ขวด น้ำแข็ง 1 แก้ว ข้าวผัดใข่ดาว รสชาติไม่ขึ้เหร่นะเออ ประสบการณ์ครั้งหนึงในชีวิตบนตู้เสบียงรถไฟไทย ถึงจะใช้บริการอยู่บ้างแต่ไม่เคยมาตุ้เสบียงเสียที มื้อเช้าบนรถไฟ ไปถึงอยุธยาตอนเกือบ 9 โมง  เช็คตารางรถไฟขากลับเพื่อนความชัวร์ ก่อนจะออกจากสถานนี ด้านหน้ามีร้านเช้ามอเตอร์ไซด์ จักรยาน ส่วนคนที่ไม่ได้ทั้งสองอย่าง จะมีรถกระป๋อง(ซูบารุ)สีสรรสวยๆคอยให้บริการเหมาไปได้ แต่เราไม่เคยเหมาซะที ค่าเช่ามอเตอร์ไซด์วันละ 150 บาท น้ำมันเต็มถึง เวลาคืนก็คืนน้ำมันเต็มถึงเหมือนกัน ออกจากแถวๆสถานีรถไฟ วัดแรกที่อยากไปคือวัดแม่นางปลื้ม วัดนี้อยากไปมาก และแล้วก็หลง ไม่ย้อนกลับขับต่อไปเรื่อยๆ จนมาโผล่ที่ อนุสรณ์สถานแห่งความจงรักภักดี ที่นี่เป็นสวนกว้างมาก มีถนนสำหรับปั่นจักรยานโดนเฉพาะ ทุ่งโล่งๆ ไม่มีคน ที่สำคัญลมแรงมาก แทบจะปลิว นอกจากเส้นทางจักรยานแล้วยังจำลองของดีในอำเภอต่างๆของอยุธยาเอาไว้ด้วย

อยากอยู่ต่ออีกนิด แต่ลมแรงไม่ไหว เริ่มหนาวทั้งๆที่แดดเปรี้ยง ขับรถไปตามทางเรื่องๆ เส้นทางนี้ไม่มีในแผนที่ท่องเที่ยวเรียกได้ว่าหลงโดยสมบูรณ์

ขณะที่ขับรถมาตามทางก็เห็นเจย์ดีเก่าลิบๆแต่ไกล มุ่งหน้ามาหาทันที 

วัดดุสิตตาราม

นอกจากเจดีย์เก่า และโบถส์เก่าแลัวยังมีแนวต้นสนสวยๆอีกด้วย บริเวณวัดเงียบสงบ มีชาวต่างชาติิแวะเข้ามาเที่ยวสองสามคน ทักทายกันนิดหน่อยแล้วพวกเราก็ไปกันต่อ

ขับรถมาเรื่อยๆเจอกับวัน วัดสมณโกฏฐาราม

วัดเงียบๆที่กำลังบูรณะอยู่ ได้เงินมาจากการทำงานแบ่งเอามาทำบุญปีใหม่โดยเฉพาะ เลยร่วมทำบุญบูรณะอุโบสถที่วัดนี้

รอบๆวัดยังเห็นกำแพงอิฐโบราณและซุ้มประตูอยู่ เดินดูรอบๆแล้วไปกันต่อ 

วัดกุฏิดาว อยู่เยื้องๆกับวัดมเหยง เป็นวัดเก่าที่น่าสนใจมาก พวกเราอยู่ที่นี่กันนาน ด้วยตำนานอาถรรพ์หรืออะเพราะประทับไทย บอกได้คำเดียวว่าชอบเลย

ทางเข้าเป็นซากสิ่งปลูกสร้างมีต้นโพธิ์ใหญ่ขึ้นอยู่ ฐานเจดีย์เก่ายังคงตั้งตะหง่านอยู่ ส่วนปลายที่หักลงกองอยู่กับพื้น ออกจากที่นี่ตอนเที่ยงกว่าเริ่มหิว แต่คงไม่มีอะไรให้แวะ ต่างคนต่างซื้อข้าวปั้นมาจากเซเว่น เลยคิดไว้ว่าหาที่ชิลๆนั่งกินกันดีกว่า..กลับเข้าสู่เส้นทางหลักแล้ว ตกลงกันว่าจะไปเก็บนอกเมืองกันก่อน ก่อนจะเก็บในเมือง ดูเวลาแล้วคงไปไม่ครบแน่ๆ เลยเลือกที่ๆคิดว่าไม่ค่อยมีคน(คิดว่า)

มุ่งหน้าไปที่ชุมชน 3 ศาสนา แต่ไม่ได้แวะที่มัสยิด เลยไปที่โบโบถส์นักบุญยอเซฟ ซึ่งกำลังบูรณะด้านนอกอยู่ สามารถเข้าไปชมด้านในได้

รอบๆโบส์ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ มองเห็นแม่น้ำอยู่ไม่ไกลนัก 

วัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เริ่มสร้างเมื่อปี 2209 สมัยพระนารายมหารราช พักกันหายเหนื่อยก็แวะกันที่วัดไชยวัฒนาราม นี่ที่ยังหนาแน่นไปด้วยผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติ

ช่วงนี้น่าไปเที่ยวเพราะโบราณสถานเปิดให้เข้าฟรีทั้งหมด ออกจากโบสถ์ไปแวะที่วัดไชยวัฒนาราม

ยังสวยงานเหมือนเดิม มากี่ครั้งก็ไม่เบื่อ พวกเราหาที่ร่มๆนั่งกินกันแถวๆนั้น พวกเหนื่อยไปด้วย ถึงวันนี้อากาศเย็น ลมแรงแต่แดดก็เปรี้ยงเหมือนกัน ตากแดดนานๆมีสิทธิ์ผิวไหม้ได้ ซันบล็อคจำเป็นมากสำหรับการแว๊นหรือปั่นจักรยาน

ออกจากที่นี่ตรงไปยังวัดแม่นางปลื้ม วัดที่อยากมา แต่ระหว่างทางผ่านวัดมงคลบพิตรเลยแวะเข้าไปทำบุญและเข้าไปถ่ายรูปที่พระศรีสสรรเพชญ์ ที่นี่คนแยะกว่าวัดไชยฯอีก เลยเก็บรูปรอบๆ

ถามเจ้าหน้าที่วัด ว่าวัดแม่นางปลื้มไปทางไหน บอกไปยังงัยก็งง เทคโนโลยีไม่ใช้ วันนี้เราสโลไลท์หลงมาตั้งแต่ต้นก็งมทางกันไปแบบขำๆ จนกระทั่งถึง ป้ายบอกทางเข้าวัดเล็กมากแต่ป้ายวัดใหญ่มาก เอ๊ะยังงัย หน้าประตูนี่จุดแลนด์มาร์คเลย ต้องเก็บภาพ เข้าไปด้านนกะลังมีงานบวชพอดี  อุโบถส์เก่า ด้านในมีหลวงพ่อขาวประดิษฐานอยู่ วัดนี้เป็นวัดเดียวที่ไม่โดนเผาในสมัยอยุธยา แดดเริ่มคล้อยต้องทำเวลาก่อนจะค่ำ จากเส้นทางวัดแม่นางปลื้มไปแวะที่วัดหน้าพระเมรุ เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีอะไรน่าสนใจให้ชื่นชม พระคันธารราฐ วัดหน้าพระเมรุ พระพุทธรูปปางลีลา อายุ 800 ปี สมัยลพบุรี พระประธานเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสำริด ปางมารวิชัย ทรงเครื่องกษัตริย์ สมัยอยุธยา  ด้านหลังมีเจดีย์เรียงอยู่สามองค์ หนึ่งในนั้นมีต้นโพธิ์ขึ้อยู่บนฐานเจดีย์

สำรวจกันแทบจะทุกซอกทุกมุมก่อนออกจากวัด ไปต่อที่วัดเชิงท่า วัดที่อยู่ไม่ไกลกันนัก

วัดนี้พึ่งมีพิธีบวงสรวงสดๆร้อนๆ ทั้งสายสินธุ์ ตุ่มน้ำมนต์ยังอยุ่ครบ ตอนเข้าไปวัดเริ่มปิดแล้ว เลยไม่มีโอกาสเข้าไปด้านในอุโบสถเก่า  อุโบสถไม้ ที่ยังพอเห็นเค้าโครงเดิมอยู่บ้าง มีหอระฆังโบราณที่ไม่ค่อยเห็นตามที่อื่นๆ ร่องรอยประพูทธรูปที่อยู่บริเวณฐานเจดีย์ 

ออกจากวัดเชิงท่า เริ่มหิว แต่ไม่มีอะไรให้กิน เลยขับรถไปต่อ พอมีเวลาเลยกะจะแวะที่วัดมหาธาตุไปถ่ายรูปเศียรพระพุทธรูปในต้นไม้แต่ขับเลยไปเฉย แถมคนยังเยอะมาก เลยผ่านไป ข้ามสะพานกลับมาหาอะไรกินแถวๆฝั่งนี้ เย็นมากร้านเลยปิดหมด โชคดีร้านสุดท้ายหน้าวัดใหญ่ยังปิดไม่หมด เลยกินเกี๋ยวเตี๋ยวหมูน้ำตก อร่อยดี เพื่อนเบิ้ลสอง เรากินไม่ไหว เติมน้ำมันไป 40 บาท เอารถไปคืน เดินข้ามฝั่งมาที่สถานีรถไฟ ได้ตั๋วฟรี รถเที่ยว 6.48 เรามาถึงตอนห้าโมงครึ่ง นั่งรอกันไป อัพรูปส่งไลท์กันหลังจากที่ไม่ได้แตะมาทั้งวัน

หกโมงฟ้ามืดตื๊อ นั่งรอรถไปตบยุงไป รถมาถึงตามเวลาเป๊ะ ที่นั่งว่าง เลือกได้ตามใจชอบ พอหาที่นั่งได้ต่างคนต่างหลับเพราะก่อนหน้านั้นมัวแต่ทำงานอนกันแค่คนละ 3 ชม ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุก 

ค่าใช้จ่าย

ค่ารถไฟ กรุงเทพฯ-อยุธยา รวมอาหารเช้า    อาหาร 150 บาท ค่ารถไฟ 20 บาท

ค่าเช่ามอเตอร์ไซด์ น้ำมัน                         ค่าเช่า  150 บาท ค่าน้ำมัน 40 บาท

ค่าอาหาร+น้ำประมาณ                            200 บาท

ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ